ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 137-1 หนึ่งกระบี่จากฟากฟ้า
แสงกระบี่นั่นอ่อนจางมาก ราวกับลายเส้นยามวาดใบไม้ร่วงในสายลม ถ้าไม่เพ่งมองก็ไม่มีทางเห็น
เสียงเบาๆ ดัง ฟิ้ว ท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฏรอยกระบี่บางๆ
รอยกระบี่นั่นอยู่บนกระจกแสงที่โปร่งใสพอดี
ถุงใส่สุราถูกกรีดขาด หยาดสุราย่อมไหลออก
ของเหลวสีทองไหลลงข้างกระจกแสงดุจน้ำตก พื้นผิวกระจกแสงในยามค่ำคืนมีขนาดเล็กลงทันตาเห็น
นี่หมายถึง กำแพงผลึกมิติกำลังปรับเปลี่ยนให้เสถียรขึ้น ส่วนช่องทางนั่นก็กำลังหายไป
ลำแสงยังคงเชื่อมต่อสองโลกเข้าด้วยกัน
ทูตสวรรค์ใหญ่ลอยจากไปไกล ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย พูดอะไรบางอย่าง แต่ไร้ซึ่งสุ้มเสียง
เสียงดัง พรึ่บ ปลายลำแสงที่อยู่ไกลโพ้นพลันขาดสะบั้น คล้ายภูเขาน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ เลื่อนไหลลงมาตามพื้นผิวที่เรียบลื่นของลำแสง
ลำแสงครึ่งลำตกลงสู่ความว่างเปล่า แล้วล่องลอยไปช้าๆ จวบจนสูญสลายในที่สุด
ไม่รู้ว่าทูตสวรรค์ใหญ่องค์นั้นและทูตสวรรค์ปราดเปรียวที่สุดหลายสิบองค์สามารถเอาชีวิตรอดจากความปั่นป่วนของมิติหรือไม่
ที่น่าเวทนาที่สุดยังคงเป็นทูตสวรรค์สองร้อยกว่าองค์ที่อยู่ด้านหลัง
ลำแสงแตกหัก แล้วเลื่อนไหลลงมา แสดงถึงตำแหน่งที่คลาดเคลื่อนในมิติ
แม้ร่างของทูตสวรรค์มีความแข็งแกร่งที่ยากคาดเดา แต่ก็ยังคงยากที่จะต้านทานความคลาดเคลื่อนในมิติแบบนี้ จึงถูกตัดขาด
ของเหลวสีทองลอยอยู่ทั่วทุกแห่งหนในมิติอันไกลโพ้น ก่อนเผาไหม้เป็นดอกไม้สีทอง
ผู้คนบนพื้นดินไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของทูตสวรรค์เหล่านั้น แต่จากใบหน้าที่บิดเบี้ยวของพวกเขา สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเจ็บปวด
ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงครวญครางคล้ายเสียงฟ้าร้องดังมาจากไหน
เสียงครวญครางนั่นทั้งทรงพลัง โกรธแค้น และเย็นชายิ่ง
สายฟ้าสายหนึ่งทะลุผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ตกลงเหนือพระราชวังมาร กระแทกใส่กระบี่ยักษ์อย่างแม่นยำ
เสียง เปรี้ยง กระบี่ยักษ์แตกกระจายออก กลายเป็นกระบี่สามพันเล่ม ตกลงมาดุจพายุฝน
เฉินฉางเซิงชูฝักกระบี่ขึ้น
กระบี่สามพันเล่มกลับคืนสู่ฝักอย่างรวดเร็ว ตัวกระบี่หลายเล่มยังมีเศษซากของสายฟ้าสีขาวติดมาด้วย
สีหน้าของเฉินฉางเซิงซีดขาวลงเรื่อยๆ จวบจนท้ายที่สุด ก็พ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง
โชคดีที่ไม่มีสายฟ้าสายที่สอง และเสียงครวญครางก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก
ช่องทางมิติบนท้องฟ้ายามค่ำคืนหายไปแล้ว ลำแสงก็หายไปด้วยเช่นกัน
เทพเจ้าใช่ว่ามีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ
กระจกแสงสีทองในตอนนี้ กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยลอยละล่องนับไม่ถ้วน มองไปคล้ายปุยนุ่นก็มิปาน
ดูจากความเร็วของเศษแสงที่ร่วงหล่นลงมา หรือคืนนี้เมืองเสวี่ยเหล่าจะสว่างไสวราวกับกลางวัน
นอกจากเหล่านี้แล้ว ก็มองไม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้เมื่อครู่อีก กระทั่งเกิดความรู้สึกว่า ลำแสงเมื่อครู่ และกองทัพทูตสวรรค์เหล่านั้น ล้วนเป็นของปลอม
ผู้คนเพียงฝันเหมือนกันเท่านั้น
“ดูสิ ตรงนั้นมีดาวกำลังลุกไหม้อยู่”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงใสๆ ของเด็กดังขึ้น
นักพรตน้อยร้องตะโกนพลางชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ขณะอยู่ในอ้อมอกเยี่ยเสี่ยวเหลียน
ลำแสงส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของดวงดาว ทำให้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ตรงนั้นยังคงเป็นตำแหน่งของกลุ่มดาวคนครึ่งม้าที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่มีดวงดาวอะไรที่กำลังลุกไหม้
หวังจือเช่อกับท่านปู่ถังหันมาสบตากัน ต่างคนต่างดูออกว่าอีกคนคิดอะไรอยู่
ความสามารถในการรับศิษย์ของซางสิงโจว เยี่ยมที่สุดในโลกจริงๆ
หวังผ้อกับเซียวจางสัมผัสได้ ตามด้วยเฉินฉางเซิงก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน
อีกฟากหนึ่งที่ไกลแสนไกล ในทะเลดาวของทะเลดาว ดาวดวงหนึ่งกำลังลุกไหม้
เจตจำนงจางๆ ของกระบี่สายหนึ่งกำลังกะพริบท่ามกลางดวงดาวที่กำลังลุกไหม้
จากนั้น ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงของกระบี่สายนั้น แม้พวกเขามองไม่เห็นดวงดาวที่กำลังลุกไหม้เหล่านั้นก็ตาม
ห่างออกไปพันล้านลี้ ขนาดเทพก็ยังไม่สามารถเดินทางมิติมา เหตุใดเจตจำนงกระบี่สายนั้นถึงถูกส่งมาที่นี่ได้อย่างแจ่มชัดเช่นนี้
เพราะเจตจำนงกระบี่สายนั้นเป็นของที่นี่มาแต่ไหนแต่ไร
เหตุผลเดียวกันกับที่ดินแดนเซิ่งกวงสัมผัสได้ถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเฉินฉางเซิง
“กระบี่นี้อหังการมาก มิน่าเล่าล้วนพูดกันว่า ข้ากับเขาเหมือนกันมาก”
ถังซานสือลิ่วพูดอย่างอิ่มเอมใจ พลางภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน กระบี่บังฟ้าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน!”
คนชุดดำแผดเสียงแหลมออกมา ขณะจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่จางๆ ที่อยู่อีกฟากฝั่งอันไกลโพ้น ดูอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน
“เจ้านึกเอาเองว่า พยากรณ์ผู้คน พยากรณ์ดินฟ้าได้ แต่เจ้าพยากรณ์ไม่ได้ว่าฝ่าบาทสังฆราชจะบรรลุเข้าอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ และพยากรณ์ไม่ได้ว่า มีคนไปยังท้องฟ้าดวงดาวนั่นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เขาอาจใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนเซิ่งกวงอย่างทระนง อาจสังเกตการณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างเงียบๆ จวบจนช่วงเวลาสำคัญเมื่อครู่ ถึงได้สำแดงการจู่โจมที่สำคัญที่สุดออกมา”
ท่านปู่ถังจ้องมองคนชุดดำพลางว่า “และคนผู้นั้นก็คือคนที่ข้าเสียเงินเลี้ยงดูมา”
ผู้คนเดาได้ก่อนแล้วว่าเจตจำนงกระบี่นั่นเป็นฝีมือใคร เพียงแต่พอได้ยินเสียงแผดร้องของคนชุดดำกับคำพูดของท่านปู่ถัง ก็มั่นใจมากขึ้น
แน่นอนว่าเป็นซูหลี
หวังผ้อยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร
ตามที่ท่านปู่ถังพูด ซูหลีถูกตระกูลถังใช้เงินเลี้ยงดูมา เขาเคยเป็นเสมียนในเมืองเวิ่นสุ่ยอยู่หลายปี ก็ยิ่งน่าจะใช่
แต่นี่ไม่ใช่ความจริง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต้องคิดถึงเรื่องของคุณชายรองตระกูลถังที่เสียชีวิตไปแล้วหลายปีด้วย ก็จะรู้มากขึ้น
ท่านปู่ถังรู้ว่า หวังผ้อจะไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ จากนิสัยของเขา
ซูหลีย่อมไม่ปฏิเสธ ไม่แน่ว่ายังจะก่นด่าคำหยาบออกมาอีกหลายคำ ใครใช้ให้ตอนนี้เขาไม่อยู่เล่า
ส่วนที่ถังซานสือลิ่วรู้สึกลงลึกในอารมณ์ค่อนข้างมาก ผู้คนคิดในใจว่า อาจเป็นเพราะนั่งรถเข็นนานเกินไป
กระทั่งเขายังรู้สึกลงลึกในอารมณ์ค่อนข้างมาก ก็พอจะจินตนาการได้ว่าการรู้ทันประเด็นร้อนของท่านปู่ถัง คำพูดที่แย่งความดีความชอบในครั้งนี้ หน้าไม่อายเพียงใด
แต่นาทีสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ มีคำพูดแบบนี้กระจายออกไป เชื่อว่าหลังจากนี้ไปในหนึ่งพันปี ตระกูลถังก็ไม่ล้ม
สำหรับท่านปู่ถังแล้ว ไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้แน่ เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว เขาก็คือพ่อค้าคนหนึ่ง
นอกจากพยากรณ์ไม่ได้ว่าเฉินฉางเซิงจะบรรลุเข้าอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ กระบี่นั้นของซูหลี และความน่าไม่อายของท่านปู่ถังแล้ว คนชุดดำยังพยากรณ์ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง
ช่องทางมิติในคืนนี้ไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง
การที่กองทัพทูตสวรรค์ของดินแดนเซิ่งกวงถูกจู่โจมชนิดใกล้เคียงกับการทำลายล้าง มิใช่เพราะกระบี่ของซูหลี
ต่อให้กระบี่ของซูหลีแข็งแกร่งเพียงใด ก็แข็งแกร่งไม่ถึงระดับนี้ ทว่ากระบี่ของเขาตัดลำแสงสำเร็จ ทำให้ตำแหน่งในมิติเกิดความคลาดเคลื่อน
พลังอันยิ่งใหญ่ของมิติเสมือนเวลา ยากต้านทาน ทูตสวรรค์เหล่านั้นถึงได้ทยอยกันตายอย่างน่าอนาถ
จากการพยากรณ์ของนาง ช่องทางมิติควรมีความเสถียรมาก ต่อให้เฉินฉางเซิงบรรลุเข้าอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ ซูหลีฟันกระบี่จากฟากฟ้า ก็ไม่มีทางตัดขาดแน่