ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 14 ความคิดของราชามาร
ทุกคนล้วนคาดหวังที่จะให้เฉินฉางเซิงมีแผนการแก้ไขที่สมบูรณ์แบบออกมา รวมไปถึงมุขนายกขั้วอำนาจเดิมที่ดื้อดึงเหล่านั้นด้วย
สายตาที่มุขนายกอาวุโสเหล่านั้นมองมายังเฉินฉางเซิงมีความซับซ้อนยิ่ง
เขาคือลูกศิษย์ของซางสิงโจว คือเด็กหนุ่มที่เหมยหลี่ซาให้การอบรมมาด้วยตัวเอง คือเชื้อสายทางซีหนิงอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นผู้สืบทอดตั้งเดิมของสำนักฝึกหลวง หากว่ากันตามหลักการ แล้วควรจะยืนอยู่ฝั่งพวกเขาด้านนี้ แต่เขากลับไม่ทำอย่างนั้น
เขาให้ความสำคัญกับ ราชันย์แห่งหลิงไห่ นักพรตซือหยวน หลังจากสังหารนักพรตไป๋สือในเมืองเวิ่นสุ่ยแล้ว ก็ไม่ได้คิดจะปลอบประโลมทางฝั่งขั้วอำนาจเดิมทางนี้ แต่กลับให้หู้ซานสือเอ้อร์ที่เป็นมุขนายกขั้วอำนาจใหม่ที่มีชื่อเสียงย่ำแย่มาแทนตำแหน่งของนักพรตไป๋สือ
เนื่องด้วยเรื่องนี้ ทำให้ ขั้วอำนาจเดิมของสำนักสักหลวงเกิดความรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งยวด จึงทำให้เกิดสถานการณ์เยี่ยงในวันนี้ขึ้น
แต่ตราบจนกระทั่งตอนนี้ยังคงไม่มีผู้ใดคาดคิด หรือกล้าที่จะคิดไล่เขาลงมาจากตำแหน่งใต้เท้าสังฆราช
พวกเขายังคงรู้สึกมีความหวังในตัวเฉินฉางเซิง
เพียงแต่พวกเขาล้วนไม่ทราบว่าต้นนั้นหวังให้เฉินฉางเซิงทำอย่างไร
ศพของอาจารย์เหมยชวนยังคงอยู่ในความมืดด้านนอกโถง
นี่คือการเลือกของสวีโหย่วหรง
เฉินฉางเซิงจะไหลไปตามสถานการณ์ก็ได้ แต่เขาไม่ทำอย่างนั้น
เนื่องจากเขาบำเพ็ญพรตเต๋ามาตั้งแต่ยังเยาว์ ทำให้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ล้วนจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการรังแกผู้คนอย่างนี้
ถึงแม้ว่านี่อาจจะเป็นคุณสมบัติที่ผู้คิดทำการใหญ่จะต้องมีก็ตาม
จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่เปี๋ยยั่งหงเคยกล่าวไว้ในเขตพระราชฐาน
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนนั้นแน่นอนว่ามีความแตกต่างกันยิ่งนัก แต่สามารถเปรียบเทียบกันได้
เขานึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่มหามุขนายกเคยเอ่ยกับตนไว้ก่อนที่จะสิ้น
“เมื่อครู่ข้าเดินผ่านถนนเสิน นึกถึงเรื่องราวในปีนั้นก่อนที่จะมีการสอบใหญ่”
สีหน้าของเฉินฉางเซิงปรากฏรอยยิ้มออกมา
ผู้คนล้วนทราบดีว่าเขาหมายถึงเรื่องที่มหามุขนายกเหมยหลี่ซาได้ป่าวประกาศให้ทั้งดินแดนทราบว่าเขาคือผู้ทีได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบใหญ่
การย้อนรำลึกไม่ได้ถูกคิดต่อไปเดิมทีบรรยากาศที่ควรจะดำเนินไปสู่ความอบอุ่นจู่ๆ ก็เคียดขึ้งขึ้นมา
เนื่องจากเกิดเสียงที่เยือกเย็นและเหี้ยมเกรียมขึ้นมา
“สุดท้ายท่านถึงสังหารหลานชายคนเดียวของเขาไปสินะ”
ในโถงใหญ่พลันเงียบงันอย่างผิดปกติ
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไม่พูดจา
ใช่ มีคนให้อาจารย์เหมยชวนไปสอนที่สำนักฝึกหลวง ก็เพื่อต้องการให้เขาลำบากใจ
ไม่ว่าจะสังหารหรือไม่ ก็ล้วนมีแต่คำว่า ยาก
ดังนั้นถังซานสือลิ่วจึงเตรียมจะไปตึกเล็กเพื่อที่จะสังหารเขาเสีย
ดังนั้นสวีโหย่วหรงจึงสังหารเขาเสีย
ล้วนเป็นคนข้างกายเขาทั้งสิ้น เป็นคนที่แจ้งใจในเจตนาและความรู้สึกเขาที่สุด ดังนั้นไม่อาจให้เขาเลือกได้ ไม่สามารถให้เขาเสียชื่อได้
แต่ในตอนนั้นเขาไม่ได้ห้ามปรามถังซานสือลิ่ว ดังนั้น นี่ก็คือการเลือกของเขา
เหนือดวงดาวเป็นของอาณาจักรของศักดิ์สิทธิ์
ภายใต้สิ่งสกปรกเป็นเพียงฝุ่นผง
“ข้าจะแบกรับความผิดทั้งหมดที่ควรแบกรับเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับผู้คนด้วยอาการสงบ
เขาไม่ได้ใช้ความทรงจำอันอบอุ่นเพื่อเชื่อมรอยแยกระหว่างเก่าและใหม่ และไม่ได้ให้เหตุผลใดที่น่าเชื่อถือ
ไม่มีคำอธิบาย แน่นอนว่าก็จะไม่มีทางแก้ไข
เขาเลือกที่จะแบกรับมันอย่างสงบ
เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องโถงแสงสว่าง และเสียงอุทานก็ดังขึ้น
การแสดงออกของเหล่าอาจารย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันซับซ้อนยิ่ง
บางคนผิดหวัง บางคนยินดีมาก บางคนสับสนมาก และบางคนก็ผิดหวังมาก
เฉินฉางเซิงยินดีที่จะแบกรับทุกข้อกล่าวหาเอาไว้
คำถามก็คือ ภายใต้ดวงดาวแห่งนี้ผู้ใดเล่าจะตัดสินลงโทษ สมเด็จใต้เท้าสังฆราชได้
นี่ไม่ใช่ การพิจารณาตัวเองของผู้ศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นการป่าวประกาศอย่างเยือกเย็น
เสียงถอนหายใจผิดหวังดังขึ้นหลายครั้งจากฝูงชน ทั้งยังมีเสียงซักถามอย่าติเตียนด้วย
เฉินฉางเซิงถือไม้เท้าวิเศษ และยืนอยู่ตรงจุดนั้นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำใด
ราชันย์แห่งหลิงไห่เดินไปด้านหน้าปะรำพิธี เขาหยิบกระดาษที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา กางออกด้วยมือทั้งสองข้างและเริ่มอ่าน
สิ่งที่ติดตามมาหลังจากเสียงที่เฉยเมยของเขาดังขึ้นคือรายนามชื่อคนนับไม่ถ้วน เกิดเสียงดังขึ้นในห้องโถง
เสียงค่อยๆ เงียบลง มันเงียบขึ้น
เหลือเพียงลมหายใจที่หนักแน่นและเสียงฝีเท้าที่หนาแน่นขึ้น
เหล่ามัคนายกดำแห่งตำหนักเทียนไห่ที่สีหน้าซีดขาว และดูแล้วน่ารังเกียจ ค่อยๆ นำตัวอาจารย์สิบกว่าท่านออกมาจากในฝูงชน
หนึ่งในมุขนายกอาภรณ์แดงทั้งสามที่ทำงานในสำนักการศึกษากลางถูกปลดจากตำแหน่งในที่นั่น
เสียงราชันย์แห่งหลิงไห่ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ชัดเจนราวกับมีดที่แหลมคมอย่างนั้น
เขาประกาศถึงโทษความผิดของมุขนายกอาภรณ์แดงผู้นี้
โทษเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนนี้ แต่ชัดเจน หลักฐานพร้อมพรัก
มุขนายกอาภรณ์แดงผู้นั้นไม่ได้โต้แย้ง เขาเดินตามมัคนายกดำออกไปนอกโถงตำหนัก
มองไปยังเบื้องหลังที่อ้างว้างของเขา สีหน้าของจวงจือห้วนและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
บรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดและหดหู่มากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ถูกทำลายลงในช่วงเวลาหนึ่ง
อาจารย์ท่านหนึ่งที่ถูกลากไปที่ประตูโถงตำหนักพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น และหันกลับมามองไปที่ปะรำพิธี แล้วตะโกนว่า “ท่านประสงค์จะเป็นผู้ปกครองที่เหี้ยมโหดหรือ”
ผู้คนต่างก็ฟังออก คนนี้เป็นคนที่ตั้งคำถามกับเฉินฉางเซิงเป็นคนแรก
เฉินฉางเซิงไม่ตอบคำใด เขาถือไม้เท้าวิเศษ และยืนเงียบ ๆ อยู่บนปะรำ
ในที่สุดจวงจือห้วนก็ยืนขึ้น และกล่าวหลังจากทำความเคารพอย่างใจเย็นว่า “เราควรรอให้มหามุขนายกบรรลุเสียก่อน จึงค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้ายดีหรือไม่”
สายตานับไม่ถ้วนทอดตกลงบนกายเขา
ทุกคนในที่นั้นล้วนฟังออกถึงเจตนาของเขา
สำนักการศึกษากลางยามนี้ถูกควบคุมโดยตรงโดยเหมาชิวอวี่
เหมาชิวอวี่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงผู้เดียวของสำนักฝึกหลวงในเวลานี้
คำพูดนี้ของจวงจือห้วนคือการเตือนสติ หรืออาจจะเข้าใจว่าเป็นการข่มขวัญก็ได้
ราชันย์แห่งหลิงไห่มองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์. ไม่ได้เอ่ยคำใด ในแววตาปรากฏเจตนาสังหารที่ยากจะปกปิดออกมา
จวงจือห้วนสีหน้าไม่เปลี่ยนไป เขาเพียงแต่มองเฉินฉางเซิงอยู่อย่านั้น
ในตอนนี้เอง คนที่ไม่คาดคิดได้ปรากฏตัวขึ้น
สีหน้ามุขนายกอันหลินเงียบขรึมก่อนเอ่ย “นักปราชญ์ดำเนินท่ามกลางทะเลดวงดาว เฉกเช่นเยือนย่ำอเวจี…”
“มาจากบนสรุปของบทกวีวิถีลัทธิเต๋า”
เฉินฉางเซิงมิได้ให้นางเอ่ยจนจบ
เขาหันไปเอ่ยกับนางว่า “บทกวีวิถีลัทธิเต๋าเอ่ยถึงความเคารพยำเกรง”
มหามุขนายกอันหลินแสดงความเคารพก่อนเอ่ย “ใช่แล้วขอรับ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับนางว่า “ในด้านนี้ ข้าทำได้ดีกว่าท่าน”
อันหลินมีสีหน้าตกตะลึง หลังจากนั้นจึงหันไปมองร่างสองสามคนที่อยู่ด้านนอกในความมืด
คืนนี้ศพของอาจารย์เหมยชวนสามารถยกเข้ามาในพระราชวังหลีได้ ก็เนื่องจากความช่วยเหลือของคนเหล่านั้น
ความเคารพยำเกรงคือสิ่งใดกัน ทะเลดวงดาวหรือ มหามรรคหรือ หรือว่าคนใกล้ชิด หรือว่าชะตาชีวิตของผู้รับใช้
นางเงียบอยู่นาน หลังจากนั้นจึงถอนใจก่อนเอ่ย “ท่านทราบได้อย่างไรกัน”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามนี้
ก่อนหน้าเมื่ออยู่ด้านหนังกำแพงศิลา อันหลินได้จัดการเครื่องแต่งกายเขา เอ่ยคำพูดมากมายด้วยเสียงสั่นเทา
มหามุขนายกอันหลินลดละการซักถาม เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉงนว่า “ท่านตัดสินใจจะลงโทษข้าอย่างไร”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว ข้ายินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งหมด”
มหามุขนายกอันหลินเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะสละตำแหน่งมหามุขนายกโถงตำหนักศักดิ์สิทธิ์”
นางมิได้ทรยศต่อเจตนาของใต้เท้าสังฆราช
วันนี้เป็นนางที่ยอมรับคำโน้มน้าวของขั้วอำนาจเดิม ช่วยอีกฝ่ายทำเรื่องเหล่านี้
เนื่องจากนางอยากเห็นว่า ท่านใต้เท้าสังฆราชสุดท้ายแล้วจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร
บัดนี้นางได้เห็นผลลัพธ์แล้ว นางรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
มิใช่เพราะว่าตนนั้นถูกเปิดโปงแล้วสูญเสียไปซึ่งตำแหน่งใหญ่โตในสำนักฝึกหลวงแต่เป็นเพราะว่าเฉินฉางเซิงแข็งกร้าวยิ่งนัก เยือกเย็นยิ่งนัก
นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ก็คือนักปราชญ์ที่ไร้เยื่อใยหรือ”
“ไม่ มีคนอยากให้ข้ากลายเป็นคนทะเยอทะยาน บางคนอยากให้ข้ากลายเป็นวีรบุรุษ บางคนอยากให้ข้ากลายเป็นผู้มีคุณธรรม บางคนอยากให้ข้าเป็นนักปราชญ์”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นานก่อนเอ่ย “แต่ที่จริงแล้วข้ายังคงเป็นนักพรตหนุ่มคนนั้นที่เข้าเมืองหลวงมาเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่”
มหามุขนายกอันหลินเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ แล้วจะลำบากไปไย”
หัวคิ้วของเฉินฉางเซิงขมวดแน่น ลมหายใจก็ยาวลึก
มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะมองออก อารมณ์ในยามนี้ของเขาไม่ใคร่ดีนัก
“พวกเจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่า แต่ไหนแต่ไรก็มิใช่ข้าที่ปรารถนาอยากจะเป็นสมเด็จใต้เท้าสังฆราช”
“ถ้าไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดประหลาดของผู้ใด อาจจะเป็นท่านอาจารย์อาหรืออาจจะเป็นท่านอาจารย์ใหญ่เหมย หรืออาจจะเป็นอาจารย์”
“เป็นพวกเขาที่ต้องการให้ข้ามาเป็นใต้เท้าสังฆราช ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่ได้ถามว่าข้ายินดีหรือไม่”
“ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ที่ข้าทำล้วนเป็นพวกเขาที่อยู่ประสงค์ให้ข้าทำทั้งสิ้น”
เขาเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่เรื่องราวเหล่านี้มิใช่ข้าปรารถนาจะทำ”
“หากสมเด็จใต้เท้าสังฆราชจะต้องเป็นคนเยี่ยงนี้อย่างนั้น ข้าอาจจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นสมเด็จใต้เท้าสังฆราช”
เขามองไปยังเหล่าอาจารย์ของสำนักการศึกษากลางเหล่านั้นก่อนเอ่ย “หากพวกเจ้ายังมีข้อกังขาใด ก็หยุดไว้เพียงเท่านี้”
ในโถงตำนักแสงสว่างเงียบสนิท เงียบราวกับเป่าสาก
นักบวชบางคนไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้ของเฉินฉางเซิง
ราชันย์แห่งหลิงไห่ตกใจ นักพรตซือหยวนถลึงตาโต หู้ซานสือเอ้อร์ครุ่นคิด
มหามุขนายกอันหลินงงงวย ในใจลอบคิดว่าตนทำผิดอันใด