ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 127 วันที่แดดจ้า
ม่ออวี่ หลัวหยางอ๋อง มหาราชครูไป๋อิง และเหล่าเสนาบดีและองครักษ์มองย้อนกลับไปด้วยความประหลาดใจ
การแสดงออกของเซียงอ๋องและหลินกงกงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แม้แต่ใบหน้าของเฉาอวิ๋นผิงก็ยังแสดงความประหลาดใจ
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ขันทีตัวน้อยผู้บอบบางบนชั้นสองก็หันกลับไปมองด้วยเช่นกัน
หลัวหยางอ๋องลดแขนลงอย่างเหม่อลอย
ในที่สุดสีเหลืองสุกใสนั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
จักรพรรดิอวี๋เหรินแห่งต้าโจว
“ฝ่าบาท!”
หลายเสียงตะโกนดังขึ้น
อวี๋เหรินมองไปทางหลินกงกงด้านล่างอย่างเงียบเชียบ
ทันใดนั้นหลินกงกงก็รู้สึกว่าตนเองร้อนขึ้นนิดหน่อย ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นที่ใบหน้า เพราะเหตุใดกัน
“การให้ขันทีและนางในซ่อนตัวในวัง มิใช่เพราะบุตรบุญธรรมของท่าน แต่เป็นประสงค์ของเรา”
สายตาของอวี๋เหรินทั้งอ่อนโยนและสงบนิ่ง ยิ่งเปล่งเสียงออกมาก็ยิ่งดูเป็นปกติมากขึ้น “ดาบหอกไร้ตา ราชกิจของเมืองก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จะปล่อยให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ หรือตายไปเพื่อเหตุใด”
หลินกงกงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิผู้มีเมตตาจริงๆ”
อวี๋เหรินกล่าวว่า “ท่านอาจารย์และท่านต้องการให้ข้าเป็นจักรพรรดิที่มีเมตตา แต่ถ้าเราถูกขู่ให้สละราชสมบัติด้วยชีวิตของประชาชน นั่นย่อมไม่ใช่จักรพรรดิที่มีเมตตาแต่เป็นจักรพรรดิที่อ่อนแอ”
วาจาของเขาคล่องขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ต่างจากคนปกติ แต่เสียงของเขายังแหบแห้งเล็กน้อย
ไม่มีใครสังเกตเรื่องที่เขาพูดกับหลินกงกง เพราะทุกคนต่างตกใจที่เขาพูดด้วยตนเอง
ที่แท้ฝ่าบาทก็ไม่ได้เป็นใบ้ เขาพูดได้? แล้วเหตุใดเขายามปกติเขาไม่พูดออกมา แม้แต่หลินกงกงที่รับใช้เขามากว่าสิบปีก็ยังไม่รู้
หากบอกว่ามีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่นั่นก็ช่างเถิด นี่เป็นเพียงแค่การเอ่ยวาจาออกมาก็เท่านั้น เปลี่ยนมาเป็นความลับแล้วมีประโยชน์อันใดกัน
ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงนับสิบ อวี๋เหรินรู้ว่าทุกคนคิดสิ่งใดอยู่ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่อยากจะตอบคำถาม แต่หลังจากที่คิดทบทวนแล้วเขาก็ได้ให้คำตอบออกมา
“ข้าโกหกไม่เป็น ดังนั้นตอนที่ข้ายังเล็กยามที่ออกจากจิงตู ท่านอาจารย์บอกข้าไม่ให้พูด หลังจากนั้นข้าจึงชินกับการไม่พูด”
“ชีวิตที่ซีหนิง บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องออกท่าทางกับท่านอาจารย์และศิษย์น้องด้วยซ้ำ แค่แววตาก็สามารถรู้ได้ว่าคิดจะทำสิ่งใด ยิ่งไม่จำเป็นจะต้องพูดใดๆ”
“ต่อมาเมื่อมาถึงจิงตู กลายเป็นจักรพรรดิแล้ว สิ่งที่ทำมากที่สุดทุกวันคือการอ่านฎีกา ใช้พู่กันเขียนก็ได้แล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูด”
“แม้แต่ในการว่าราชการข้าก็พบว่าแค่ฟังเพียงอย่างเดียวไม่พูดดีกว่า เพราะมันช่วยลดปัญหา และเงียบสงบ”
“ในเมื่อไม่จำเป็นต้องพูด เช่นนั้นข้าจะพูดเพื่อสิ่งใดเล่า”
……
……
เมื่อไม่มีความจำเป็น ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ทำ
ไม่มีใครจะวิ่งรอบดินแดนต้าลู่เป็นสิบรอบ สำรวจทุ่งหญ้าและภูเขาหิมะทั้งสี่ฤดูนับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่มีเหตุผล เว้นแต่ฮูหยินของเขาจะจากไปอย่างเงียบๆ กลางดึก
เซียงอ๋องพูดว่า “ที่แท้ฝ่าบาทก็แสร้งทำเป็นใบ้และหูหนวก”
อวี๋เหรินพูดว่า “ใช่ ข้าได้อ่านบันทึกทั้งหมดของจักรพรรดิไท่จง และยังได้อ่านอดีตของราชวงศ์ก่อนๆ จำนวนหนึ่งด้วย ข้าพบว่าพวกเขาเก่งมาในการแสร้งทำเป็นใบ้และหูหนวก”
เมื่อเซียงอ๋องได้ฟังก็ครุ่นคิด กลัวก็ส่ายศีรษะเบาๆ พูดว่า “ที่แท้ฝ่าบาทก็ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่โชคดีที่พระองค์ปิดบังเพียงเรื่องที่พูดได้เอาไว้”
อวี๋เหรินต้องการพูดสิ่งใดเสียหน่อย แต่กลับพูดไม่ทัน เพราะวันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดปากพูด ดังนั้นการตอบโต้ของเขาย่อมช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ต่อไป ข้าจะเรียนรู้ที่จะแสร้งทำเป็นใบ้และหูหนวก”
เซียงอ๋องกล่าวต่อไปว่า “แต่โปรดเขียนพระราชกฤษฎีกาสละราชสมบัติก่อนเสียเถิด เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูด ใช้เพียงแค่พู่กันเท่านั้น ฝ่าบาทน่าจะคุ้นเคยดีอยู่แล้ว”
อวี๋เหรินไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่ส่ายศีรษะไปมาเท่านั้น
เซียงอ๋องถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง พูดว่า “เช่นนั้นคงทำได้เพียงขอประทานอภัยโทษเท่านั้น”
ในขณะนี้ ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ตรงชั้นสองหลังรั้วทอง ก็เดินออกมา และถอดหมวกของตนออกทันที
นางมองไปยังเซียงอ๋องและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านแน่ใจแล้วหรือที่จะทำเช่นนี้ต่อไป”
ผมสีดำราวกับน้ำตกไหลลงมา สวยงามราวกับภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้ กลุ่มเสนาบดีเฒ่ามากมายในตำหนัก ต่างนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของสตรีนางนี้ได้อย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทองค์หญิง!”
ทุกคนคิดด้วยความตกใจ จู่ๆ ลั่วลั่วก็ปรากฏตัวขึ้นในพระราชวังต้าโจว พูดได้หรือไหมว่านางเป็นตัวแทนการแสดงท่าทีของเผ่าปีศาจ
เช่นนั้นแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกับค่ายผิงเป่ยที่กำลังล้อมพระราชวังกับกองทัพกบฏอยู่ขณะนี้
เมื่อมองไปยังลั่วลั่ว เซียงอ๋องก็ตกใจ จากนั้นก็ยิ้มและส่ายศีรษะไปมา
เฉาอวิ๋นผิงก็ยิ้มออกมา พูดด้วยแววตาอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาท เลิกไร้สาระได้แล้ว”
มุมมองที่ผู้อาวุโสมีต่ออนุชนเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดแล้วก็ไม่ควรปรากฏออกมาในเวลานี้
ลั่วลั่วเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะเดินเข้าวังมาข้าได้ปราบค่ายผิงเป่ยไปเรียบร้อยแล้ว ในเวลานี้เซวียนหยวนผ้อก็อยู่ที่สำนักฝึกหลวงแล้ว เพื่อที่จะหยุดยั้งพวกท่าน”
เฉาอวิ๋นผิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านนักพรตและเฉินฉางเซิงนำทัพกลับไปทางใต้ ท่านและเซวียนหยวนผ้อก็จะถูกซุ่มโจมตี เพราะจักรพรรดิขาวจะปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยข้ากับเซียงอ๋อง และกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยดินแดนต้าโจวอย่างช่วยไม่ได้ แต่หากท่านนักพรตมิได้กลับมา นี่ก็หมายถึงเขาได้ละทิ้งสมเด็จพระจักรพรรดิแล้ว จักรพรรดิขาวก็จะไม่ออกมา ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใดก็ไม่มีความหมายทั้งสิ้น”
ลั่วลั่วเข้าใจความหมายของเขา ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็ซีดลงเล็กน้อย
ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิขาว ไม่เช่นนั้นนางจะหนีออกจากเมืองไป๋ตี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร แล้วเซวียนหยวนผ้อจะซ่อนตัวอยู่ในค่ายผิงเป่ยเป็นเวลานานเช่นนี้ได้อย่างไร
เซียงอ๋องและเฉาอวิ๋นผิงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของนางและเซวียนหยวนผ้อ
แต่นางและเซวียนหยวนผ้อเป็นเพียงตัวหมาก หรือตัวละครหนึ่ง ที่เดินตามความคิดของจักรพรรดิขาว และเปลี่ยนบทบาทของตนอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งบัดนี้จักรพรรดิขาวก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา นั่นก็หมายความว่าเขาได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับเซียงอ๋อง
นี่ก็มีความหมายตามที่เฉาอวิ๋นผิงกล่าว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลั่วลั่วและเซวียนหยวนผ้อทำไม่มีความหมายเลย
ทันใดนั้นลั่วลั่วก็นึกถึงเหตุการณ์นั้นเมื่อสิบปีก่อน
มู่จิ่วซือและจักรพรรดิดินแดนต้าซีเสียชีวิตในทะเล
ลั่วลั่วเข้าใจมาโดยตลอดว่านี่คือการจัดการของซางสิงโจว มาบัดนี้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเสด็จพ่อเป็นแน่
หลังจากได้รู้เกี่ยวกับพันธสัญญาระหว่างจักรพรรดิขาวและเซียงอ๋องแล้ว นางจึงแจ้งเฉินฉางเซิงทันที จากนั้นจึงเดินทางแปดหมื่นลี้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนไปยังจิงตู เผื่อจะช่วยสิ่งใดได้
นางไม่ได้พักผ่อนให้ดีๆ หลายวันแล้ว จู่ๆ ได้มองเห็นความจริงอันน่าเบื่อหน่ายนั่น ความเหนื่อยล้าทั้งหลายก็หลั่งไหลเข้ามา แล้วร่างของนางก็สั่นไหวเล็กน้อย
มือข้างหนึ่งร่วงลงมาบนไหล่ของนาง ประคองนางไว้
มือนั้นมั่นคงและเอื้ออาทร สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นทั่วเสื้อผ้าที่สัมผัสอยู่
ลั่วลั่วตื่นขึ้นมา และถอยออกมาด้านข้าง
นางก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนต้องทำเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอาจารย์จะสั่งอะไรบางอย่าง แต่นางลืมเสียแล้ว
ก็เหมือนกับสิ่งที่ม่ออวี่ หลัวหยางอ๋อง มหาราชครูไป๋อิง เหล่าเสนาบดีและองครักษ์รับมาและทำต่อไปนั่นแหละ
กลุ่มคนแยกออกจากกันราวกับกระแสน้ำ อวี๋เหรินเดินออกมา
เขาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เพราะผู้คนทั่วหล้าต่างรู้ว่า เท้าข้างหนึ่งของเขาพิการ
ถึงแม้จะเดินช้าสักเพียงใด ขอเพียงตั้งใจแน่วแน่ สุดท้ายก็จะสามารถไปถึงฝั่งได้เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นลำธารเล็กๆ ในซีหนิงหรือสายธารแห่งปัญญา หรือทองใต้แผ่นดินที่นำมาก่ออิฐเป็นลวดลายของแม่น้ำและท้องทะเล
อวี๋เหรินเดินไปถึงหน้ากายของเซียงอ๋อง หยุดฝีเท้าลง
เป็นครั้งแรกที่เซียงอ๋องได้มองเขาในระยะใกล้ขนาดนี้
ดวงตาที่มองไม่เห็น ติ่งหูครึ่งหนึ่งที่หายไป และไหล่ที่เอนไปทางซ้ายเล็กน้อยค่อยๆ หายไปจากการมองเห็นของเขา
สุดท้าย เห็นเพียงใบหน้าสะอาดนั้นเท่านั้น
ในแววตาของเซียงอ๋องมีความสับสนปรากฏขึ้นเล็กน้อย และมีความสงสัยบางอย่าง จากนั้นก็กลายเป็นความตกใจ และในที่สุดก็กลายเป็นสนใจ
เขาตบเข้าที่หัวของอวี๋เหรินฉาดหนึ่ง
ฝ่ามือนี้นุ่มนวลราวกับไม่มีกระดูก ราวกับเปลวไฟที่มองไม่เห็นของดวงอาทิตย์ มีกลิ่นอายของความน่ากลัวอันหาที่เปรียบมิได้
มีเสียงอุทานดังขึ้น และในที่สุดเหล่าองครักษ์ก็ฟื้นสติขึ้นมา รีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่กลัวเป็นหรือตาย ต้องการนำร่างกายของตนเองปกป้องฝ่าบาทจากฝ่ามือนั้น
ทันใดนั้น ลมปราณอันทรงพลังก็เกิดขึ้น ราวกับกระแสน้ำจริงๆ ห่อหุ้มเหล่าองครักษ์ไว้และพลักไปกระแทกบันได
รั้วสีทองพังทลายลง เกิดฝุ่นและควันขึ้นย่อมๆ
……
……
จากการสืบสวนในภายหลัง มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นภาพฉากในขณะนั้น
แสงจ้าเกินไป หากไม่หลับตาให้เร็วคงได้ตาบอดเป็นแน่
แม้แต่ม่ออวี่ ลั่วลั่ว และคนที่มีระดับขั้นสูงมากคนอื่นก็เห็นแต่เพียงฉากที่เลือนรางเท่านั้น
ม่านแสงจ้าปรากฏขึ้นตรงกลางโถงใหญ่ของตำหนัก ในทางตรงกันข้าม แสงที่ปล่อยออกมาจากไข่มุกราตรีนั้นเป็นเหมือนกับขี้เถ้าของวัชพืชที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น
ร่างสองร่างมองเห็นได้รางๆ ในม่านแสง หนึ่งในนั้นอ้วนกว่าเล็กน้อย น่าจะเป็นเซียงอ๋อง อีกร่างหนึ่งย่อมเป็นอวี๋เหรินเป็นแน่แท้
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ
ม่านแสงนั้นเริ่มต้นตรงจุดที่สองมือของพวกเขาปะทะกัน
ที่นั้นมีดวงอาทิตย์หนึ่งดวง
……
……
เมฆดำในท้องฟ้ายามค่ำคืนกระจัดกระจายไปทั่ว
ดวงดาวที่เพิ่งปรากฏออกมา ก็ถูกบดบังไปในชั่วพริบตา
เส้นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าจากเขตพระราชฐาน
จิงตูดูราวกับหวนคืนสู่ทิวากาล
เหล่าลูกศิษย์ที่เฝ้าดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูมองย้อนกลับไปด้วยความประหลาดใจ กระรอกในป่ายามราตรีตื่นขึ้นมา และกระโดดไม่หยุด
ภายในพระราชวังหลี ทหารม้าที่รออยู่ในสนามรบผลักกระบังหน้าออก มองขึ้นไปยังท้องนภา
ผู้คนต่างก็เห็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง
จงซานอ๋องกำลังรวบรวมทหารม้าที่ถนนไท่ผิง เตรียมรีบเข้าไปในวังเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิ
ครั้นเมื่อท้องฟังยามค่ำคืนสว่างขึ้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง และไม่สามารถละสายตากลับไปได้อีก
เขาหรี่ตาลง จ้องมองอยู่เป็นเวลานาน จนดวงอาทิตย์ค่อยๆ สลายหายไป
“อา ดวงอาทิตย์ช่างงดงามอะไรเช่นนี้…”
จงซานอ๋องรู้สึกทอดถอนใจ โบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชายกเลิกแผนการโจมตีพระราชวังในตอนกลางคืน
เขาหันหลังลงจากหลังม้า ไปอาบน้ำรอบหนึ่ง จากนั้นขอให้พ่อครัวเล็กๆ ทำบะหมี่ผัดเครื่องเทศชามหนึ่ง ใส่กระเทียมป่าครึ่งช้อนแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อมองเห็นภาพฉากนี้ นางสนมผู้งดงามคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเกิดคำถามเดียวกับที่ปรึกษาเสียชีวิตไปในกลางวันวันนั้นว่า บะหมี่นี่มันอร่อยถึงเพียงนั้นเลยหรือ
แน่นอนว่า นางฉลาดกว่าที่ปรึกษาท่านนั้นมาก ดังนั้นวาจาที่เปล่งออกมาจึงเปลี่ยนเป็น “พวกเราไม่ไปช่วยฝ่าบาทหรือ”
จงซานอ๋องกินบะหมี่ต่อ พูดสองประโยคที่ค่อนข้างคลุมเครือ
ประโยคแรกที่นางสนมนางนั้นได้ยินที่ท่านอ๋องพูดคือฝ่าบาทมิได้ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเราช่างโง่เขลานัก
จากนั้นนางก็ตั้งใจคิดอย่างจริงจังก่อนที่จะมั่นใจว่าประโยคที่สองคือ…พรุ่งนี้จะเป็นวันที่แดดจ้า
……
……
“หลายปีก่อน เป็นเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้วจริงๆ ดวงตาของเสด็จพ่อยังปกติดี ท่านก็รู้ โอ้ ท่านไม่รู้ เมื่อก่อนที่นั่นเคยเป็นห้องอ่านหนังสือ เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเคล็ดวิชาเพลงยุทธ์ที่นั่น ตอนนั้นข้าคิดว่าวิชานี้มีพลังมาก ดวงอาทิตย์ร้อนแรงขนาดนั้น สว่างขนาดนั้น จะสามารถเก็บไว้ในร่างกายของข้าได้อย่างไรกัน”
เซียงอ๋องกล่าวว่า “เสด็จพ่อพูดว่าข้าคิดผิดแล้ว ดวงอาทิตย์ดวงนั้นจะกลายเป็นดวงอาทิตย์จริงๆ ก็ต่อเมื่อออกห่างจากร่างกายของเราไปเท่านั้น ข้าก็คิดในใจว่านั่นมันก็สุดยอดมาก! เพื่อจะได้เห็นดวงอาทิตย์นั้น ข้าไม่หยุดที่จะฝึกฝน จนกระทั่งข้ามีระดับขั้นสูงสุดในราชวงศ์ต้าโจวก็ยังไม่ได้เห็น แม้จะข้ามธรณีประตูไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ข้าก็ยังไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ดวงนั้น ดังนั้นในช่วงสองสามปีมานี้ข้ามักจะสงสัยอยู่เสมอว่า หรือที่จริงแล้วเสด็จพ่อกลั่นแกล้งข้ามาตั้งแต่แรก”
อวี๋เหรินพูดว่า “ไม่ใช่”
เซียงอ๋องมองเขาและเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ใช่ จนกระทั่งวันนี้ ข้าจึงได้รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริง เสด็จพ่อมิได้หลอกข้า”
อวี๋เหรินก็เงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าเองก็เพิ่งจะรู้วันนี้”
เซียงอ๋องพูด “ในเมื่อวิชาสุริยันแผดเผาแข็งแกร่งเช่นนี้ จักรพรรดิไท่จงตอนนั้นก็ไม่ใช่เพียงเช่นนี้กระมัง”
อวี๋เหรินพูด “ข้าไม่รู้”
เซียงอ๋องพูดด้วยอารมณ์ “ฝ่าบาททรงแม้ร่างกายพิการแต่จิตวิญญาณเปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นแสงสว่างแห่งสำนักเต๋า และแสงสว่างแห่งตระกูลเฉินอย่างแท้จริง”
นี่คือคำชมที่จริงใจที่สุด
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจเล็กน้อย
“เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องปกปิดระดับบำเพ็ญของตนกัน”
เซียงอ๋องพูดอย่างขมขื่นว่า “ถ้าข้ารู้เช่นนี้มาก่อน พวกข้าจะคิดก่อกบฏได้เช่นไรกัน”
อวี๋เหรินเอ่ยอย่างรู้สึกขออภัย “ไม่มีผู้ใดเคยถามมาก่อน...และ ข้าก็ไม่มีโอกาสได้ใช้สิ่งเหล่านี้”
เซียงอ๋องได้ยินก็ตกตะลึง หลังจากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ยังคงเป็นเหตุผลเช่นเดียวกับที่พูดก่อนหน้านี้
อวี๋เหรินสามารถพูดได้ แต่เขาไม่พูด
เขาสามารถสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาในท้องฟ้ายามค่ำคืนของจิงตูได้ แต่เขาก็ไม่ทำ
เพราะว่าเขาไม่ต้องการ และไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้
นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ
“ฝ่าบาทสมควรแล้วที่เป็นบุตรโดยสายเลือดของเสด็จพ่อและเสด็จแม่”
ในที่สุดเซียงอ๋องก็โล่งใจ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเสียใจอยู่บ้าง
“เหตุใดข้าจึงไม่เกิดมาเป็นบุตรโดยสายเลือดของเสด็จแม่บ้าง”
หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว ร่างกายของเขาก็เกิดลำแสงนับไม่ถ้วนทะลุออกมา แตกกระจายออกเป็นเม็ดผลึกที่เล็กละเอียดที่สุด แล้วถูกสายลมยามค่ำคืนพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย