ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 139-1 ฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย
คนประหลาดที่ปีนขึ้นมาจากหลุมฝังศพ คือคนชุดดำ
วิธีการของนางยอดเยี่ยมจริงๆ สามารถหลอกลวงทุกคนได้
ถูกแล้ว สุสานแห่งนี้มิใช่แท่นบูชาซึ่งใช้ติดต่อกับดินแดนเซิ่งกวง แต่เป็นวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจจากราชามาร
แต่สุสานแห่งนี้เป็นแท่นบูชาแท่นหนึ่งจริงๆ
เหล่าผู้สูงศักดิ์ซึ่งถูกใช้บูชายัญ มิได้บูชายัญดินแดนเซิ่งกวง แต่บูชายัญขุมนรก เพื่อช่วยให้นางฟื้นคืนชีพ
ศาสตร์มืดประเภทนี้ ทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้นานถึงเพียงนี้ และเป็นความลับใหญ่สุดซึ่งทำให้นางยากจะถูกฆ่าตายหรือถูกจับกุม
ในหลายร้อยปีที่ผ่านมา เรื่องเช่นนี้ นางเคยทำสองครั้งด้วยกัน
ขณะสร้างช่องทางมิติเพื่อเชื่อมต่อกับดินแดนเซิ่งกวง นางไม่ลืมที่จะจัดทางหนีทีไล่ของตัวเองให้เรียบร้อย
ดังนั้นเรื่องเฉินฉางเซิงบรรลุเข้าอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ เรื่องกระบี่จากฟากฟ้าของซูหลี ทำให้นางรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้นางสิ้นหวัง
ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ก็มีโอกาสหวนคืนอีกครั้ง
ตอนนั้น นางเตรียมพร้อมที่จะถูกผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์สังหาร แล้วแค่รอฟื้นคืนชีพผ่านแท่นบูชายัญก็ได้แล้ว
ใครเล่าจะคิดว่า หวังจือเช่อมิได้เตรียมสังหารนาง แค่คิดพานางไปกักบริเวณที่วัดมหายาน กระทั่งเพื่อการนี้แล้ว ถึงกับไม่เสียดายที่จะผิดใจกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์
เรื่องนี้น่าหัวเราะเยาะอยู่บ้างจริงๆ
คนชุดดำมิได้ซาบซึ้งใจ เพียงกระวนกระวายใจ
ราชามารสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของนาง เลยคิดหาวิธีช่วยให้หลิวชิงสังหารนาง
โดยในนามแล้ว เขาคิดที่จะตายพร้อมกับนาง แต่ความจริง มิใช่เช่นนี้
แม้ตอนนั้น ราชามารก็ไม่รู้เช่นกันว่า คนชุดดำคิดจะทำอะไรกันแน่
พูดได้แต่เพียงว่า ราชามารรักนางมากจริงๆ
……
……
ลมพัดแรง เสียงดังหวีดหวิว กองหิมะขยับเล็กน้อย
สายตานางจับจ้องพื้นหิมะ เห็นโลหิตสีทองนิดหน่อยตกค้างอยู่ในหิมะ
เหล่านี้ล้วนเป็นโลหิตของผู้คุมกฎเผ่ามาร
ผู้คุมกฎเผ่ามารเป็นสหายที่นางไว้ใจที่สุด
ร่างที่นางใช้อยู่ในตอนนี้ ผู้คุมกฎเผ่ามารเลือกให้ด้วยตนเอง และวางลงไปในหลุมฝังศพนี้ด้วยตนเอง
คนชุดดำรู้ว่าหลังจากนั้นผู้คุมกฎเผ่ามารต้องพบกับเรื่องอะไร
สำหรับสิ่งนี้ นางต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง
จวบจนสุดท้าย ผู้คุมกฎเผ่ามารก็ยังไม่รู้ว่าถูกนางหลอก โดยแม้แต่เผ่ามารนางก็คิดทำลายไปพร้อมกัน
คนชุดดำนั่งยองๆ ลง ยื่นมือจิ้มไปที่โลหิตสีทองในหิมะซึ่งเปลี่ยนสีไปแล้ว เอามาอังจมูกเพื่อดอมดม จากนั้นก็จุมพิมลงไปเบาๆ
นางลุกขึ้นยืน ก้าวขึ้นไปบนเนินหิมะ
นางนอนนิ่งๆ ในหลุมฝังศพอยู่นานหลายวัน จนแน่ใจได้ว่ากองทัพเผ่ามนุษย์ผ่อนคลายการเฝ้าระวังลง ค่อยกล้าออกมา
หลายวันมานี้ นอกจากน้ำหิมะแล้ว นางไม่ได้กินอะไรเลย อีกทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานกับความหนาวเหน็บสุดขั้ว นางในตอนนี้จึงอ่อนแอมาก
ที่สำคัญสุดก็คือ นางในตอนนี้ต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่ และต้องใช้เวลาหลายสิบวันจึงจะมีพลังป้องกันตัวเองได้บ้าง ส่วนการฟื้นฟูให้ได้ระดับเดียวกับช่วงที่รุ่งเรืองนั้น เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี
นางค่อยๆ เดินไปจนถึงยอดเนินหิมะ แล้วมองไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไป มุมปากที่ค่อนข้างเน่าเปื่อยปรากฏรอยยิ้มออกมา
ขณะคิดว่าหลายวันมานี้ ตนได้ทนกับความหนาวเหน็บ ทนกับความหิว ก็รู้สึกว่าตนเป็นนักล้างแค้นที่น่าทึ่งท่านหนึ่งจริงๆ
ในทุ่งหิมะ นางเตรียมสถานที่ซ่อนตัวพร้อมอาหารไว้มากมาย ขอเพียงสามารถไปถึงที่นั่นได้ ก็จะได้รับความปลอดภัยชั่วคราว
รอจนนางฟื้นฟูพลังปราณแล้ว ค่อยกลับมาเมืองเสวี่ยเหล่าอีก ไม่สิ ตรงไปยังบ้านเกิดของนางทางภาคใต้ที่ไม่ได้กลับไปนานแล้วดีกว่า
นางคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าเมื่อถึงเวลาควรทำเช่นไร เผ่ามนุษย์ที่บุกจู่โจมเผ่ามารจนพ่ายแพ้ ที่สุดแล้วต้องกลับเข้าสู่การต่อสู้กันเองภายในอีกครั้ง ไม่ว่าระหว่างเหนือใต้ หรือระหว่างราชสำนักกับพระราชวังหลี ระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ กระทั่งระหว่างศิษย์พี่กับศิษย์น้องคู่นั้น ล้วนต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นใหม่
นี่คือประวัติศาสตร์ที่ต้องเป็นไป และเป็นอาวุธตามกฎเกณฑ์ที่นางจะใช้
การล้างแค้นต้องดำเนินต่อไป
คนชุดดำหันกลับมามองเมืองเสวี่ยเหล่า พลางทอดถอนใจเบาๆ
เรื่องราวโดยทั่วไปก็ล้วนเขียนไว้เช่นนี้ ตอนจบเป็นปลายเปิด เพื่อรอบทใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกหลายปี
ทว่าเรื่องราวในวันนี้แตกต่าง
คนชุดดำกะลงจากเนินเขา แล้วหายตัวไปในทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่
แต่ขณะนั้น พื้นหิมะส่วนหนึ่งกลับนูนสูงขึ้น แล้วกระจายออกทั้งสี่ทิศ
ชนเผ่ามารรูปร่างสูงใหญ่ตนหนึ่งยืนขึ้นบนพื้นหิมะ เงาทะมึนตกลงบนใบหน้าของคนชุดดำ
คนชุดดำแค่เหลือบมอง ก็แน่ใจว่าน่าจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลผังต้ากู้ไอ
ปัญหาอยู่ที่ ไม่ว่าจะมองเช่นไร ชนเผ่ามารตนนี้ก็ได้ตายไปแล้ว นี่เป็นศพศพหนึ่ง แต่เนื่องจากระยะนี้อากาศหนาวมากจนพื้นเป็นน้ำแข็ง ถึงได้ไม่เน่าเปื่อย ดูเหมือนผีดิบตนหนึ่ง
ผีดิบจะลุกขึ้นจากก้นสุสาน แล้วจู่โจมตนเองได้อย่างไรกัน
คนชุดดำหรี่ตามองศพที่ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลางคิดในใจ นี่มันเรื่องบ้าบออะไร
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนชุดดำแค่สะบัดแขนเสื้อ กระทั่งแค่เหลือบมองไปทีหนึ่ง ก็สามารถทำให้ศพนี้กลายเป็นผุยผงได้
แต่ตอนนี้นางสูญเสียวรยุทธ์ อ่อนแอมาก ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ คิดจะหลีกหนีก็ยังไม่สามารถทำได้
ตุบ! ศพชนเผ่ามารรูปร่างสูงใหญ่ตรงเข้ากดทับร่างของคนชุดดำ กดนางไว้กับพื้นหิมะ
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ บนพื้นหิมะมีก้อนหินที่แข็งมากอยู่ก้อนหนึ่ง รับตรงส่วนลำคอของนางพอดี
เสียงเบาๆ ดัง เป๊าะ
กระดูกสันหลังส่วนคอของคนชุดดำหัก โลหิตไหลออกมาช้าๆ ค่อยๆ ย้อมพื้นหิมะให้เป็นสีแดง
นางเบิกตาโพลง มองดูท้องฟ้าที่มืดมน เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและสิ้นหวัง ยังมีความงุนงงร่วมด้วย
นางในตอนนี้ แม้แต่เกล็ดหิมะที่กำลังจะตกลงบนดวงตา ก็ยังไม่มีปัญญาเป่าออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการผลักศพชนเผ่ามารที่หนักอึ้งตนนี้ออก
นางทำได้เพียงนอนรอความตายอย่างช่วยไม่ได้
ผ่านไปสักพัก ศพชนเผ่ามารที่หนักอึ้งก็พลิกตัวเองไปด้านข้าง
พร้อมกับเสียง แควกทรวงอกของศพปรากฏรอยแตกเส้นหนึ่ง คนคนหนึ่งคลานช้าๆ ออกมาจากด้านใน
คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าเนื้อบางยิ่ง ทั้งร่างล้วนมีแต่คราบเลือดและคราบสกปรก รูปร่างผอมบาง สีหน้าซีดขาว ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้แรงเฮือกสุดท้ายหมดหรือไม่ คนผู้นี้ถึงได้หอบหายใจแรง ขณะนอนไม่ขยับเขยื้อนบนพื้นหิมะ ข้างกายคนชุดดำ
คนชุดดำหันไปมองเขาอย่างยากลำบาก พลางถาม “เจ้าคือใคร”