ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 136 หนึ่งกระบี่จากพื้นดิน
เมื่อเวลาหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหยุดนิ่ง
แม้แต่กำแพงผลึกมิติตรงนั้น ในลำแสงที่มีทูตสวรรค์หลายร้อยองค์ทยอยกันลงมาจุติ ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่เช่นเดียวกัน
เส้นแสงส่องผ่านปีกของพวกเขา เห็นเป็นเส้นใยนับไม่ถ้วน เป็นภาพที่สวยงามมาก
ส่วนเรื่องความตายนั้น เฉินฉางเซิงเป็นผู้ที่ตรึกตรองถึงเรื่องนี้มากที่สุดในโลกก็ว่าได้ นั่นเป็นเพราะก่อนค่ำคืนในสุสานเทียนซู เขามีชีวิตอยู่ในเงามรณะตลอดเวลา แม้ต่อมาเขาได้รับอิสรภาพ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็สามารถย้อนอดีตกลับไปได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย
ขณะกระบี่สามพันเล่มพุ่งจากท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับมาหา และกำลังจะทะลุผ่านร่างของเขานั้น เขานึกว่าตนเองต้องตายแล้วจริงๆ
ในระดับนามธรรม เขาได้ตายไปแล้ว แต่ในระดับรูปธรรม เขายังมีชีวิตอยู่
ระหว่างชีวิตและความตาย คั่นไว้ด้วยเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง ตอนยืนอยู่บนเส้นเส้นนี้ จะมีสภาวะที่ลึกลับมาก อาจเข้าใจว่าซ้อนทับอยู่ และอาจเข้าใจว่าไม่มีเลยก็ย่อมได้
การเข้าสู่สภาวะแบบนั้น จริงๆ แล้วไม่ยาก อาจเป็นเพราะชีวิตทุกชีวิต ขณะกำลังจะพบกับจุดจบ ล้วนต้องเข้าสู่สภาวะแบบนั้นสักครั้ง
ปัญหาอยู่ที่ หลังจากเข้าสู่สภาวะแบบนั้นแล้ว จะไม่สามารถเลี้ยวกลับสู่สภาวะมีชีวิตได้อีก จึงได้แต่เดินไปข้างหน้า ลงสู่ห้วงลึกไร้สิ้นสุด หรือขึ้นไปบนทะเลดาว
มีเพียงขณะอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงมากที่สุด ถึงจะเกิดกรณียกเว้น เช่นในคืนนี้
กระบี่เหล่านี้ล้วนเป็นกระบี่ของเฉินฉางเซิง ซึ่งเขาใช้ใจสื่อสารด้วย กระทั่งพึ่งพาซึ่งกันและกันก็ว่าได้
ขณะที่เฉินฉางเซิงเข้าสู่สภาวะแบบนั้น กระบี่เหล่านี้ย่อมหยุดลง
ผลก็คือ เขากับเหล่ากระบี่มรสุมได้เข้าไปในดินแดนที่ค่อนข้างเสถียรและละเอียดอ่อนมาก กระทั่งเวลาก็ล้วนหยุดลงชั่วคราว
ไม่มีใครรู้ว่า ต่อจากนี้ไป เขาจะตาย หรือมีชีวิตอยู่
โลกที่หยุดนิ่งกลายเป็นภาพหนึ่ง หรือฉากหนึ่ง
ทันใดนั้น เฉินฉางเซิงก็ลืมตาขึ้น
ดวงตาของเขาสะอาดบริสุทธิ์ และใสกระจ่างเหมือนเดิม ดุจดังกระจกบานหนึ่ง ที่สะท้อนให้เห็นรายละเอียดทั้งหมดของโลกที่อุดมสมบูรณ์สุดจะเปรียบ
ในหลุมดำของเพลิงมาร ซึ่งดำมืดดุจหน้าผายามราตรีนั้น จู่ๆ ก็มีวัชพืชสีเขียวขจีงอกออกมา
เวลามิได้หยุดนิ่งอีก โลกเริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เสียงร้องอุทานดังมานับไม่ถ้วน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบ
ผู้คนรู้สึกได้ว่า เกิดเรื่องบางอย่างบนร่างของเฉินฉางเซิง
สำหรับความรู้สึกนี้ ท่านปู่ถังกับพวกหวังจือเช่อรู้สึกได้โดยตรงและแม่นยำกว่า เพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้ว
สีหน้าของคนชุดดำแปรเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้เอามากๆ
พวกเขาเห็นพลังของกฎเกณฑ์บนร่างของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงมิได้เข้าใจกฎประเภทนี้ทั้งหมด ยิ่งไม่สามารถล้ำหน้าไปอีกขั้น
แต่นั่นคือกฎแห่งชีวิตและความตาย ซึ่งอยู่ในหมวดหมู่ของกาลเวลา เข้าใจแค่หนึ่งในร้อยก็เพียงพอแล้ว
เพียงพอที่จะทำอะไร
เฉินฉางเซิงมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
กระบี่สามพันเล่มหมุนไปตามสายตาของเขา พุ่งแหวกอากาศเสียงดังหวีดหวิว เข้าไปในลำแสงนั่น
ลำแสงมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่กี่ฉื่อ หลังจากกระบี่สามพันเล่มเข้าไปในนั้น ก็เบียดเสียดพอสมควร มองไปแล้วเหมือนปลาตะเพียนว่ายไปข้างหน้าในลำน้ำแคบๆ
การกัดเซาะของลำแสง ทำให้ตัวกระบี่เหล่านี้สั่นไม่หยุด แต่พวกมันก็ไม่ยอมหยุด ดิ้นรนฝืนไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ราวกับถัดจากนี้ไป พวกมันจะกลายร่างเป็นมังกร
กระบี่และแสงต่อสู้กันไม่หยุด สาดเส้นแสงออกมานับไม่ถ้วน คล้ายหิมหลอมเหลวอย่างไรอย่างนั้น พ่นกระจายไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้เมืองเสวี่ยเหล่าสว่างไสวขึ้นมา
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนก็มั่นใจในสิ่งที่คาดเดา และตื่นตกใจจนพูดไม่ออก
ราชามารเผยให้เห็นท่าทีริษยาบนใบหน้า
ถังซานสือลิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ตบฝ่ามือลงบนตักอย่างตื่นเต้น แล้วตะโกนอย่างสะใจไม่หยุด “สุดยอด! สุดยอด!”
สุดยอดจริงๆ
ระหว่างลืมตาและหลับตา เฉินฉางเซิงได้ก้าวข้ามธรณีประตูบานนั้น และเดินเข้าไปในทิวทัศน์แห่งหนึ่ง
ทิวทัศน์แห่งนั้นคืออาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตเคยมีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยเช่นเขาหรือไม่
ตอนเฉินเสวียนป้าบรรลุเข้าไปในอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์อายุเท่าไหร่กัน
ไม่มีใครรู้คำตอบที่แน่ชัด และตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจคำถามนี้
ตอนเฉินฉางเซิงเหยียบเข้าไปในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งแรกที่ทำคือ คิดจะตัดลำแสงจากดินแดนเซิ่งกวงให้ขาด เขาสามารถทำได้หรือไม่
“เจ้าคิดว่าแบบนี้ก็ได้หรือ ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! ถ้าทำได้จริง เจ้าคิดว่า ไฉนหวังจือเช่อถึงได้ยืนอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ต้นเล่า”
คนชุดดำแผดเสียงขณะจ้องมองเฉินฉางเซิง
เสียงของนางเปลี่ยนเป็นแหลมและคมกริบ ไม่น่าฟังเหมือนก่อนหน้านี้อีก นี่อาจหมายถึงสภาพจิตใจในตอนนี้ของนาง
แต่คำพูดของนาง คิดตามแล้วก็ไม่ผิด
ลำแสงนั่นแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ กระบี่สามพันเล่มต่อสู้ดิ้นรนไปข้างหน้าอยู่ในนั้น โดยสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสามารถร่วงหล่นลงไปดั่งใบไม้แห้งได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่ถัง หรือหวังจือเช่อ รวมทั้งหวังผ้อ เซียวจาง ล้วนไม่มีทางช่วยเขาได้
อีกส่วนหนึ่งของลำแสงนี้อยู่ในร่างของเขา ถ้าคิดตัดลำแสงให้ขาด ต้องตัดการเชื่อมต่อระหว่างเขากับดินแดนเซิ่งกวง
ไม่ว่าจะมองในมุมไหน เขาก็กำลังต่อสู้กับตัวเอง
เช่นนั้น ก็แน่นอนแล้วว่า เป็นการต่อสู้ของเขาเพียงคนเดียว
เฉินฉางเซิงไม่สนใจคนชุดดำ ทำใจให้สงบและจดจ่ออยู่กับลำแสง สายตามองข้ามกระบี่เหล่านั้น ไปยังกำแพงผลึกมิติที่ดูคล้ายกระจกแสง
สายตากระจ่างใสขึ้นเรื่อยๆ เขาหรี่ตาลง ยกมือซ้ายขึ้น
ข้อมือของเขามีลูกปัดศิลาห้าเม็ด ลูกปัดศิลาทุกเม็ดคือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์หนึ่งแผ่น
สวีโหย่วหรงนึกว่าเขาจะใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ต่อกรกับศัตรู จึงเตรียมนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ห้าแผ่นของตนให้กับเขา แต่ก็พบว่าเขาไม่มีความคิดเช่นนั้น
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ห้าแผ่นปรากฏขึ้นในตำหนักมาร โดยมิได้ตั้งค่ายกล และมิได้แยกเฉินฉางเซิงออกจากโลกภายนอก ชัดเจนมากว่าวางลงตามอารมณ์
พูดให้ถูกก็คือ ที่วางตามอารมณ์นั่นคือตำแหน่งการจัดวางแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งสี่แผ่น โดยตำแหน่งสุดท้ายของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มีความพิถีพิถันอย่างเห็นได้ชัด ตั้งอยู่ข้างๆ มือขวาของเขา
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนี้ หวังจือเช่อคุ้นเคยดี เพราะนี่คือแผ่นที่เขาเอามาวางไว้ในหอหลิงเยียนตั้งแต่ต้น
เขาไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงคิดจะทำอะไร
ไม่มีใครรู้ กระทั่งสวีโหย่วหรงก็ล้วนไม่รู้
จี๊ดจี๊ดสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกจากห้วงแห่งจิต จึงก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างเฉินฉางเซิงอย่างงุนงง ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
พอจัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อย มือขวาของเฉินฉางเซิงก็จับด้ามกระบี่
ไม่มีใครรู้ว่าเฉินฉางเซิงเตรียมจะทำอะไร และไม่มีใครสัมผัสได้ถึงอะไร แต่สิ่งที่น่าตื่นตระหนกก็คือ ทูตสวรรค์ใหญ่ในกระจกแสงโปร่งใส ที่อยู่ห่างจากดินแดนต้าลู่หลายพันล้านลี้นั้น คลับคล้ายรู้สึกได้ถึงภยันตรายร้ายแรง ใบหน้าไร้ความรู้สึกปรากฏความรู้สึกระแวดระวังขึ้นมา จึงถอยหลังออก
“เตรียมพร้อมหรือยัง”
ไม่มีใครรู้ว่าเฉินฉางเซิงกำลังถามใคร
ในแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่ตรงข้างมือขวาของเขาพลันมีเสียงที่ค่อนข้างสับสนของลั่วลั่วดังมา “อาจารย์ เป็นท่านหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่มีเรื่องอะไร เจ้าแค่อยู่ตรงนี้ก็พอ”
เขาชักกระบี่ไร้ราคีออก ฟันใส่ท้องฟ้ายามราตรี
เจตจำนงกระบี่เข้มข้นขึ้น
กระบี่สามพันเล่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ส่งเสียงคำราม แล้วพุ่งเข้าสังหารลำแสงจนถึงที่สุด ไม่มีหัวท้าย เรียงรายเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย คล้ายกลายเป็นกระบี่เล่มใหญ่เล่มหนึ่ง
กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ใหญ่ยักษ์หาที่เปรียบมิได้จริงๆ มีความยาวตั้งแต่พื้นตำหนักมาร จนเกือบถึงท้องฟ้ายามราตรี ทะลุทะลวงฟ้าดิน!
เฉินฉางเซิงต้องการใช้กระบี่ยักษ์นี้ ตัดลำแสงให้ขาดออกจากกัน!
ความรู้สึกต้อยต่ำจากการถูกสังเกตการณ์และไม่สนใจไยดีแบบนั้น เกิดขึ้นภายในใจของผู้คนอีกครา
ผู้คนคลับคล้ายเดาได้ว่า น่าจะเป็นเพราะเทพท่านนั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง แม้อาจไม่มีดวงตาก็ตาม
เห็นทีกระบี่นี้ของเฉินฉางเซิง คุกคามไปจนถึงแผนการมาจุติของกองทัพทูตสวรรค์แล้ว
แรงกดดันที่อธิบายไม่ถูกจากอีกโลกหนึ่งอันไกลโพ้น ทะลุผ่านกำแพงผลึกมิติ ตกลงบนดาบยักษ์
เสียงเสียดสีและเสียงดัดโลหะจากท้องฟ้ายามราตรีดังเสียดแก้วหู
สีหน้าเฉินฉางเซิงซีดขาว ทว่าแววตากลับยิ่งสงบนิ่ง
จี๊ดจี๊ดตะลึงงันขณะจ้องมองเขาที่อยู่ในลำแสง ไม่รู้ว่าตนเองควรทำอะไรดี
ได้ยินเสียงกระวนกระวายใจของลั่วลั่วดังมาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้น “อาจารย์! อาจารย์! ไม่เป็นไรใช่ไหม ตอบข้าสิ!”
เสียงเสียดสีและเสียงดัดโลหะค่อยๆ จางหายไป
ดาบยักษ์ยังคงต้านทานลำแสงที่ส่องลงมาจากฟากฟ้า!
เฉินฉางเซิงต้านทานไว้ได้!
เป็นกระบี่ที่ทรงพลังมาก!
พอๆ กับระดับที่ซูหลีฟันกระบี่เดียวสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทุ่งหิมะในครั้งนั้น!
ไม่ว่าทักษะกระบี่ของเฉินฉางเซิงอยู่ในระดับสูงกว่าพรสวรรค์ ชนิดสามารถเรียกปรมาจารย์ได้ แต่อย่างไร เขาก็ยังอายุน้อย และเพิ่งบรรลุผ่านเข้าสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงสามารถสำแดงฤทธิ์เดชอันทรงพลังของกระบี่นี้ออกมาได้
ผู้คนต่างคิดไม่เข้าใจ
หวังจือเช่อพลันนึกถึงคัมภีร์ลัทธิเต๋าที่เก่าแก่มากเล่มหนึ่ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เขาหันมองจี๊ดจี๊ดที่กำลังวิตกกังวล ไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นอกลำแสง พลางคิดเงียบๆ “นี่คือมังกรฟ้า”
จากนั้นก็หันมองแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สีดำแผ่นนั้น พลางบอกตัวเองในใจ “นี่คือพยัคฆ์ขาว”
สุดท้ายก็หันมองสวีโหย่วหรง ในใจคิด นี่คือหงส์แดง
ดูจากตำแหน่งนี้ นางกับเฉินฉางเซิงอยู่ห่างกันค่อนข้างมาก มองไม่ออกว่าที่ใดมีลักษณะพิเศษ
“ซ้ายมังกรฟ้า ขวาพยัคฆ์ขาว หงส์แดง…อยู่กลางใจ”
ดวงตาหวังจือเช่อสว่างขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างตื้นตันใจ “ร้ายกาจ”
เป็นกระบี่ที่ขนาดเขายังนับถือ ย่อมร้ายกาจสุดๆ จริงๆ
แต่กระบี่นี้ยังคงทำได้เพียงยืนหยัดเผชิญหน้ากับลำแสงที่มาจากดินแดนเซิ่งกวงเท่านั้น
พลังปราณอันแข็งแกร่งสองสายที่ยากคาดเดาและอยู่ห่างกันพันล้านลี้ กำลังต่อสู้กันกลางอากาศ
“เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จหรอก! นั่นเป็นแสงที่ไร้ตัวตน เจ้าจะตัดมันขาดได้อย่างไร!”
คนชุดดำจ้องหน้าเฉินฉางเซิงพลางตะโกนเสียงแหลม “นอกจากร่างจริงของเจ้าจะไปยังที่ที่อยู่ห่างจากที่นี่พันล้านลี้ แล้วฟันแหล่งกำเนิดแสงเสีย!”
บางครั้งที่บอกว่า มันเป็นลาง อย่าพูดไป เป็นแค่การอำพรางกระบวนการการพยากรณ์เท่านั้น
คนชุดดำเชี่ยวชาญการพยากรณ์เป็นที่สุด
ตอนที่นางพูดประโยคนั้นออกมา เป็นไปได้มากว่า จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกกลัวที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้นเป็นที่สุด แต่ตัวนางเองไม่รู้ตัว
และแล้ว เรื่องเช่นนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ
แสงกระบี่สายหนึ่งพลันวาดผ่านท้องฟ้ายามราตรี
……
……