ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 135 คำตอบของนาง
ที่แท้อาจารย์คาดการณ์ได้แต่แรกแล้ว
เฉินฉางเซิงรู้สึกตื้นตันใจอยู่บ้าง
มิน่าเล่า ครั้งที่คุยกันครั้งสุดท้าย อาจารย์บอกว่า ต่อให้คนชุดดำใช้วิธีไหน ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ขณะเฉินฉางเซิงกำลังตื้นตันใจ สีหน้าของคนชุดดำกลับดูไม่ได้สุดๆ ในสายตาของผู้คนจึงเกิดอารมณ์ซับซ้อนเหลือหลาย
มีเพียงราชามารที่มองตาสวีโหย่วหรงแล้วรู้สึกกระตือรือร้นและนับถือนางมากขึ้นเรื่อยๆ
หรือนางจะสังหารเฉินฉางเซิงจริงๆ
เหตุใดซางสิงโจวถึงได้มอบภารกิจนี้ให้สวีโหย่วหรง
“เพราะอะไร”
คนชุดดำพูดต่อ “พวกเจ้ามิใช่คู่บำเพ็ญเพียรหรอกหรือ”
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันจริง และยังเป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่เลื่องชื่อที่สุดในดินแดนต้าลู่ด้วย ทุกคนล้วนรู้ว่า ทั้งสองมีความรู้สึกนึกคิดสอดคล้องกันและเข้ากันได้ดี
แต่ซางสิงโจวกลับมั่นใจว่านางสามารถสังหารคนรักของตนเองด้วยอารมณ์ที่มั่นคงและสงบนิ่งได้
ชนิดที่ว่า ถ้าเฉินฉางเซิงค้นพบคำตอบแล้วไม่ยินยอมที่จะตาย สวีโหย่วหรงก็คือเพชฌฆาตที่ดีที่สุด
ไม่มีใครนึกถึง กระทั่งเฉินฉางเซิงเองก็ยังนึกไม่ถึงว่า นางจะสังหารเขาได้
การที่ซางสิงโจวคิดคำนวณได้ถึงจุดนี้ อีกทั้งยังกล้าใช้นางต่างเพชรฆาต ถือว่ายอดเยี่ยมมาก
แต่แน่นอน ผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ยังคงเป็นสวีโหย่วหรง
……
……
“ยังจำเรื่องที่เราคุยกันตอนอยู่นอกเมืองไป๋ตี้เมื่อสิบปีก่อนได้หรือเปล่า”
สวีโหย่วหรงถามขณะจ้องมองเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงพบคำตอบแล้ว แถมยังยอมรับอย่างสงบนิ่ง นางจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเพชฌฆาตอีก
สองประโยคนั่นคล้ายดังขึ้นพร้อมกัน แต่จริงๆ แล้วนางพูดช้ากว่าเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงจำสิ่งที่นางพูดได้
ถ้าภรรยาของท่านดีต่อท่านมาก แต่นิสัยแย่เอามากๆ เป็นคนชั่วช้าสามานย์ ท่านจะทำเช่นไร
คำถามนี้เปี๋ยยั่งหงเป็นผู้ถาม
คำตอบของเฉินฉางเซิงคือ ตักเตือนอีกฝ่าย ห้ามไม่ให้ทำชั่วต่อ และอยู่ดูแลข้างกายอีกฝ่ายไปชั่วชีวิต
ซึ่งอันที่จริง ก็ค่อนข้างคล้ายกับหวังจือเช่อ
ส่วนคำตอบของถังซานสือลิ่วตรงไปตรงมายิ่ง…ทำไมต้องห้ามด้วย ก็เป็นคนชั่วด้วยกันนี่ล่ะ สนุกดีออก
แต่คำตอบของสวีโหย่วหรงกลับแรงเหมือนลมตะวันตกที่อยู่นอกเมืองในวันนั้น
‘ข้าจะฆ่าเขา แล้วฆ่าตัวตายตาม’
……
……
เฉินฉางเซิงมิใช่คนชั่วช้าสามานย์
แต่สถานการณ์ในคืนนี้กับคำถามนี้ มีส่วนคล้ายกันจริงๆ
เฉินฉางเซิงรู้ว่า นางถามประโยคนี้หมายความว่าอะไร จึงตอบอย่างจริงจัง “ไม่ต้อง”
สวีโหย่วหรงว่า “ต้อง”
ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นพูดคำนี้ จะดูเหมือนงอนหรือไม่พอใจอยู่บ้าง
ซึ่งนางในตอนนี้ก็งอนแล้วจริงๆ และกำลังไม่พอใจด้วย แต่เพราะท่าทีที่สงบนิ่งเกิน จึงไม่มีใครเชื่อ
เฉินฉางเซิงมองตานางพลางว่า “ข้าตายก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องตาย”
สวีโหย่วหรงว่า “ข้าไม่อยากหลอกท่าน ถ้าท่านตายแล้ว จะห้ามข้าได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดูจึงว่า “มีเหตุผล เช่นนั้นก็พร้อมกันก็แล้วกัน”
ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่มีน้ำตา
พูดเรื่องตายพร้อมกันอย่างสงบนิ่งเช่นนี้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนน้ำตาไหลเงียบๆ
จี๊ดจี๊ดโมโหมาก
ส่วนผู้คนก็เคารพยกย่องจากใจจริง
สังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ
มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่มีปฏิกิริยาแตกต่างกัน แต่แรงทั้งคู่
ถังซานสือลิ่วตะโกนอย่างโกรธแค้น “พวกเจ้าสองคนเป็นคนโง่นี่เอง! ยังไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย เล่นบทผัวเมียสละชีพเพื่อความรักอะไรกัน!”
คนชุดดำตะโกนเสียงแหลม “เอาเลย! ลงมือสังหารกันและกันเลย! ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะลงมือได้จริงๆ หรอก!”
“ข้าไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่รีบร้อนลงมือในตอนนี้ แค่อยากบอกเจ้าว่า ข้าสามารถทำให้แผนของเจ้าล้มเหลวได้ทุกขณะ”
สวีโหย่วหรงพูดประโยคเดียวตอบคำถามของทั้งสองคน จากนั้นก็หันมองหวังจือเช่อ พลางว่า “เจ้ายังสามารถคิดต่อได้อีกหน่อย”
หวังจือเช่อกำลังคิด กำลังสำรวจ กำลังรอคอยมาตลอด
เขายังรอไม่ถึงการเปลี่ยนแปลงนั่น ก็พบปัญหาบางอย่างโดยไม่คาดคิด
ช่องทางมิติที่เชื่อมต่อสองดินแดน ไม่ค่อยเสถียรอย่างเห็นได้ชัด
ลำแสงที่มาจากดินแดนเซิ่งกวงนั้นไม่มีปัญหา แม้ตอนอยู่ในวัดมหายาน เขาสำรวจมองทางฝั่งนั้นมาหลายร้อยปี ก็ยังไม่เคยเห็นพลังงานบริสุทธิ์เช่นนี้มาก่อน
ปัญหาจึงอยู่ที่ร่างของเฉินฉางเซิง ปริมาณแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกไหม้ดูเหมือนจะน้อยไปหน่อย
แน่นอน นี่เป็นเรื่องที่ดี
คนชุดดำก็สังเกตเห็นปัญหานี้
นางตกใจมาก เพราะไม่สามารถเข้าใจได้
นางชัดเจนดีว่า ในตอนนั้น เพราะต้องการผลไม้อย่างเฉินฉางเซิง สังฆราชต่างเผ่าพันธุ์ท่านนั้นต้องสละชีวิตจำนวนมากเท่าใด ต้องใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมากเท่าใด
ถ้าพูดกันตามรายบุคคล ก็พูดได้กระทั่งที่ว่า แสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของเขาไม่มีวันหมดสิ้น
ต่อให้หลายปีมานี้ เฉินฉางเซิงได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง สูญเสียแสงศักดิ์สิทธิ์ไปมาก พลังก็ลดลงไม่น้อย คิดว่าเสียไปไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของปริมาณที่มีอยู่แต่เดิม
แล้วเหตุใดตอนนี้ปริมาณแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเขาถึงได้ลดลงมากขนาดนี้ กระทั่งทำให้ช่องทางมิติกลายเป็นไม่ค่อยเสถียรไป
ยิ่งมาก็ยิ่งมีคนจำนวนมากสังเกตเห็นปัญหานี้
จากนั้นหลายคนก็นึกคำตอบขึ้นได้
คนชุดดำก็นึกขึ้นได้เช่นกัน
หลายปีมานี้ เฉินฉางเซิงปรุงยาจูซาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในทุกๆ เดือนล้วนต้องเสียโลหิตไปมากมาย
ในโลหิตเหล่านั้นมีพลังงานอันอุดมสมบูรณ์ของแสงศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ เช่นนี้ถึงได้ถูกผู้ศรัทธาขนานนามว่า โลหิตศักดิ์สิทธิ์
สีหน้าของคนชุดดำดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง นางหยิบจานโลหะชิ้นหนึ่งออกมา หลับตา เริ่มพยากรณ์
ขณะเดียวกัน สวีโหย่วหรงก็หยิบถาดดาวโชคชะตาออกมา เริ่มพยากรณ์
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดมากขึ้น
สายตาหลายสิบคู่จ้องมองคนชุดดำกับสวีโหย่วหรงสลับกันไปมาไม่หยุด
พูดถึงการคำนวณและการพยากรณ์ อิสตรีทั้งสองคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ผ่านไปไม่นาน คนชุดดำก็ลืมตาขึ้น ก่อนเผยให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปาก
หลังจากนั้น สวีโหย่วหรงก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน ก่อนสั่นศีรษะอย่างอ่อนล้าเล็กน้อย
พอเห็นภาพนี้ ผู้คนก็รู้ผลลัพธ์แล้ว
“ช่องทางมิติไม่เสถียรอยู่บ้างจริงๆ แต่ก็เพียงพอที่จะเกื้อหนุนจนกองทัพทูตสวรรค์มาถึง”
คนชุดดำจ้องตาสวีโหย่วหรง ราวกับแม่มดชราจ้องมองผลผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) พลางหัวเราะคิกๆ “ดังนั้นเจ้ายังคงต้องลงมือสังหารเขา”
ถังซานสือลิ่วคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เซียวจาง ราชันแห่งหลิงไห่กับพวกคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ถ้าเฉินฉางเซิงตายไป ช่องทางมิติขาดลง สิ่งที่คนชุดดำปรารถนามาตลอดทั้งชีวิตก็จะสูญเปล่า นางในตอนนี้น่าจะนั่งไม่ติดมิใช่หรือ เหตุใดนางกลับดูเหมือนยิ่งกังวลว่า สวีโหย่วหรงจะสังหารเฉินฉางเซิงหรือไม่
คำถามนี้ มีเพียงสวีโหย่วหรง เยี่ยเสี่ยวเหลียน และจี๊ดจี๊ดที่เข้าใจ หนานเค่อก็อาจคลับคล้ายเข้าใจอยู่บ้าง เพราะพวกนางเป็นอิสตรี
“เจ้าทำหรือข้าทำ”
สวีโหย่วหรงถาม
“ข้าทำเอง”
เฉินฉางเซิงตอบ
พึ่บ พึ่บ พึ่บ พึ่บ!
กระบี่นับไม่ถ้วนส่งเสียงดังก้อง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฏแสงสีขาวบินฉวัดเฉวียนนับไม่ถ้วน
กระบี่สามพันเล่มพุ่งแหวกอากาศออกไป แล้วพุ่งกลับมาดุจนกนางแอ่น ก่อนลอยอยู่รอบๆ อย่างเงียบงันราวกับพายุฝนที่หยุดลง
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในนี้
เฉกเช่นการต่อสู้ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
แต่คืนนี้กระบี่ทั้งหมดล้วนกลับหัวกลับหาง ปลายแหลมของกระบี่หันเข้าหาเขา
เฉินฉางเซิงหลับตาลง
กระบี่สามพันเล่มสั่นสะเทือน ส่งเสียงดังเวิ้งว้าง คล้ายกำลังดิ้นรนขัดขืน
ตั้งแต่ออกจากสระกระบี่ในสวนโจว เขากับเหล่ากระบี่มรสุมก็ใช้ใจสื่อสารกันมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้
เหล่ากระบี่รับรู้เจตจำนงของเขา แต่กลับไม่ยอมทำตาม
ทว่าสุดท้าย นี่คือกระบี่ของเขา
ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ!
กระบี่สามพันเล่มหล่นลงจากท้องฟ้ายามราตรี จู่โจมเข้าใส่เฉินฉางเซิงดุจพายุฝนอย่างไรอย่างนั้น!
ถังซานสือลิ่วหน้าซีดขาว
เยี่ยเสี่ยวเหลียนอ้าปากค้าง
ไฝแดงตรงหว่างคิ้วของมังกรดำน้อยแดงสดสุดจะเปรียบ รูม่านตาในแนวตั้งเต็มไปด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยวของความโกรธแค้น
ทว่า สวีโหย่วหรงยังคงไม่มองเขา
นางกำลังจ้องมองหวังจือเช่อ
ในที่สุด หวังจือเช่อก็เคลื่อนไหว
แขนเสื้อขยับเล็กน้อย ถัดจากนั้น กลับมิได้ยกแขนซ้ายขึ้น แต่ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมา
ทุกคนกำลังจ้องมองภาพที่เหลือเชื่อ รวมทั้งเขาด้วย
พอกระบี่เหล่านั้นพุ่งเข้ามารอบๆ ร่างของเฉินฉางเซิง กลับหยุดกะทันหัน ค้างอยู่กลางอากาศ
เวลา คล้ายหยุดนิ่งลง