ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 133 เจ้าก็คือประภาคาร
เงียบกริบ
คนชุดดำยืนอยู่บนบันไดศิลา มองดูผู้คนจากมุมสูง ราวกับเทพเจ้ากำลังมองดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย
มีคนไม่เข้าใจคำพูดเมื่อครู่ และหลายคนไม่เข้าใจคำพูดประโยคสุดท้ายของคนชุดดำ
ผู้ซึ่งรู้สึกว่าบรรยากาศมีความกดดันอย่างราชันแห่งหลิงไห่และพวก เดาสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพลิกผันออก กระทั่งอาจตกอยู่ในการควบคุมของคนชุดดำแล้ว จึงหันมองเฉินฉางเซิงอย่างเคร่งเครียด
สีหน้าของเฉินฉางเซิงค่อนข้างซีดขาว เขาเข้าใจความหมายของคนชุดดำ จึงถาม “แสงศักดิ์สิทธิ์?”
คนชุดดำตอบ “ไม่ผิด”
กำลังจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
นักพรตน้อยซุกเข้าไปในอ้อมอกของเยี่ยเสี่ยวเหลียน
มือของสวีโหย่วหรงวางลงบนไหล่ของเฉินฉางเซิง
ปีกสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้น
ถัดจากนั้น ในอากาศก็ปรากฏกระแสเพลิงขึ้นหนึ่งสาย
ในระยะเวลาอันสั้น นางสามารถพาเฉินฉางเซิงไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุด
เพราะนางก็เข้าใจความหมายของคนชุดดำ
“ไม่ทันแล้ว”
คนชุดดำก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ชายกระโปรงกวาดเศษฝุ่นขึ้น ทำให้คลับคล้ายมองเห็นส้นเล็กๆ ที่ไร้รูปและโปร่งแสงสายหนึ่ง
เส้นนั้นราวกับพุ่งออกจากเปลวมารในยามค่ำคืน มาอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง พันข้อเท้าของเขาไว้
“เจ้ากับฝ่าบาทติดต่อกันมาหลายปี น่าจะชัดเจนดีว่า เปลวมารก็คือเพลิงสวรรค์ เป็นประเภทเดียวกันกับแสงศักดิ์สิทธิ์ ทว่าร้อนแรงกว่า เพียงแต่มีรูปลักษณ์ไม่เด่นชัด”
คนชุดดำจ้องมองเขาพลางว่า “อีกสักครู่ เปลวมารก็จะเผาไหม้แสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างเจ้า…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ในตำหนักก็ได้ยินเสียงปะทะกันดังเปรี๊ยะๆ
นั่นคือเสียงผลึกน้ำแข็งหล่นลงบนพื้น
ขณะมองดูไอน้ำค้างแข็งสายนั้นค่อยๆ จางหายไป จี๊ดจี๊ดก็ร้องขึ้นอย่างขุ่นเคือง “นี่มันของเล่นอะไรกัน!”
ผู้คนก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน ขนาดลมหายใจมังกรของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งก็ยังไม่สามารถดับได้!
คนชุดดำไม่สนใจนาง พูดต่อ “เจ้าอาจกลายเป็นคบเพลิงหนึ่งท่อนกระมัง ข้าไม่รู้ ทั้งหมดล้วนเป็นการสันนิษฐาน แต่ภาพนั้นน่าจะงดงามยิ่ง”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู จึงว่า “ไม่รู้ว่างดงามหรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะสว่างมาก”
“ไม่ใช่แค่สว่างมาก ยังเป็นเพราะเดิมทีแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างเจ้ามาจากแผ่นดินใหญ่นั่น ระหว่างดินแดนทั้งสองย่อมมีการเชื่อมต่อที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น”
คนชุดดำพูดต่อ “ฝ่าบาทพูดไม่ผิด ขณะดวงดาวหมุนโคจร ดินแดนเซิ่งกวงกับแผ่นดินใหญ่ก็กำลังโคจรเช่นเดียวกัน ระหว่างทะเลดาวอันกว้างใหญ่ ยากจะระบุตำแหน่งของกันและกัน ถ้ายังฝืน คิดจะเปิดเส้นทางติดต่อกัน ชีวิตที่มาจุติเหล่านั้นก็จะง่ายต่อการหลงทาง และจะล่องลอยอยู่ในมิติอันไร้ขอบเขตตลอดกาล แต่ถ้าเจ้าเพียงจุดแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างขึ้น ไม่ว่าอยู่ห่างกันเพียงใด ดินแดนเซิ่งกวงก็ล้วนระบุพิกัดของเราได้ และจะเปิดทางจากตรงนั้น หรือพูดได้ว่า เจ้าก็คือประภาคารที่สว่างไสวสุดๆ แห่งหนึ่ง”
ประภาคาร เดิมทีก็เป็นคำปลอบประโลมที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นคำหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเป็นคำเยือกเย็นที่ทำให้สิ้นหวังเสียนี่กระไร
“เห็นที หลุมพรางนี้ เจ้าวางมันอยู่หลายปี”
เฉินฉางเซิงถามพลางมองดูเท้าตัวเอง เกล็ดน้ำแข็งค่อยๆ แตกออกจากกัน ทำให้กระแสเพลิงไร้รูปสายนั้นปรากฏขึ้น
“ครั้งนั้น ข้าเป็นคนส่งโลหิตของเฉินเสวียนป้าไปเอง การจุติของเจ้าคือผลลัพธ์ของการแลกเปลี่ยน และข้าก็เป็นหนึ่งในสามฝ่ายที่ตกลงแลกเปลี่ยนกัน”
คนชุดดำมองไปยังรถคันเล็กพลางว่า “อาจารย์เจ้าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้นว่าข้าคิดจะทำอะไร”
ซางสิงโจวคิดจะทำให้เฉินฉางเซิงกลายเป็นผลไม้พิษที่ยั่วยวนใจผลหนึ่ง
ใครต่อใครล้วนอยากกัดกินเขา
ปัญหาอยู่ที่ กินเข้าไปแล้วต้องถูกพิษตาย หรือไม่ก็ท้องอืดตาย
ถ้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่กินเฉินฉางเซิง ซางสิงโจวก็ยังสามารถลองใช้เฉินฉางเซิงอัญเชิญบทลงโทษเทพ มาสังหารเทียนไห่
บทลงโทษเทพที่ว่า ตอนนี้เห็นทีจะเป็นพิฆาตดวงดาว…ลำแสงที่ทะลุผ่านทะเลดาวมาสายนั้น
ตอนราชามารสังหารพระบิดาของตนนั้น ไม่เคยรู้ว่าความหมายสำคัญที่สุดของศาสตราเทพชิ้นนี้ คือใช้สื่อสารระหว่างสองดินแดน
พูดได้ว่า เฉินฉางเซิงก็คือพิฆาตดวงดาวในอีกรูปแบบหนึ่ง
สวีโหย่วหรงพลันถาม “เจ้าไม่เคยไปดินแดนเซิ่งกวงมาก่อน แล้วบรรลุข้อตกลงกับพวกเขาด้วยวิธีไหน”
คนชุดดำตอบ”ข้าเพียงเสนอความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ถ้าเทพในดินแดนเซิ่งกวงมีความรู้ความสามารถรอบด้านจริง จะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไรกัน”
เฉินฉางเซิงถาม “ทำไมเจ้าจึงจงเกลียดจงชังมนุษย์เช่นนี้”
เรื่องคนชุดดำหรือกุนซือเผ่ามารเป็นมนุษย์ มิใช่ความลับมาแต่ไหนแต่ไร
ซึ่งคำตอบของคนชุดดำก็เรียบง่ายมาก และมีพลังโน้มน้าวจิตใจที่แข็งแกร่งมาก
คำตอบก็คือ ชื่อของเขาเอง
“เพราะข้าคือโจวอวี้เหริน”
……
……
โจวอวี้เหริน
เคยเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
เป็นน้องชายของโจวตู๋ฟู
ถ้าข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริง เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเกลียดชังมนุษย์จริงๆ
“และนางก็เป็นภรรยาข้าด้วย”
หวังจือเช่อปรากฏตัวขึ้นในที่สุด และพูดความจริงที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง
เฉินฉางเซิงมิได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมา เพราะเขาเดาได้ตั้งนานแล้ว
ท่านปู่ถังกับสวีโหย่วหรงนั้นรู้ความลับนี้แต่แรกแล้ว
ถังซานสือลิ่วตกตะลึง “ใต้เท้าหวังท่านชมชอบบุรุษหรือ”
หวังจือเช่อว่า “นางเป็นอิสตรี มีชื่อเล่นว่าเฉินเอ๋อร์”
คนชุดดำเป็นสตรี!
นี่ทำให้เฉินฉางเซิงยิ่งสนใจความสัมพันธ์ระหว่างคนชุดดำ โจวตู๋ฟู และหวังจือเช่อ
มิน่าเล่า ในมือของคนชุดดำถึงมีศูนย์กลางจิตวิญญาณ ที่ใช้ส่งหนานเค่อกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารเข้าไปในสวนโจว
มิน่าเล่า ผู้มีความสามารถระดับหวังจือเช่อ เวลาเจอคนชุดดำ ถึงได้ทำอะไรดูติดขัดไปหมด
“เจ้าต้องการให้กองทัพทูตสวรรค์ของดินแดนเซิ่งกวงลงมาจุติ เผ่ามนุษย์ถูกล้างบาง หรือกลายเป็นข้ารับใช้ของทวยเทพ เจ้าถึงจะมีความสุข?”
หวังจือเช่อพูดอย่างจริงจังขณะมองตาของคนชุดดำ
“ใช่ พวกเจ้ายิ่งทุกข์ทรมาน ข้าก็ยิ่งมีความสุข”
คนชุดดำถอดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ใบหน้าสีเขียวทำให้ผู้คนรู้สึกไร้ชีวิตชีวา แต่ดวงตาและคิ้วยังคงงดงามสุดบรรยาย
นางขึ้นเสียงกับหวังจือเช่อ “วันที่พี่ใหญ่ถูกพวกเจ้าสังหารในปีนั้น ข้าก็สาบานแล้วว่า ต้องทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ให้ได้! สิงซานตงเชื่อว่าข้าเกลียดชังมนุษย์ แต่กลับไม่รู้ว่าในแผนของข้า เผ่ามารก็ต้องสูญพันธุ์เช่นเดียวกัน เขานึกว่าข้าไม่รู้ ถึงได้พลอยลงมือไปด้วย!”
เป็นคำพูดที่เรียบง่ายมาก มิได้ร้องเรียนไปน้ำตาคลอไป แต่ในตำหนักกลับหนาวเหน็บขึ้นมาก
ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ก็ถือเป็นการฆาตกรรมอันอัปยศสูงสุดในประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ เผ่ามาร และเผ่าปีศาจ รวมตัวกันเคลื่อนไหว สมคบคิด และใช้วิธีการต่างๆ นานาสังหารผู้แข็งแกร่งใต้ท้องฟ้าดวงดาวท่านนั้นสำเร็จจนได้
เผ่ามารกับเผ่าปีศาจยังไม่เท่าไหร่ แต่ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่เข้าร่วมกระบวนการฆาตกรรมครั้งนี้นั้น ให้อภัยไม่ได้จริงๆ
ไม่ว่าโจวตู๋ฟูจะมีอารมณ์รุนแรงขนาดไหน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีท่าทีที่แย่เพียงใด ทำให้ผู้แข็งแกร่งซึ่งบำเพ็ญเพียรและฝึกวรยุทธ์มาหลายร้อยปีบาดเจ็บล้มตายมากน้อยเท่าใด อย่างไรเขาก็เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองมนุษย์ ตอนนั้นถ้าไม่มีเขา เผ่ามารเป็นต้องบุกเข้าลั่วหยางได้แต่แรก และปกครองแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดแล้ว ซึ่งไม่แน่ว่าเผ่ามนุษย์อาจสูญพันธุ์ไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่แล้ว เขาก็ถูกหักหลังอย่างไร้ความปรานี ต่อมาก็ถูกฆ่าตาย
“ผู้ที่เจ้าต้องชำระแค้น น่าจะเป็นจักรพรรดิไท่จง หรือไม่ก็ใต้เท้าหวัง ไม่น่าใช่พวกเรา”
เฉินฉางเซิงพูดกับคนชุดดำ “เพราะพวกเราไม่เคยกระทำเรื่องที่ผิดต่อพวกเจ้าพี่น้อง”
คนชุดดำคิดไม่ถึงว่าในเวลาเช่นนี้เขายังคงสุขุมเยือกเย็นขนาดนี้ได้ จึงพูดเย้ยหยันเล็กน้อย “แล้วอย่างไร ก็ให้คนทั้งโลกตกตายไปพร้อมๆ กับเขาเสียสิ”
พูดจบ กระแสเพลิงไร้รูปนั่นก็ลุกไหม้ขึ้นมา
ไม่มีใครมองเห็นเปลวเพลิง แต่รู้สึกได้ว่าอุณภูมิสูงขึ้น
เฉินฉางเซิงติดไฟแล้ว
หรือพูดให้ถูกก็คือ แสงศักดิ์สิทธิ์ในเลือดเนื้อของเขาเหล่านั้นติดไฟแล้ว
เปลวไฟเหล่านั้นแปลกประหลาดมาก กระทั่งเสื้อผ้าก็ไม่ติดไฟ แต่เส้นแสงที่เปล่งออกมากลับสว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับกลิ่นอายของเทพศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้ เฉินฉางเซิงดูไม่เหมือนคบเพลิง แต่เหมือนไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งมากกว่า
ดวงตาของจี๊ดจี๊ดทอประกายพลางว่า “ให้ข้ากลืนเขารวดเดียวเลยไหม!”
สวีโหย่วหรงสั่นศีรษะ
หลังจากแสงศักดิ์สิทธิ์ถูกเปลวมารจุดติด ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่ง แสงที่เห็นสามารถทะลุทะลวงผ่านสิ่งต่างๆ ได้
เสื้อคลุมเทพพระสังฆราชและหลังคาตำหนักมารก็ล้วนไม่สามารถปิดกั้นแสงประหลาดนี้ได้ เชื่อว่าร่างกายมังกรก็เช่นเดียวกัน
เฉินฉางเซิงแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเคร่งเครียด
เขารู้สึกได้ว่า แสงนั่นมาแล้ว