ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 129 ที่มาของเผ่ามาร
ราชามารเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใช่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกข้าจึงแพ้”
นี่เป็นปัญหาที่ตอบได้ยากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผ่ามารล่าถอยอย่างรวดเร็ว
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้าครุ่นคิดมานานมากแล้ว สุดท้ายก็เห็นนักรบชนเผ่าที่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า ข้าจึงนึกถึงเหตุการณ์นั้นที่เจ้าเคยเขียนในจดหมายมาก่อน”
เผ่ามารอยู่ในภาวะถดถอย ในเวลาพันปีที่ผ่านมาเผ่ามนุษย์อยู่เหนือกว่าในทุกด้าน ปัญหาหลักคืออัตราการให้กำเนิดบุตรที่ต่ำเกินไป
เผ่ามารระดับล่างใช้เวลานานเกินไปสำหรับการกลายเป็นเผ่ามารระดับสูง ความสามารถในการมีบุตรของเผ่ามารระดับสูงก็ต่ำมาก เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนเผ่ามารที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่กลับเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีจำนวนทหารเพียงพอ ไม่มีทางที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพเผ่ามนุษย์ได้เลย
ราชามารชี้มาที่เขา แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าควรจำสาเหตุที่ข้าบอกกับเจ้าไปแล้วได้”
เฉินฉางเซิงนึกถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาที่ราชามารเคยบอกในจดหมายฉบับหนึ่ง
ราชามารพูดว่า หลังจากที่เขาครองราชย์แล้วจึงจะรู้ว่ามันเป็นบันทึกที่แท้จริงที่สุดของโลก
ราชามารยังพูดอีกว่า รวมทั้งเขาและมหาบัณฑิตเผ่ามารมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่รู้
หลังจากจดหมายฉบับนั้น เฉินฉางเซิงได้กลายเป็นคนที่หก
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องบอกตนเอง เป็นธรรมดาที่จะไม่สามารถตัดสินได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ
ตามคำบอกเล่าของราชามาร เมื่อหลายปีก่อน โลกนี้มีด้วยกันห้าทวีปไม่ได้แยกจากกันเหมือนตอนนี้ สามารถติดต่อสื่อสารได้ตามต้องการ
เผ่าพันธุ์ที่ปกครองโลกทั้งใบนี้ก็คือเผ่าเทพ ซึ่งก็คือเผ่ามารแห่งดินแดนต้าลู่กลาง
เมื่อเวลาไหลผ่านไป โครงสร้างของโลกก็ค่อยๆ ไม่มั่นคง ปรากฏการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย แคว้นเทพและยมโลกค่อยๆ เคลื่อนออกจากทวีปหลัก ในท้ายที่สุดก็สลายไปในความปั่นปวนของการเวลาที่ไม่สิ้นสุด หลงเหลือแต่เพียงทางเข้าที่อันตรายอย่างยิ่งเท่านั้น ณ เวลานี้ ห้วงลึกด้านหลังร่างของราชามารก็เป็นหนึ่งในนั้น
การสลายไปของแคว้นเทพและห้วงลึกนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวหลายอย่างมาก ความมีชีวิตชีวาของทวีปหลักค่อยๆ หายไป ยิ่งเปลี่ยนเท่าใดยิ่งรกร้างมากขึ้น เผ่าเทพที่ปกครองโลกและสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอื่นๆ ถูกบังคับให้เริ่มอพยพ ในที่สุดดินทวีปหลักก็กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า จึงเรียกว่าเป็นดินแดนรกร้าง
เผ่าเทพไปยังดินแดนเซิ่งกวง และสืบสานอารยธรรมของตนต่อไป แต่กลับพบว่าเปลวเพลิงแห่งอารยธรรมของแดนเทพได้ร่วงหายไปในทวีปอื่น
เปลวเพลิงแห่งอารยธรรมเหล่านั้นก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ และทวีปนั้นก็คือดินแดนต้าลู่กลาง
เผ่าเทพส่งกองกำลังออกสำรวจ ผ่านเส้นทางยมโลกซึ่งแทบจะผ่านไปไม่ได้เลยในเวลานั้น จากดินแดนเซิ่งกวงมาถึงดินแดนต้าลู่กลาง ต้องการนำเปลวเพลิงแห่งอารยธรรมเหล่านี้กลับคืนมา ผู้ใดเลยจะคาดคิด ในระยะเวลาที่แสนยาวนาน เผ่าพันธุ์พื้นเมืองของดินแดนต้าลู่กลางได้ตื่นขึ้นจากเปลวเพลิงแห่งอารยธรรม และเริ่มทำส่งครามกับกองกำลังของเผ่าเทพ
เผ่าพันธุ์พื้นเมืองเหล่านั้นคือเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ
กองทัพสำรวจนั้นจึงเป็นเผ่ามารในปัจจุบันไปโดยปริยาย
……
……
“ปรากฏว่าจนกระทั่งวันนี้ สงครามครั้งนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดลงจริงๆ เสียที”
ผู้คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างพากันสะเทือนใจ รอยย่นบนใบหน้าของท่านปู่ถังนั้นลึกขึ้นเล็กน้อย และขุนพลเทพเฮ่อหมิงก็กำลังครุ่นคิดถึงความหมายของสงครามนี้
“สงครามระหว่างสองฝ่ายของเราในตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสงครามในสมัยโบราณนั้น”
ราชามารส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “เมื่อสงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายรุนแรงขึ้นอย่างที่สุด ยมโลกก็จะห่างออกไปเรื่อยๆ และทวีปต่างๆ ก็จะแยกตัวออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นห้วงลึกหลังกายข้าหรือยอดเขาในสุสานเมฆา ล้วนยากต่อการจะกลับมายังดินแดนเซิ่งกวงทั้งสิ้น ผู้บัญชาการกองกำลังสำรวจจึงตัดสินใจลำบากมาก”
“ผู้บัญชาการท่านนั้นคือบรรพบุรุษของข้า ซึ่งก็คือราชามารรุ่นแรก” ราชามารอธิบายเพิ่มเติม แล้วพูดต่อไปว่า “เขายุติสงครามครั้งนั้น และบรรลุข้อตกลงชั่วคราวร่วมกับเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ เผาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับดินแดนเซิ่งกวง จากนั้นจึงเริ่มสร้างเมืองของตนเองในทวีปนี้ ซึ่งก็คือบ้านเกิด”
สวีโหย่วหรงกอดนักพรตน้อยไว้ หลังจากที่ราชามารปรากฏตัวแล้วก็ไม่พูดสิ่งใดเลย จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “เป็นการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดและทันเวลา”
ราชามารมองมาที่นางและยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เผ่าของข้าอาศัยอยู่ในดินแดนต้าลู่กลางเช่นนี้ ราชามารรุ่นต่อๆ มาและบรรดามหาบัณฑิตต่างปฏิบัติต่อกันมาดังที่บรรพบุรุษทำ ใช้กฎอย่างเข้มงวด ในที่สุดเราก็ลบความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับดินแดนเซิ่งกวงได้สำเร็จ และเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นบ้านเกิดของพวกเราได้”
ท่านปู่ถังดูด้วยอารมณ์ว่า “เวลานั้นทรงพลัง”
ราชามารพูดว่า “ที่น่าเสียดายก็คือ สุดท้ายแล้วกลับมีปัญหาร้ายแรงปรากฏขึ้น ราชามารและบัณฑิตเหล่านั้นพบว่า เมื่อไม่ได้อยู่ในดินแดนเซิ่งกวงแล้ว ความสามารถในการมีบุตรของเผ่าข้าก็ยิ่งผลกระทบใหญ่มากขึ้น แต่เมื่อมาถึงยุคของมหาบัณฑิตทงกู่ซือ เขาได้พิจารณาแล้วว่านี่คือความเสื่อมโทรมที่ไม่สามารถย้อนกลับได้”
หัวข้อกลับไปสู่จุดสนใจแรกของการสนทนาอีกครั้ง เหตุใดเผ่ามารจึงแพ้สงครามครั้งนี้
ราชามารย่อมเคยพูดเรื่องนี้ไว้ในจดหมายของเขาโดยปริยาย เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าเขาพูดด้วยเหตุใด แล้วยิ่งไม่เข้าใจอีกฝ่าย
ขุนพลเทพเฮ่อหมิง เซียวจาง และคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจ
ความสามารถในการมีบุตรลดลงจนถึงขั้นถดถอย ย่อมนำมาซึ่งการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่ พบเรื่องเช่นนี้ ราชามารจะกระทำสิ่งใด แน่นอนว่าต้องหาวิธีเปิดเส้นทางอีกครั้ง กลับไปยังดินแดนเซิ่งกวง เพราะเหตุใดราชามารรุ่นก่อนๆ และมหาบัณฑิตทงกู่ซือจึงไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
เฉินฉางเซิงถามว่า “มีอะไรในดินแดนเซิ่งกวงที่ทำให้พวกเจ้ากลัวมากเช่นนี้ เจ้ายอมเห็นเผ่ามารสูญสิ้นมากกว่าจะกลับไปหรือ”
“เทพเจ้า”
ราชามารจ้องไปในดวงตาของเฉินฉางเซิงพูดว่า “ถ้าหากเส้นทางของที่นี่และดินแดนเซิ่งกวงเปิดใหม่อีกครั้ง พวกข้าทุกคนจะกลายเป็นบ่าวรับใช้ของเทพเจ้า”
……
……
ในตอนแรกเริ่ม เมื่อผู้คนต่างพบว่าเฉินฉางเซิงและราชามารดูจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็พากันตกตะลึงกันเป็นอย่างมาก ตาของท่านปู่ถังลึกลงขึ้นเล็กน้อย
ไม่มีใครเชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะสมคบกับเผ่ามาร แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกมาก หรือจะเรียกว่าประหลาดก็ได้
แต่ผ่านไปไม่นานผู้คนก็ต่างสนใจถึงเนื้อหาในการสนทนากันระหว่างเฉินฉางเซิงกับราชามาร
ตำนานโบราณอันน่าตกใจ ความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง แท้ที่จริงแล้วเผ่ามารก็คือกองทัพสำรวจจากดินแดนเซิ่งกวง!
แต่เทพเจ้าคือสิ่งใดกัน คือเจตจำนงภววิสัยที่ดำรงอยู่เพียงหนึ่งเดียวซึ่งสตรีและเด็กที่ขาดความรู้เหล่านั้นเชื่อถือหรือ
ดินแดนต้าลู่กลางไม่มีเทพเจ้า ศาสนาประจำชาติก็คือเต๋า ไม่ใช่การมีอยู่ของภววิสัยที่แท้จริง
ผู้คนพูดกันว่าเทพเจ้าเป็นเพียงแค่ภาพมายาในตำนาน หรือภาพฉายจองจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์
แคว้นเทพอยู่เหนือมหาสมุทรดวงดาว เป็นบ้านของดวงวิญญาณทั้งปวง เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น
หรือดินแดนเซิ่งกวงจะยังมีเทพเจ้าอยู่จริง
เมื่อได้ฟังราชามารพูดจบ ผู้คนก็เงียบไปนานและ แม้แต่เซียวจางก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด
“มิใช่ว่าไม่มีแดนเทพแล้วหรือ”
ใครก็คาดไม่ถึง คนที่ทำลายความเงียบลงก็คือนักพรตน้อย
เขากำลังอิงอยู่ในอ้อมแขนของสวีโหย่วหรง กำลังกอดคอของนางไว้ แววตาเปล่งประกายออกมาก มองไปยังราชามารด้วยความสงสัย
ไม่รู้ว่าเมื่อใด ที่เขาได้ขจัดความกลัวและความเศร้าโศกออกไป และได้ฟังเรื่องนี้อย่างครบถ้วนทีเดียว
ราชามารไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะเขาเองก็ไม่มีคำตอบ
คำอธิบายของเทพเจ้านั้นยากสุดจะพรรณนา มันคือบันทึกทั้งหมดที่เขาได้เห็นหลังจากขึ้นครองราชย์
จากการที่เขาเงียบทำให้เห็นว่า บันทึกเหล่านั้นส่งผลกระทบอย่างไรต่อสภาพจิตใจของเขา
ในที่สุดเซียวจางก็ทนต่อไปไม่ได้ ถามว่า “เทพเจ้าร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือ”
“ทูตสวรรค์ทั้งสองที่เคยมายังเมืองไป๋ตี้เมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นเพียงผู้รับใช้ของเหล่าเทพเจ้า”
ราชามารเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พวกข้าก็เคยเป็น”
คำว่าพวกข้าในประโยคนั้น หมายถึงราชวงศ์ของเมืองเสวี่ยเหล่า
เซียวจางตกตะลึงและพูดว่า “ช่างน่าสงสาร”
เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่ได้รับสุสานเทียนซูและเปลวเพลงแห่งอารยธรรม ถูกดินแดนเซิ่งกวงเรียกว่าโจรขโมยไฟ
ราชามารรุ่นที่หนึ่งถูกขนานนามว่าเทวดาตกสวรรค์
แรกเริ่มเมื่อเขาอยู่ในดินแดนเซิ่งกวง เดิมทีเขาก็เป็นทูตสวรรค์ และเป็นผู้นำกองทัพทูตสวรรค์
ที่เรียกกันว่าตกสวรรค์นั้น เป็นเพราะเขาถูกภูตมารล่อลวง และไม่ยอมกลับไปสู่อ้อมกอดของเทพเจ้า
นามของภูตมารตนนั้นมีชื่อว่า อิสระ
ไม่มีใครเต็มใจเป็นบ่าวรับใช้ แม้แต่คนรับใช้ของเทพเจ้า
ดังนั้นราชามารรุ่นที่หนึ่งจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะอยู่อาศัยที่นี่
ดังนั้นราชามารรุ่นก่อนๆ และมหาบัณฑิตทงกู่ซือไม่มีผู้ใดเต็มใจกลับไปยังดินแดนเซิ่งกวง
“ข้าเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นได้”
เฉินฉางเซิงพูด “หลังจากเป็นอิสระจากเงาแห่งความตายแล้ว ข้ารู้สึกว่าโลกทั้งใบดูเหมือนจะสว่างขึ้น”
ราชามารพูดว่า “เทียบกับความตายแล้ว นั่นคือเสรีภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “เทียบกับคำตอบแล้ว เหตุใดการถามคำถามนี้จึงสำคัญกว่า”
เรื่องที่พูดคุยกันนี้มาจากคำถามนั้นที่ถามราชามารขึ้นมา
…เหตุใดเผ่ามารจึงพ่ายแพ้ให้แก่เผ่ามนุษย์
ความตั้งใจที่ราชามารตั้งคำถามนี้ขึ้นมาคืออะไร
“ยังพูดไม่จบ เผ่าของข้าพ่ายแพ้ยังมีอีกสาเหตุที่สำคัญ…นั่นก็คือกุนซือต้องการให้พวกข้าพ่ายแพ้”
สีหน้าของราชามารขาวซีดลงเล็กน้อย แต่ริมฝีปากของเขากลับสดขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเพิ่งทาสีแดงสดลงไป
“การรบในสงครามครั้งนี้มีเขาเป็นผู้เตรียมการทั้งหมดเอง แล้วเขาต้องการให้พวกเราพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วเราจะไม่แพ้ได้อย่างไร”
คนชุดดำเป็นกุนซือของเผ่ามาร เขามีพลังมหาศาล ที่สำคัญที่สุด กลยุทธ์ของเผ่ามารและแม้แต่กลยุทธ์เฉพาะ ล้วนมีเขาเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น
ถ้าหากสิ่งที่ราชามารพูดเป็นเรื่องจริง คนชุดดำต้องการให้เผ่ามารแพ้ เผ่ามารไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่แพ้พ่ายจริงๆ
คำถามก็คือด้วยเหตุผลใดคนชุดดำจึงทำเช่นนี้
ไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องการสำนึกผิดเหมือนในบทนำลำจนหลั่งน้ำตาเหล่านั้น มันต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลังเป็นแน่