ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 134 แสง ตกกระทบใบหน้าเจ้า
ในส่วนลึกที่สุดของทะเลดาว ปรากฏจุดแสงขึ้นจุดหนึ่ง
จุดแสงจุดนี้สลัวมาก น่าจะอยู่ในที่ที่ห่างไกลมากทีเดียว
เฉินฉางเซิงนึกออกโดยปริยายว่า ตอนกำหนดดาวแห่งโชคชะตานั้น เคยเห็นกลุ่มดาวระยิบระยับดุจโคมไฟของบ้านหมื่นหลังกลุ่มหนึ่ง
ตรงกันข้ามกับทะเลดาวกลุ่มนี้ยังมีทะเลดาวอีกกลุ่มหนึ่ง จุดแสงก็คล้ายๆ กันกับทะเลดาวฝั่งตรงข้าม
เพียงแต่ค่อยๆ สว่างขึ้น แสดงว่า แหล่งกำเนิดแสงกำลังเคลื่อนเข้าใกล้ผู้สังเกตการณ์
จุดแสงยิ่งมาก็ยิ่งสว่าง บ่งบอกว่าแหล่งกำเนิดแสงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มีความเป็นไปได้อีกอย่าง
นี่คือแสงซึ่งส่องมาที่ดวงตาของเขา
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะจุดแสงนั่น เปลี่ยนจากสลัวเป็นสว่างเร็วจนเกินไป
ถัดจากนั้น แขนเสื้อของเขาก็สะบัดขึ้นเองทั้งๆ ที่ไม่มีลม นัยน์ตาก็เกิดแสงเงานับไม่ถ้วน
เขารู้สึกว่าตนเองเปรียบเสมือนผลไม้สีแดงผลเล็กนั่น ดาวแห่งโชคชะตากำลังลอยอย่างเงียบๆ อยู่นอกทะเลดาว แต่จู่ๆ ก็เคลื่อนไหวขึ้นมา
ขนาดลำแสงนั่นยังมาไม่ถึงทะเลดาวแห่งนี้ ก็เกิดผลกระทบเสียแล้ว
โดยหลายคนรู้สึกว่าดาวแห่งโชคชะตาของตนได้รับผลกระทบ จึงเริ่มขยับตัวไปมา จนได้ยินเสียงอุทานดังทั่วทั้งตำหนักมาร
“ดาวนักษัตรกำลังเปลี่ยนแปลง!”
บัณฑิตเผ่ามารตะโกนเสียงดังอย่างคลุ้มคลั่ง ขณะมองดูกลุ่มดาวบนท้องฟ้า คล้ายเห็นภาพการทำลายล้างโลกอย่างไรอย่างนั้น
……
……
ดินแดนเซิ่งกวงเริ่มบุกเข้ามาแล้วหรือ
รู้สึกได้ถึงรังสีฆ่าฟันบางๆ ที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงคนชุดดำที่จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเงียบๆ ใบหน้าสีเขียวอ่อนอมยิ้มเล็กน้อย
เมื่อสิบปีก่อน ในสันเขาหิมะ เฉินฉางเซิงเคยเห็นภาพทำนองนี้มาแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถสงบนิ่งได้ เพราะลำแสงในคืนนี้ พุ่งมาที่เขา
เสียงเบาๆ ดัง หง่าง คล้ายระฆังของวัดมหายานถูกเคาะขึ้นอีกครั้ง เมฆบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือเมืองเสวี่ยเหล่าม้วนตัวไม่หยุด ก่อนกระจายตัวออก
ลำแสงสายหนึ่งตกลงบนร่างของเฉินฉางเซิง
ลำแสงสายนี้เดินทางผ่านทะเลดาวที่อยู่ห่างไกล ยามตกสู่พื้นดินจึงมีรัศมีเพียงไม่กี่ฉื่อ จินตนาการได้ว่าควบแน่นได้มากขนาดไหน
ซึ่งมีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้
ลำแสงที่เงียบเชียบสุดจะเปรียบลำนี้แฝงกลิ่นอายทำลายล้าง ราวกับมาจากวันสิ้นโลก
แต่เฉินฉางเซิงไม่เหมือนราชามารในตอนนั้นที่ถูกทำลายไปเช่นนั้น ขณะยืนอยู่ในลำแสง ร่างกายเขายังอยู่ครบถ้วน ไม่บุบสลาย
ต่อมา ถึงได้เข้าใจในสาเหตุ
ลำแสงต้องการให้เขามีชีวิตอยู่
พอถูกกระตุ้นจากลำแสง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเขาก็ยิ่งเผาไหม้รุนแรง จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างและความร้อนอย่างไม่สิ้นสุดออกมา กลายเป็นเปลวเพลิงขนาดเท่าภูเขาลูกเล็กๆ ม้วนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า
เปลวเพลิงขุมนี้ สูงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสูงกว่าตำหนักมาร ขึ้นไปถึงท้องฟ้าเหนือเมืองเสวี่ยเหล่า
ส่วนลำแสงก็เปลี่ยนเป็นสว่างเพิ่มขึ้น พอถึงจุดที่บรรจบกับเปลวเพลิง ก็สาดของเหลวสีทองหลายแสนตันออกมา
ของเหลวสีทองเหล่านี้มิได้ตกถึงพื้นดิน แต่ทาทับท้องฟ้ายามราตรี
ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนั้นค่อยๆ กลายเป็นกระจกเงาใสลื่น และยังขยายตัวออกไปไม่หยุด จวบจนครอบครองท้องฟ้าของพระราชวังมารทั้งหมด
ลำแสงสายนั้นกับแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเฉินฉางเซิงก็คือ สะพานเชื่อมต่อสองดินแดนเข้าด้วยกัน แล้วกระจกล่ะ หรือก็คือ ภาพเสมือนของกำแพงผลึกมิติ
แรงกดดันอันทรงพลังจากอีกโลกหนึ่ง ทำให้มิติบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป โดยเฉพาะที่ที่อยู่สูงขึ้นไป ก่อเกิดความปั่นป่วนมากมาย
และเพราะมิติเปลี่ยนรูป ทำให้ดวงจันทร์ที่อยู่ห่างไกล ดูแบนๆ อยู่บ้าง
เสียงตะโกนร่ำไห้ระงมไปทั่วทั้งเมืองเสวี่ยเหล่า ชาวเมืองพากันวิ่งออกนอกเมือง โกลาหลยิ่งกว่าตอนกองทัพเผ่ามนุษย์ตีเมืองแตกเสียอีก
บนพื้นดินปรากฏรอยแตกเป็นร่องลึกมากมาย ตำหนักมารพังทลายลง ทุกที่ล้วนมีแต่ก้อนหินลอยอยู่กลางอากาศ มองไปแล้วเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
แล้วจุดหนึ่งของกระจกแสงแผ่นนั้นก็ปูดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นออกมา จนเห็นเค้าโครงชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็คือใบหน้าหนึ่ง
กระจกถูกดึงให้ตึงขึ้นเรื่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ จวบจนเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง และในที่สุดใบหน้านั้นก็ปรากฏ
เป็นใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาลึกมาก เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“ทูตสวรรค์ใหญ่…”
ในที่สุดท่าทีของหวังจือเช่อก็เปลี่ยนไป เขามองดูใบหน้านั้นพลางบ่นงึมงำ
มีคนเพียงน้อยนิดที่ได้ยินเขาพูดเองเออเอง โดยในเวลาคับขันเช่นนี้ ผู้คนก็ไม่ทันได้คิดเช่นกันว่า เหตุใดเขาถึงได้รู้ว่าใบหน้านั่นคือใบหน้าของทูตสวรรค์ใหญ่
เมื่อใบหน้าที่ไม่ยี่หระมองลงมายังพื้นดิน กระจกแสงในท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เปลี่ยนเป็นบางลงเรื่อยๆ โปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนด้านหลังกระจกแสง ได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาจากตำหนักมารนับไม่ถ้วน รวมทั้งเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างคลุ้มคลั่งของคนชุดดำ
ตรงนั้นคือความมืดที่ไม่สิ้นสุด ทูตสวรรค์หลายร้อยองค์ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ปีกสีขาวเด่นสะดุดตายิ่ง
ผู้ที่เห็นภาพนี้ พากันตื่นตระหนก จากนั้นก็หวาดกลัว
แต่ใช่ว่าทุกคนล้วนตื่นกลัว สำหรับเซียวจางแล้ว ทูตสวรรค์เหล่านี้ก็เหมือนมดปลวก
สำหรับเขาแล้ว ความหวาดกลัวเกิดจากพลังคุกคามและทัศนวิสัยที่อยู่ไกลแสนไกล
ไม่มีดวงตา แต่เห็นชัดว่ามีการดำรงอยู่ของสิ่งซึ่งอยู่เหนือสสาร กำลังสำรวจมองโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่
นั่นก็คือเทพเจ้า?
……
……
ทูตสวรรค์เหล่านั้นดูเหมือนมาถึงท้องฟ้ายามราตรีของเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว แต่ความเป็นจริง พวกเขาอยู่ห่างจากดินแดนต้าลู่หลายสิบล้านลี้ หรือมากกว่านั้น
ถ้าคำนวณจากเวลา สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในดินแดนต้าลู่ ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่ามนุษย์ เผ่ามาร หรือเผ่าปีศาจ ล้วนยังมีเวลาพอที่จะเขียนคำสั่งเสียไว้ให้ชนรุ่นหลัง
เมื่อกองทัพทูตสวรรค์มาจุติตามลำแสงนี้ และผสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับรูปปั้นศิลาในเพลิงมารเหล่านั้น โลกใบนี้ก็เตรียมรับมือความพินาศได้เลย
“ท่านมีวิธีอะไรไหม”
สวีโหย่วหรงถามพลางจ้องมองหวังจือเช่อ
ขณะที่ทุกคนพากันเพ่งเล็งไปยังลำแสงและร่างของเฉินฉางเซิง นางกลับจับตามองหวังจือเช่อ
ด้วยเชื่อว่า บุคคลในตำนานเช่นนี้ เมื่อปรากฏตัวขึ้นในตำหนักมาร ต้องมีอะไรบางอย่างแน่
นางสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง หวังจือเช่อจำใบหน้าของทูตสวรรค์ใหญ่ได้อย่างแม่นยำ ทำให้นางยิ่งเชื่อมั่น
ทว่าคำตอบของหวังจือเช่อไม่สามารถทำให้นางพอใจ
“ข้ากำลังคิดอยู่”
คิดก็คือสำรวจดู หรือรอคอยก็ว่าได้
ส่วนถังซานสือลิ่วที่กำลังมองดูเฉินฉางเซิงในลำแสง กลับไม่มีกะใจคิดถึงความหมายแฝงในคำพูดเหล่านี้ เขายิ้มเย็นชาแล้วว่า “เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไรมิทราบ ดูละครหรือ”
สวีโหย่วหรงเก็บสายตาคืนกลับ แล้วเอียงคอมองกระจกแสงบานที่อยู่ในท้องฟ้ายามราตรีนั่น
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของนาง พลางนึกในใจ น่ารักมากๆ หลายปีมานี้ ไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้
สวีโหย่วหรงคิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจไม่รอหวังจือเช่ออีก หันไปพูดกับคนชุดดำ “ข้าหยุดยั้งเจ้าได้”
คนชุดดำยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดเย้ยหยัน “อย่างนั้นหรือ”
เห็นชัดว่านางไม่เชื่อคำพูดของสวีโหย่วหรง เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เซียวจางไม่เชื่อคำพูดของราชามาร โดยคิดว่าพูดเท็จเพื่อข่มขู่
เฉินฉางเซิงจึงว่า “ข้าก็เช่นกัน เพราะว่าวิธีนี้ง่ายเอามากๆ”
คนชุดดำเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าเตรียมทำเช่นไร”
“ฆ่าข้าก็สิ้นเรื่อง”
“ฆ่าเขาก็สิ้นเรื่อง”
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงพูดขึ้นพร้อมกัน
แล้วพวกเขาก็สบตากัน
เฉินฉางเซิงหัวเราะ สวีโหย่วหรงมิได้หัวเราะ
เงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลุกโชนของเพลิงมาร
ทุกสายตาล้วนพุ่งเป้ามายังร่างของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
คนชุดดำจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นยะเยียบ
นี่คือคำตอบ และเป็นหนทางเดียวเท่านั้น
นางคิดไม่ถึงว่า เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงจะคิดได้เร็วเช่นนี้ แถมยังสงบนิ่งถึงเพียงนี้
“ก่อนตาย ซางสิงโจวบอกข้าว่า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ก็ให้ฆ่าเจ้าเสีย”
สวีโหย่วหรงพูดกับเฉินฉางเซิงอย่างสงบนิ่ง “ขอโทษ ที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า”