ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 130 ความลับของดวงดาว
“ด้วยผลกระทบจากการพ่ายแพ้ในสนามรบ เขาใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อบูรณะซ่อมแซมแท่นบูชาในเมือง”
ราชามารพูดว่า “จากนั้นเขาก็ชักชวนผู้อาวุโสหลายคนและญาติผู้ใหญ่ของข้า ตกลงกันว่าเขาจะใช้จิตวิญญาณของนักรบเผ่ามารที่สิ้นชีพในสนามรบเพื่อสักการะบูชาดวงดาวที่อยู่เต็มท้องฟ้า”
เมื่อได้ยินคำว่าเครื่องบูชาดวงดาว เฉินฉางเซิงรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง ถามว่า “บูชาแก่ผู้ใด และขอสิ่งใดกัน”
ราชามารพูดด้วยถ้อยคำประชดประชันว่า “แน่นอนว่าจะต้องถวายเครื่องบูชาแด่ดวงดาวที่ดินแดนเซิ่งกวง ทหารผ่านศึกเหล่านั้นหวังว่าดินแดนเซิ่งกวงจะช่วยพวกเราได้ ขุนนางใจเสาะบางคนถึงกับหวังว่าจะส่งพวกเขากลับไปยังดินแดนเซิ่งกวงได้ จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายและความเจ็บปวดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ต้นกำเนิดของเผ่ามารถูกทำลายไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดพวกเขาจึงรู้ได้”
“สงครามที่ดำเนินไปในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์วุ่นวายไปหมด กฎเกณฑ์มากมายไร้ผล และความลับหลายอย่างก็แพร่กระจายไปโดยปริยาย”
ราชามารมองไปยังเหล่ามหาบัณฑิต
ใบหน้าของมหาบัณฑิตคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดทันที จากนั้นเขาก็เริ่มอาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด
เลือดนั้นไม่ใช่สีแดง ไม่ใช่สีทอง และก็ไม่ใช้สีเขียว แต่กลับเป็นสีดำ
เห็นได้ชัดว่ามหาบัณฑิตคนนั้นโดนยาพิษ พูดอย่างทรมานว่า “ถึงแม้ว่าข้าไม่พูด ท่านกุนซือก็รู้ทุกอย่าง”
ราชามารพูดอย่างสงบว่า “แต่เจ้าก็พูดไปแล้ว”
มหาบัณฑิตคนนั้นล้มลงไปบนพื้น ชักกระตุกไปสองครั้ง แล้วก็หยุดหายใจไป
ราชามารมองไปยังฝูงชน ที่เจาะจงคือสวีโหย่วหรง และกล่าวคำขอโทษ “ขอโทษที”
เฉินฉางเซิงไม่ทันสังเกตเห็น แต่กำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดเมื่อสักครู่
พวกระดับบนของเผ่ามารตั้งความหวังไว้ที่แท่นบูชานั้น โดยธรรมชาติแล้วแน่นอนว่ามันเป็นการยากที่จะทำให้ดีที่สุดในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตวิสัยหรือสิ่งใดก็ตาม ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ของเผ่ามารจึงเลวร้ายลงมาก และยิ่งไปกว่านั้นเช่นนี้ พวกเขาก็จะยิ่งตั้งความหวังไว้กับแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น แท่นบูชานั้นก็เป็นเหมือนกับหนองน้ำที่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า หากเพียงร่วงลงไป ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเท่าใด มันก็ยากจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ราชามารน่าจะยิ่งมองเห็นได้ชัดขึ้นว่า เหตุใดเขาจึงไม่หยุดคนชุดดำ เหตุใดจึงไม่ทำลายแท่นบูชานั้นเสีย
ราชามารมองไปยังเฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเดาได้แล้ว ใช่แล้ว ข้าเองก็ยังต้องการเก็บความหวังสุดท้ายไว้”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “แม้จะขัดต่อเจตจำนงของราชามารรุ่นก่อนๆ หรือ”
ราชามารถอนใจ “ข้าก็ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าโหดร้ายเกินไป”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “สิบปีก่อนเจ้าก็เคยทำมาแล้ว”
นี่หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับทูตสวรรค์สององค์ที่เคยปรากฏตัวในเมืองไป๋ตี้
“นี่ย่อมมีความแตกต่างอย่างมาก”
ราชามารมองไปยังเขาแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “เพราะจำนวนมันต่างกัน”
หลังพูดประโยคนี้จบ เขาก็อ้าแขนออก
เสื้อคลุมสีดำสะบัดพลิ้วโดยไม่มีลม
ขณะที่เปลวเพลิงมารของค่ำคืนสีดำที่จับตัวกันแน่นไหวไปมา ก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้น
เหล่านี้คือรูปปั้นหิน ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ ก็มีความสูงไม่เกินหนึ่งฉื่อ ไม่ใช่ทองและหยก ไม่อาจทราบได้ว่าทำมาวัสดุใด
รูปปั้นหินบางชิ้นนั่งยองๆ บางชิ้นก็ราวกับกระพือปีกเพื่อโบยบิน มีความประณีตละเอียดอ่อน แลดูมีชีวิตชีวา ซึ่งเกินขอบเขตของการแกะสลักไปแล้ว
เฉินฉางเซิงแลดูเคร่งขรึมขึ้น
รูปปั้นหินไม่ได้เผยให้เห็นถึงไอพลังปราณใด แต่กลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดเกินจะเปรียบได้ ราวกับว่าจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
ในใจของหวังผ้อและคนอื่นๆ เกิดความรู้สึกระมัดระวังขึ้นอย่างแรงกล้า
พวกเขาก็เหมือนกันเฉินฉางเซิง นึกถึงทูตสวรรค์สององค์ที่ลงมายังเมืองไป๋ตี้ นึกถึงเปี๋ยยั่งหง
หากรูปปั้นหินหนึ่งรูปเป็นทูตสวรรค์หนึ่งองค์ เมื่อมองไปรอบๆ มีรูปปั้นหินที่อัดแน่นอยู่กี่รูปกัน
เปลวไฟมารยังคงเต้นไม่หยุด
สีของคำคืนกระสับส่าย เงียบสงัดวังเวงไปทั้งผืน
คำถามมากมายได้รับคำตอบแล้ว
ความเกลียดชังของคนชุดดำที่มีต่อเผ่ามนุษย์ แท้ที่จริงลึกเท่ากับทะเลประจิม เพื่อที่จะทำลายล้างเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเขาก็ทำ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขายืมมือเผ่ามารมาทำลายล้างเผ่ามนุษย์ เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเลือกเส้นทางอื่น
บนถนนแห่งความปราชัยของเผ่ามารเขาได้ผลักไสอย่างไร้ความปรานี ในเวลาอันสั้นเผ่ามารก็ถูกผลักดันไปสู่ความสิ้นหวัง บังคับให้เผ่ามารก้าวเข้าสู่จังหวะของตนเอง ระดมทรัพยากรนับไม่ถ้วนเพื่อสร้างแท่นบูชา เตรียมต้อนรับกองทัพทูตสวรรค์ผู้มาจากดินแดนเซิ่งกวง
“คืนนี้ที่เจ้าเอ่ยเรื่องนี้ แท้จริงแล้วมีความหมายเช่นไร”
เฉินฉางเซิงพูดกับราชามาร
ราชามารขมวดคิ้ว มองเข้าไปยังนัยน์ตาของเขา พูดอย่างสงบและหนักแน่นว่า “ถอยออกจากเมืองเสวี่ยเหล่า ไม่เช่นนั้นข้าจะยอมรับคำขอของคนชุดดำ”
“นี่เป็นเรื่องราวที่ดีเรื่องหนึ่ง” หวังผ้อพูด
ท่านปู่ถังพูดว่า “เป็นเรื่องราวที่ดีจริงๆ”
เรื่องราวนี้ พูดให้ถูกก็คือวิธีการเล่าเรื่องนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าราชามารน่าอัศจรรย์จริงๆ
ถ้าหากมิใช่เพราะให้เวลาแก่ราชามารท่านนี้น้อยเกินไป และสถานการณ์ถูกกำหนดไว้แล้ว บางทีเผ่ามารอาจจะฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาจริงๆ
แรกเริ่มเดิมที ถ้าหากราชามารมิได้เชิญนักประวัติศาสตร์และนักปราชญ์เหล่านั้นออกมา พูดถึงการทำลายล้างเผ่าพันธุ์และอารยธรรม ทำให้เกิดบรรยากาศที่เคร่งขรึม น่าสลดใจ และน่าเกรงขาม หากเขาเริ่มเล่าเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่ออย่างแน่นอน คงคิดเพียงว่าเขากำลังถ่วงเวลาด้วยเหตุผลที่ไร้สาระ แต่ราชามารมิได้ทำเช่นนั้น เริ่มจากดินแดนเซิ่งกวงจนถึงเทพเจ้าจนถึงคนชุดดำ เขาค่อยๆ เล่าทีละน้อยๆ และทำให้จิตใจของผู้คนสั่นไหว เขาเล่าเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบหาใดเปรียบ มีความเป็นมา และมีน้ำหนัก ทำให้ผู้คนไม่เชื่อไม่ได้
“แต่ยังมีคำถามหนึ่ง คนชุดดำต้องการให้ท่านทำสิ่งใดหรือ”
หวังผ้อพูดว่า “ถ้าหากเรื่องนี้ไม่มีความหมายกับท่าน เช่นนั้นไม่ว่าเรื่องนี้จะดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย”
“สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ตัวข้า แต่เป็นสิ่งนี้”
มือขวาของราชามารกางแขนเสื้อออก
ในมือของเขาไม่มีรูปปั้นหิน แต่เป็นสากหินชิ้นหนึ่ง
สากหินชิ้นนั้นอาจดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น
แม้แต่ไข่มุกศิลาบนข้อมือของเฉินฉางเซิงก็ยังสัมผัสได้ และยังกระเทือนเบาๆ
สากหินชิ้นนั้นกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาจากที่เดียวกัน มีวัสดุแบบเดียวกัน แต่ยังให้อรรถประโยชน์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
พิฆาตดวงดาว
ความลับที่ไม่ได้พูดของเผ่ามาร
สุดยอดศาสตราเทพที่ไม่ปรากฏบนโลกนี้มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี
ในปีนั้นที่สันเขาหิมะ ราชามารคนก่อนสิ้นชีพใต้แสงดาวที่เขาอัญเชิญลงมา
เฉินฉางเซิงเคยเห็นพิฆาตดวงดาวมากับตา
ในเวลาต่อมาตามคำอธิบายของนักบวชพระราชวังหลี พิฆาตดวงดาวถูกวาดลงในม้วนภาพ และส่งหมุนเวียนไปยังทุกมุมเมือง
บุคคลอย่างท่านปู่ถังและหวังผ้อ ย่อมเคยเห็นภาพนี้นานแล้ว หลังจากเหลือบมองเพียงครั้งเดียว พวกเขาก็มั่นใจว่านี่เป็นพิฆาตดวงดาวที่แท้จริง
เช่นนั้นเรื่องที่ราชามารเล่ามา ก็มีความจริงมากขึ้นด้วย
ถ้าหากราชามารร่วมมือกับคนชุดดำ และใช้แท่นบูชากับพิฆาตดวงดาวเพื่อเปิดเส้นทางให้ทูตสวรรค์จากดินแดนเซิ่งกวงลงมาทีละองค์ละก็…
เปลวเพลิงมารสั่นไหว รูปปั้นหินเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น
เมื่อมองดูที่ฉากนี้ สีหน้าของทุกคนก็เคร่งขรึมหาใดเปรียบ
แม้ว่าทูตสวรรค์เหล่านั้นจะไม่ทรงพลังเท่ากับทูตสวรรค์ทั้งสองที่ปรากฏตัวในเมืองไป๋ตี้ แต่จากการวิเคราะห์หลังจากนั้น ทูตสวรรค์แดนเซิ่งกวงเหล่านั้นสามารถเข้าใจหลักธรรมธรรมชาติระหว่างสวรรค์และโลกได้ด้วยตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นับตั้งแต่วินาทีแห่งการมีอยู่ของพวกเขาเป็นต้นมาพวกเขาก็คือผู้แข็งแกร่งในขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่า เผ่ามนุษย์ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายทั้งหมดที่เป็นได้แล้ว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของราชวงศ์ต้าโจวและพระราชวังหลีและพรรคสำนักตระกูลอื่นๆ มักจะอนุมานการสงครามเมืองไป๋ตี้ในตอนนั้น มองหาวิธีที่จะสังหารทูตสวรรค์แห่งเซิ่งกวง แน่นอนว่าได้รับความคืบหน้าอยู่บ้าง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่ว่าจำนวนทูตสวรรค์มีน้อยมาก
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งในขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์บางคนบาดเจ็บหนัก หรือไม่ก็กำลังก่อกบฏ ถ้าหากจำนวนของทูตสวรรค์มีมากถึงเพียงนั้น ดังนั้นต้องทำเช่นใดจึงจะได้รับชัยชนะเล่า
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ ถ้าหาก…เทพเจ้าแห่งดินแดนเซิ่งกวงลงมาด้วยตนเอง เช่นนั้นจะทำเช่นไรเล่า
เผ่ามนุษย์จะพินาศไปเช่นนี้หรือไหม
บรรยากาศกดดันอย่างมาก
แต่ก็ยังมีคนไม่เชื่อเรื่องที่ราชามารบอก
“นี่ไม่ใช่ท่อนไม้ซักผ้าที่ทำจากหินหรือ นี่ท่านเห็นพวกเราเป็นท่อนไม้ซักผ้าจริงหรือ เทียนฉุยตายไปสิบปีแล้ว”
เซียวจางพูดว่า “พวกเราเตรียมตัวกันมานานหลายปีขนาดนี้ รบมานานขนาดนี้ มีคนล้มตายไปมากขนาดนี้ ท่านใช้เรื่องราวนี้เรื่องเดียวมาบอกให้พวกเราถอยกลับไปอย่างนั้นหรือ”
ประโยคนี้ทำให้ขุนพลเทพเฮ่อหมิงและคนจำนวนหนึ่งใจสั่นไม่น้อย
ถ้าหามันเป็นเรื่องจริงเล่า ราชามารกำลังทำให้คนตกใจกลัว
รอยย่นที่หางตาจองท่านปู่ถังลึกลงไปเรื่อยๆ ตามความกังวลที่เพิ่มขึ้น
เขารู้สึกว่าสิ่งที่ราชามารพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
หวังผ้อและสวีโหย่วหรงก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
เฉินฉางเซิงเคยเห็นลำแสงที่ส่องผ่านทะเลแห่งดวงดาวในสันเขาหิมะ เขาน่าจะเชื่อเรื่องนี้มากที่สุด
แต่เขาจำได้เลือนรางว่าพิฆาตดวงดาวใช้งานไม่ได้แล้ว และจำบทสนทนาที่เขาได้ยินในคืนนั้นได้
เขาถามราชามารว่า “แท่นบูชาใช้ทลายกำแพงใช่หรือไม่ พิฆาตดวงดาวใช้สำหรับระบุสถานที่ใช่หรือไม่”
ราชามารพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่ลืมเรื่องที่ข้าและท่านพ่อพูดคุยกัน”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ทูตสวรรค์สององค์ที่ลงมาเมื่อสิบปีก่อน ท่านสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นทาสรับใช้ได้ ความคิดของคนชุดดำตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ถ้าหากเหล่าจำนวนของเหล่าทูตสวรรค์ลงมาเยอะเกินไป เจ้าจะทำเช่นไร ดังนั้นที่ผ่านมาเจ้าจึงลังเลมาโดยตลอด และดิ้นรน จนถึงตอนนี้ท่านก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร”
ราชามารยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ดังนั้นข้าจึงนำทางเลือกนี้มาให้เจ้าทำ”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ
เมื่อนึกถึงตอนนี้ เนื้อหามากมายในจดหมายโต้ตอบในช่วงสิบปีที่ผ่านมาคือกลยุทธ์ของราชามาร
นี่เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน และเป็นการยากสำหรับเขาที่จะโน้มน้าวตัวเองว่า การคุกคามของดินแดนเซิ่งกวงนั้นไม่มีอยู่จริง
ทางเลือกทั้งหมด เป็นเหมือนกับการพนันเสียมากกว่า เบี้ยที่ใช้วางเดิมพันคือเผ่ามนุษย์ทั้งหมด
เมื่อพูดถึงการพนัน สวีโหย่วหรงและท่านปู่ถังเก่งกว่าเขามาก แต่ว่าพวกเขาไม่เคยอ่านจดหมายเหล่านั้น
เนื้อความในจดหมายเหล่านั้นคือไพ่ที่ราชามารเปิดออกมาหมดแล้ว
มีเพียงการอ่านไพ่เหล่านั้นเท่านั้น ที่จะลองตัดสินดูว่าไพ่ของราชามารคือสิ่งใด
ทันใดนั้น ก็มีเสียงจากด้านหลังฝูงชนดังขึ้นมา
น้ำเสียงนั้นดูป่วยไข้ และอ่อนแรง แต่ก็มีความรู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็จะหงุดหงิดได้ง่าย
“สิ่งที่เขาเขียนในจดหมายนั้นเป็นจริงทั้งหมด เรื่องราวส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องจริง แต่คำที่เขาพูดนั้นเป็นเท็จ”
ราชามารมองไปยังด้านหลังฝูงชน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เพราะเหตุใด”
“เพราะว่ามีความปรารถนาที่จะตายอยู่ตรงระหว่างคิ้วและตาของเจ้า และยังมีการบาดเจ็บทางอารมณ์ แต่กลับไม่มีความกระฉับกระเฉงและชีวิตชีวา ในคราแรกข้าใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการย้อนกลับไปถึงสถานการณ์ที่เวิ่นสุ่ย หลังจากออกมาจากห้องโถงบรรพบุรุษและไปอาบน้ำที่ถนนรอบหนึ่ง แม้ว่าเจ้าจะไม่ดีเท่าข้า ไม่สามารถทำเรื่องที่สูงส่งเช่นนี้ให้สำเร็จ แต่การทำให้เหตุการณ์เลวร้ายเหล่านี้สิ้นสุดลงก็ควรมีมาดอยู่บ้าง การนิ่งเฉยเช่นนี้แสดงได้ว่าท่านกำลังโกหก!”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนเข็นรถเข็นออกมาจากด้านหลังฝูงชน
ถังซานสือลิ่วนั่งอยู่บนนั้น