ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 137-2 หนึ่งกระบี่จากฟากฟ้า
แต่ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเฉินฉางเซิงมีปริมาณที่น้อยลงไปมาก
สิบปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงใช้โลหิตตนเองปรุงยาจูซาไม่หยุด และเพราะเหตุนี้ พลังถึงได้ลดลงไปมาก ขั้นบำเพ็ญเพียรไม่ก้าวหน้ามาตลอด
ใครจะคิดเล่าว่า นำมาสู่ผลลัพธ์เช่นนี้ได้ในท้ายที่สุด
คนทำดี ดูไปแล้วได้ดีจริงๆ
สายตาหลายคู่จ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยความเคารพ
สายตาของเฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังรถคันเล็กที่อยู่นอกกลุ่มคน
“อาจารย์ เรื่องเหล่านี้ท่านคาดการณ์ได้แต่แรกแล้วหรือ”
“เช่นนั้น ท่านก็ปรุงยาชนิดนั้นได้แต่แรกแล้วใช่หรือไม่ แต่กลับยังคงให้ข้าปรุงยาจูซาไม่หยุด”
“อีกทั้ง ที่ท่านอยากสังหารข้ามาตลอด เกี่ยวข้องกับเรื่องในค่ำคืนนี้ใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าตนอาจคิดมากไป การสันนิษฐานเช่นนี้อาจแค่ทำให้ผู้เสียชีวิตดูดีมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้
ซึ่งแบบนี้ ทำให้ง่ายต่อการปลอบใจตัวเองมากกว่าว่าอาจารย์มิได้ไม่ชอบตน เพียงแต่เพราะเรื่องบางเรื่องที่สำคัญกว่า จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้
ปัญหาเหล่านี้ไม่มีคำตอบแล้ว ด้วยไม่มีใครรู้ว่าซางสิงโจวคิดอย่างไร
เช่นเดียวกับตอนนี้ ที่ไม่มีใครรู้ว่าคนชุดดำกำลังคิดอะไรในใจ
แผนการที่วางไว้ทั้งหมดล้มเหลว ความปรารถนาที่ไล่ตามมาทั้งชีวิตถูกทำลายในชั่วข้ามคืน เป็นใครก็รับไม่ไหวทั้งนั้น
นางยืนอยู่ตรงนั้น ความผิดหวังแปรเปลี่ยนเป็นความด้านชาไปก่อนแล้ว กระทั่งไม่รู้สึกรู้สาถึงพลังชีพใดๆ อีก
หวังจือเช่อก้าวเข้าไปข้างกายนาง จูงมือนางแล้วว่า “ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก”
พูดจบ เขาก็ผงกศีรษะให้ท่านปู่ถังกับเฉินฉางเซิง แล้วจึงพาคนชุดดำออกไปนอกตำหนัก
คนชุดดำก้มหน้า ดูเจียมเนื้อเจียมตัวยิ่ง เหมือนเด็กซุกซนที่กำลังถูกผู้ปกครองพากลับบ้าน
ในตำหนักมารเงียบกริบ
ราชันแห่งหลิงไห่กับพวกหันมองเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงหันมองบันไดศิลา เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
กระดาษขาวบนใบหน้าเซียวจางส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ไม่รู้ว่าเขาหายใจแรงหรือกำลังทำอะไร
หวังผ้อมองดูพื้นด้านล่างตรงเท้าที่เหยียบอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ท่านปู่ถังหลับตาลง เหมือนหลับไปแล้ว
ในที่สุดก็มีเสียงดังทำลายความเงียบขึ้นมา
“ช้าก่อน”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองหวังจือเช่ออย่างสงบนิ่งพลางว่า “ใต้เท้าหวัง ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร”
เฉินฉางเซิงดึงสายตาคืนกลับ
เซียวจางอุทานเสียงประหลาดออกมาคำหนึ่ง
หวังผ้อเงยหน้าขึ้น
ท่านปู่ถังลืมตา
พวกเขาล้วนทอดมองไปทางหวังจือเช่อ
และนี่ก็คือท่าที
“อย่างไรนางก็เป็นภรรยาข้า อีกทั้ง…เผ่ามนุษย์ก็ติดค้างพวกนางพี่น้องมากเกินไปจริงๆ”
หวังจือเช่อพูดกับกลุ่มคนต่อ “ข้าได้ทำลายวรยุทธ์ทั้งหมดของนางแล้ว หลังจากนี้จะพานางไปนั่งสมาธิชำระจิตใจในวัดมหายานชดใช้ความผิด จะไม่ปล่อยให้นางทำร้ายใครอีกเป็นอันขาด”
ซึ่งท่านปู่ถังและหวังผ้อย่อมดูออกเช่นกันว่า พริบตาที่หวังจือเช่อจูงมือคนชุดดำเมื่อครู่ วรยุทธ์ของคนชุดดำก็ถูกทำลายแล้ว
ผู้คนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ท่าทีของหวังจือเช่อชัดเจนและจริงใจยิ่ง เหตุผลดูไปแล้วเหมือนเพียงพอ
ที่สำคัญกว่านั้น เขาคือหวังจือเช่อ
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงกับเหล่าแม่ทัพนายกอง กระทั่งขนาดนักพรตซือหยวนกับมุขนายกใหญ่อันหลิน ก็ล้วนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ดูเหมือนจะได้
“ไม่ได้”
น้ำเสียงของสวีโหย่วหรงสงบนิ่งและแน่วแน่มาก
ถังซานสือลิ่วว่า “ผู้ที่ติดค้างพวกนางพี่น้องคือเจ้า คือจักรพรรดิไท่จง คือคนที่หอหลิงเยียนเหล่านั้น แต่ไม่ใช่พวกเรา พวกเรายังเยาว์วัย ไม่เหมือนพวกเจ้าที่เคยทำเรื่องน่ารังเกียจมากจนเกินไปเช่นนั้น แล้วเหตุใดพวกเราต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่ผิดพลาดของพวกท่านด้วย”
จี๊ดจี๊ดที่แอบอยู่ด้านหลังของเฉินฉางเซิงจ้องมองหวังจือเช่อพลางว่า “คนลวงโลกที่เต็มไปด้วยคำโกหกเช่นนี้เชื่อไม่ได้สักนิด เขาอาจปล่อยภรรยาทันทีที่ออกจากเมืองก็ได้ ใครจะรู้”
หวังจือเช่อไม่สนใจพวกเขา เพียงจ้องมองเฉินฉางเซิง “ถ้าเจ้าตกที่นั่งเดียวกับข้า เจ้าจะทำเช่นไร”
ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็เปิดปากแล้ว
“ตอนอยู่ในเมืองไป๋ตี้ ผู้อาวุโสเปี๋ยยั่งหงเคยถามปัญหานี้กับข้า ซึ่งเราก็ได้พูดถึงกันเมื่อครู่ ตอนนี้คิดๆ ดูปัญหานี้เหมาะกับท่านเช่นเดียวกัน”
เขาพูดต่อ “พวกข้าได้ให้คำตอบแล้ว เพียงแต่ท่านแสร้งทำเป็นไม่เห็น”
เมื่อครู่สวีโหย่วหรงเตรียมจะฆ่าเขา จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตาม
คำตอบของเขาก็คือ ถ้าท่านรู้สึกว่าติดค้างพี่น้องโจวตู๋ฟู ก็ทำเช่นนี้เถิด
ตำหนักมารเงียบลง และค่อนข้างเย็น
“คนที่ข้าคิดพาไป ใครจะรั้งได้”
เสียงของหวังจือเช่อยังคงสงบนิ่งเช่นนั้น น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนมาก แต่ทุกคนล้วนรู้สึกถึงความกดดันชนิดนั้น
หลังจากเรื่องเล่าขานหลายร้อยปี คืนนี้นอกจากท่านปู่ถังแล้ว คนเหล่านี้ไม่มีใครเคยเห็นหวังจือเช่อสำแดงฤทธิ์เดชดั่งในตอนนั้น แต่ใครกล้าดูแคลนเขา
ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ แค่ชื่อของเขา ก็เพียงพอแล้ว
เขาคือหวังจือเช่อ
แรกเริ่มที่เขาสันเขาหิมะ เขาปรากฏตัวขึ้น ราชามารถอย ต่อมาในทุ่งหิมะ เขาปรากฏตัวขึ้น ผู้คุมกฎมารเงียบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ต่อให้คนชุดดำถูกทวนน้ำค้างเทพแทงบาดเจ็บสาหัส ต่อให้นางสติฟั่นเฟือน ทว่าพริบตาที่จูงมือก็สามารถทำลายวรยุทธ์คนชุดดำได้ โลกนี้มีใครทำได้บ้าง
ในที่นี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
สวีโหย่วหรงยิ่งรู้ว่า คืนนี้หวังจือเช่อสงวนท่าที จึงมิได้ลงมือ
นางกระทั่งเชื่อว่า ต่อให้เฉินฉางเซิงกับซูหลีไม่สามารถตัดช่องทางมิตินั่น หวังจือเช่อก็อาจมีวิธีอื่น
ความสามารถของหวังจือเช่อ ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ
เฉกเช่นที่เขาพูดเอง
คนที่เขาคิดพาไป ใครจะรั้งได้
“ข้าอยากลองดู”
หวังผ้อก้าวเข้ามาตรงกลาง พูดกับหวังจือเช่อ
จากเรื่องเล่าขานที่เมืองสวินหยางเมื่อสิบกว่าปีก่อน หวังผ้อในตอนนั้นเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่ความโด่งดังยังห่างไกลกว่าตอนนี้มาก
เขาในตอนนั้น เนื่องจากไม่ชอบซูหลีเป็นการส่วนตัว ยังกล้าชักดาบใส่จูลั่ว
ตอนนี้จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในเรื่องเล่าขานที่เมืองสวินหยาง ซึ่งวันนี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าก็อยากลองดูเช่นกัน”
สิ้นเสียงเขา เส้นแสงอันเจิดจ้าพลันส่องตำหนักยามค่ำคืนให้สว่างไสว สมบัติล้ำค่ามากมายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน เปล่งพลังเทพศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังออกมา
ศิลาดวงดาว กิ่งหลิวหมิง แผนที่นทีบรรพต ตราประทับเทียนไหว้ ศิลาดาวตก วัชระจรัสแสง
ค่ายกลใหญ่ของพระราชวังหลีสำเร็จ
ไม้เท้าเทพของนิกายหลวงปรากฏในมือของถังซานสือลิ่วอีกครั้ง
“โลกใบนี้ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน พวกเขามิใช่ก้อนศิลาเย็นเยียบที่ถูกใช้เป็นหมาก และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการละเล่นของพวกท่าน”
เขาพูดกับหวังจือเช่อต่อ “สำหรับผู้ที่เสียชีวิตเพราะภรรยาของท่าน ท่านก็ควรแสดงท่าทีให้เกียรติมากกว่านี้”
ทำลายวรยุทธ์ กักขังตัวเองในวัด ไม่เพียงพอ
ความหมายของการให้เกียรติมากกว่านี้ก็คือ ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต
เซียวจางถือทวนน้ำค้างเทพก้าวออกมา
สีหน้าของท่านปู่ถังไร้ความรู้สึก