ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 140-1 การเดินทางไปดินแดนเซิ่งกวง
พอกลับถึงพระราชวังหลี แล้วพูดคุยกันเรื่องการจากไปของหวังผ้ออีกครั้ง สวีโหย่วหรงก็พูดคำพูดที่คล้ายคลึงกันออกมาคำหนึ่ง
“ร้ายกาจยิ่ง”
หวังผ้อละทิ้งแนวคิดที่จะขอความเป็นธรรมจากราชวงศ์ต้าโจว ละทิ้งความแค้นที่มีต่อเชื้อพระวงศ์สกุลเฉิน นี่เป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก
ในระดับจิตวิญญาณ ก็ไม่ต่างจากการเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง
เฉินฉางเซิงคิดเองเออเอง จากนั้นก็นึกถึงคำพูดประโยคสุดท้ายที่ศิษย์พี่พูด
‘การจากไปในเวลาอันเหมาะสม เป็นเรื่องที่งดงามยิ่ง’
เป็นใครก็ดูออกว่า ประโยคนี้พูดถึงซางสิงโจว
เฉินฉางเซิงก็ไม่ปฏิเสธในจุดนี้ กลับมักรู้สึกว่าประโยคนี้เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ข้าอาจจะ…จากไปสักระยะหนึ่ง”
เขาพูดอย่างลังเลใจอยู่บ้าง
สวีโหย่วหรงว่า “เหตุผล?”
เหตุผลมีมากมาย เช่นประโยคเมื่อครู่
เช่นเวลาศิษย์พี่สอนศิษย์น้องฝึกเขียนพู่กันอย่างเข้มงวด ทำให้เขานึกถึงอาจารย์
เช่นขุนนางใหญ่หลายคนและประชาชนล้วนยกย่องเทิดทูนศิษย์พี่ว่า ยิ่งมาก็ยิ่งเหมือนจักรพรรดิไท่จง
แต่เหตุผลเหล่านี้เขาพูดไม่ออก เพราะเป็นการคาดเดาเอาเองทั้งสิ้น ไม่มีหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ และการคาดเดาเช่นนี้ ก็ไร้ซึ่งความรับผิดชอบจริงๆ
เขามิได้พูด ทว่าสวีโหย่วหรงรู้
นางจึงว่า “เจ้าอาจคิดมากไป”
“ก็ใช่” เฉินฉางเซิงจ้องมองนางพลางพูดจริงจัง “แต่ก่อนที่จักรพรรดิไท่จงจะกระทำเรื่องเหล่านั้น ก็ไม่เห็นต้องเป็นจักรพรรดิไท่จงที่เรารู้จัก เขาคือฉีอ๋องที่ทุกคนล้วนยกย่อง การสังหารพี่น้องและคุมขังบิดาหลังจากนั้น อาจเป็นเพราะถูกบีบให้ต้องเลือกเพราะทำอะไรไม่ได้”
สวีโหย่วหรง “ดังนั้น?”
เฉินฉางเซิง “ข้าไม่อยากให้เขากลายเป็นจักรพรรดิไท่จงคนที่สอง ข้าจึง…อยากจากไป”
“ถ้าเป็นเพราะเหตุผลเพียงเท่านี้ ข้าไม่สนับสนุน เพราะนี่ล้วนเป็นข้อแก้ตัวของผู้ถูกกระทำ”
สวีโหย่วหรงว่า “การมีชีวิตอยู่ ควรมีพฤติกรรมของผู้กระทำรวมกัน”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู ค่อยว่า “ตัวข้าเองก็อยากจากไป”
สวีโหย่วหรงถามสองคำนั้นอีกครั้ง “เหตุผล?”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าอยากรู้ว่า ตัวเองมาจากไหน”
เขามีชีวิตอยู่ใต้เงามรณะ ตั้งแต่อายุสิบขวบ
คืนนั้นที่สุสานเทียนซู จักรพรรดินีเทียนไห่ได้ช่วยเขาท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ซึ่งสุดท้าย เขาก็ไม่ต้องครุ่นคิดถึงปัญหาเรื่องความตายในทุกๆ วันอีก มีสิทธิ์ครุ่นคิดถึงปัญหาอื่นๆ บ้าง
ซึ่งนอกจากปัญหาชีวิตกับความตายแล้ว ปัญหาสำคัญที่สุดของมนุษย์คือสามข้อนี้
เจ้าเป็นใคร
เจ้ามาจากไหน
เจ้าอยากไปที่ใด
คิดไขคำตอบของปัญหาสามข้อนี้ ก่อนอื่นต้องตอบปัญหาสองข้อแรกให้ชัดเจนก่อน
แม้การทำสงครามกับเผ่ามารยังไม่จบสิ้นไปเสียทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
ซางสิงโจว กับคนชุดดำบอกว่า เขามาจากดินแดนเซิ่งกวง เขาจึงอยากไปที่นั่นดู
“ข้ายอมรับเหตุผลนี้”
สวีโหย่วหรงพูด “แต่ต้องไม่นานจนเกินไป”
เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง “เจ้าไม่คิดจะไปกับข้าหรือ”
สวีโหย่วหรงพูดอย่างจริงจัง “ข้าเกิดในเมืองหลวง”
……
……
เฉินฉางเซิงกลับถึงเมืองซีหนิง จนถึงเวลานี้ เขาก็ยังนึกถึงคำพูดสุดท้ายของสวีโหย่วหรง จากนั้นก็นึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อ ถังซานสือลิ่ววิจารณ์สวีโหย่วหรงว่า เป็นสตรีที่ทำให้ผู้คนพูดไม่ออก
คำตอบนี้ทำให้เฉินฉางเซิงโล่งใจลงบ้าง แต่กลับลืมไปว่า ถังซานสือลิ่วก็วิจารณ์เขาแบบนี้เช่นเดียวกัน
การที่เขาซึ่งเป็นสังฆราชจากไปอย่างกะทันหันนั้น ก็ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกจริงๆ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่
ปลายฤดูหนาว ต้นไม้ดอกไม้ริมลำธารแปรสภาพเป็นต้นไม้ดอกใบโกร๋น
บนผิวน้ำไร้กลีบดอกไม้ ในวัดเก่าแก่ก็ไร้หนังสือแล้วเหมือนกัน
เฉินฉางเซิงนอนในวัดเก่าคืนหนึ่ง แล้วตื่นนอนตอนตีห้าของเช้าวันรุ่งขึ้น เขาใช้น้ำในลำธารล้างหน้า แล้วเดินไปทางนั้น ยิ่งเดินหมอกก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ พอถึงช่วงที่หนาที่สุด ก็กลายเป็นเมฆ ในเมฆมีสายน้ำ มีเถาวัลย์ มีกวางน้อยขี้ตกใจ อีกทั้งเงาตะคุ่มของสัตว์ป่าที่ไม่รู้จักมากมาย
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมที่เขาคุ้นเคย จึงไม่สามารถทำให้เขาหยุดฝีเท้าลงได้แต่อย่างใด จวบจนเดินมาถึงเชิงเขาของยอดเขาสูงเดียวดาย
อาชาเขาเดี่ยวตัวหนึ่งปรากฏขึ้น เนื้อตัวขาวโพลน ราวกับสัตว์วิญญาณ
เฉินฉางเซิงสบตามันเงียบๆ
เขารู้ว่าอาชาเขาเดี่ยวรอเขาเสมอ และรอมาหลายปีแล้ว
“ไม่จำเป็นต้องอยู่กับใคร อยู่ตัวคนเดียวก็สบายดี”
เฉินฉางเซิงจ้องมองมันพลางสั่นศีรษะ ยิ้มเล็กน้อยแล้วว่า “ไปเถิด”
อาชาเขาเดี่ยวจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก้าวไปสิบกว่าก้าวก็หันกลับมามองเขา
เฉินฉางเซิงจ้องมองมันเงียบๆ โดยมิได้หันกายจากไป จวบจนมันหายไปในส่วนลึกของเมฆหมอกอันหนาทึบ จึงค่อยเดินต่อไปบนทางของตนเอง
ยอดเขาเดียวดายถูกห้อมล้อมด้วยเมฆหมอกตลอดปี พื้นผิวจึงชื้นมาก ทุกแห่งหนมีแต่ตะไคร่น้ำ และสายน้ำที่ไหลไม่รู้จบ
ทว่าสำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์แล้ว เหล่านี้ไม่ถือว่ายากลำบาก เหมือนเดินอยู่บนที่ราบก็มิปาน
……
……
เมื่อเก้าวันก่อน ดวงอาทิตย์ตกลงไปในสุสานเมฆ แล้วไม่ปรากฏขึ้นอีก
พอวันที่สิบ เฉินฉางเซิงก็มาถึงบนยอดเขาเดียวดาย
นอกจากทะเลหมอกแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรเลย หนาวเย็นเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความรู้สึกเปลี่ยวเหงา
เขานั่งบนก้อนหินที่อยู่บนยอดสูงสุด หยิบผลไม้ขึ้นมาผลหนึ่ง ค่อยๆ กัดกินอย่างจริงจัง
ในฝักกระบี่มีของหลายอย่าง รวมทั้งอาหาร นั่นเป็นของจำนวนมากที่จี๊ดจี๊ดตระเตรียมให้ด้วยตัวเอง แต่เขาไม่เอาอะไรเลย กินผลไม้เพียงผลเดียวเท่านั้น
ก็คล้ายกับที่เขาเลือกปีนเขา แทนที่จะเลือกไปถึงยอดเขาด้วยวิธีการอื่น นี่อาจเป็นเพราะเขาต้องการความรู้สึกที่แตกต่างจากชีวิตที่ผ่านมา
หลังจากกินผลไม้ เขาก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ปรากฏว่าท้องฟ้าอยู่ตรงหน้านี้เอง
เขายื่นมือออกไปลูบเบาๆ พบว่าความรู้สึกของการสัมผัสท้องฟ้านั้นไม่เลวทีเดียว ไม่แข็งอย่างที่คิด ลื่นมากและค่อนข้างยืดหยุ่น คล้ายกับใบหน้าของโหย่วหรง
เขาหลับตาลง
กระบี่สามพันเล่มส่งเสียงคำราม แล้วร่อนไปมาเหนือทะเลเมฆ ดูมีความสุขมาก พวกมันน่าจะรู้แล้วว่า กำลังจะได้ท่องโลกอีกโลกหนึ่ง
……
……
เฉินฉางเซิงมาถึงท้องฟ้าฝั่งนั้น จากนั้นก็ล้มลงกับพื้น
แต่ไม่เจ็บมาก เพราะพื้นคล้ายปูด้วยหญ้าเขียวอย่างไรอย่างนั้น นุ่มนิ่มมาก
นี่คือทุ่งหญ้าที่มีรัศมีหลายร้อยจั้ง
เฉินฉางเซิงหันมองกลับไป เห็นเพียงกำแพงผลึกมิติที่เปิดออกกำลังค่อยๆ ปิดลง สีของท้องฟ้าจางลงเรื่อยๆ จวบจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาเห็นได้อย่างชัดเจน ในดินแดนต้าลู่ ยอดเขาเดียวดายค้ำจุนท้องฟ้า ส่วนที่นี่ดูไปแล้ว กลับกำลังเผชิญหน้ากับเขา
ที่แท้ดินแดนทั้งสองมิได้ขนานกันในแนวนอน แต่ขนานกันในแนวตั้ง
ดินแดนต้าลู่สำหรับที่นี่ก็เหมือนกำแพงแถวหนึ่ง
ทุ่งหญ้านี้เล็กมากจริงๆ เดินไปสักพักก็ออกมาแล้ว
นอกทุ่งหญ้าเป็นทะเลทราย เม็ดทรายและก้อนหินสีขาวรังสรรค์ให้โลกใบนี้เสมือนหนึ่งทะเลสีขาว
ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าส่องแสงสว่างพร่างพราวตา
เฉินฉางเซิงสุ่มเดินไปทางหนึ่ง
เพียงก้าวแรกก็กลายเป็นหลายลี้
ไม่นานนัก เขาก็พบกับชนพื้นเมืองในดินแดนแห่งนี้
ยิ่งเดินก็ยิ่งพบชนพื้นเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีใครเข้ามาถามว่าเขามาจากไหน ยิ่งไม่มีใครกล้าขวางทางเขา
ชนพื้นเมืองมองเขาอย่างเกรงกลัว ดุจกระแสน้ำที่แยกออกจากกัน จวบจนแท่นบูชาเผยออกมาให้เห็น
อากาศร้อนมาก ทว่านักบวชชุดขาวกลับนั่งอยู่บนแท่นบูชา ปล่อยให้แสงแดดแผดเผา
ในอดีต เฉินฉางเซิงเคยติดตามวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดินีเทียนไห่ และเห็นเขาข้างริมลำธารในเมืองซีหนิง
“ข้ากำลังจะตาย โลหิตเหือดแห้ง หมดพลัง เลยค่อนข้างหนาว”
นักบวชชุดขาวอธิบายให้เขาฟัง
เฉินฉางเซิง “ที่นี่ค่อนข้างหนาวจริงๆ”
ที่นักบวชชุดขาวพูดว่าหนาวนั้นมีเหตุผล แต่เหตุใดเขาก็รู้สึกว่าที่นี่หนาวด้วยเล่า
ต้องรู้ว่าดวงอาทิตย์ทั้งเก้าบนท้องฟ้าล้วนเป็นของจริง
“เจ้าใช่มารับพวกเรากลับบ้านหรือเปล่า”
นักบวชชุดขาวถาม