ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 140-2 การเดินทางไปดินแดนเซิ่งกวง
พอได้ยินประโยคนี้ ชนพื้นเมืองหลายแสนคนที่อยู่รอบๆ แท่นบูชาก็คุกเข่าลงดุจกระแสน้ำ ส่งเสียงร่ำไห้พลางอธิษฐาน “ขอให้เราได้กลับบ้านเถิด”
เฉินฉางเซิงมองดูชนพื้นเมืองเหล่านี้ แล้วเงียบไม่พูดไม่จา
นักบวชจึงว่า “อาจารย์เจ้าเคยรับปากข้า ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าก็จะรอให้ศิษย์น้องเจ้ามาทำเรื่องนี้”
เฉินฉางเซิง “ถ้าข้ากลับมาได้ จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง”
นักบวชเข้าใจความหมายของเขา “เจ้าอยากเห็นความเป็นมา?”
เฉินฉางเซิง “ใช่”
นักบวช “เจ้าน่าจะชัดเจนดีว่า ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนเซิ่งกวง”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
เขารู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนเซิ่งกวง
ถ้าดินแดนเซิ่งกวงอยู่ใกล้ขนาดนี้ เกรงว่าดินแดนต้าลู่คงตกเป็นทาสของเทพเจ้าแต่แรกแล้ว
ที่นี่เคยเป็นดินแดนอารยธรรมหลัก ปัจจุบันเป็นพื้นที่ทุรกันดาร
แสงแดดที่แผดเผาและร้อนแรงเหล่านั้น ดูเหมือนเต็มไปด้วยพลังงาน แต่กลับมิใช่แสงศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง เป็นเพียงภาพลวงตา
ดินแดนแห่งนี้สูญเสียพลังงานทั้งหมดไปแล้ว พลังชีพกำลังไหลออกไม่หยุด จึงล่มสลายลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
“ตอนนั้น เรานำโลหิตสามหยดของเสด็จอาส่งไปยังดินแดนเซิ่งกวงผ่านแท่นบูชา”
นักบวชชุดขาวพูดต่อ “จากนั้นค่อยมีเจ้า”
เสด็จอาที่เขาพูดถึง ก็คือเฉินเสวียนป้า
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถาม “คนของดินแดนเซิ่งกวงมาที่นี่ผ่านแท่นบูชาได้ไหม”
“แท่นบูชาส่งได้เฉพาะสิ่งไม่มีชีวิต”
นักบวชชุดขาวส่ายหน้าแล้วว่า “โลหิตของเสด็จอาไม่มีชีวิต กระบี่บังฟ้าก็มิใช่สิ่งมีชีวิต”
เฉินฉางเซิง “แต่ข้ามีชีวิต”
นักบวชชุดขาว “หรือตอนนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ ตอนเจ้าถูกส่งกลับมา เป็นเพียงผลไม้ผลหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงเงียบไปอีกครั้ง ก่อนว่า “เช่นนั้นข้าเกิดมาได้อย่างไร”
นักบวชชุดขาว “ตั้งครรภ์สิบเดือน เฉกเช่นผู้อื่น”
เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว พลางเอ่ยอย่างมีความหวัง “นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
นักบวชชุดขาวมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ ราวกับมองสาวน้อยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนางนั้น
“ตอนเจ้าเกิด นางก็เสียชีวิต”
เฉินฉางเซิงเงียบไปเนิ่นนาน ค่อยว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นคนเลว”
คำว่าพวกเจ้าในประโยคนี้หมายถึง นักบวชชุดขาว คนชุดดำ และอาจารย์ของเขา ซางสิงโจว
“ดินแดนเซิ่งกวงคิดมาตลอดว่าจะเปิดช่องทางมิติ ผ่านแท่นบูชานี้”
นักบวชชุดขาวพูดต่อ “ครั้งที่ใกล้เคียงกับความสำเร็จที่สุดก็คือเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเขารอจนซางสิงโจวใช้บทลงโทษเทพที่เจ้าแผ่ออกมา หรือไม่ก็ใช้วิญญาณเทพของข้าเป็นตัวเหนี่ยวนำ”
จวบจนบัดนี้ เฉินฉางเซิงถึงได้รู้ว่า ตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กับนักปราชญ์สามท่าน เหตุใดจึงกังวลกับวิญญาณเทพของนักบวชริมลำธารในเมืองซีหนิงมากที่สุด
เขามองตานักบวชชุดขาวพลางว่า “จากที่พูดมา เจ้าก็คือคนเลวที่สุดคนนั้น”
นักบวชชุดขาวเงียบไปสักพัก ก่อนว่า “ข้าไม่เคยไปดินแดนเซิ่งกวง แต่เคยรู้สึกถึงพลังแห่งเทพ ซึ่งนั่นมิใช่สิ่งที่เราสามารถต้านทานได้”
เฉินฉางเซิงว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรเป็นตัวเหนี่ยวนำให้ศัตรู”
นักบวชชุดขาวโต้ “ถ้ามิใช่เพราะดินแดนเซิ่งกวงมาเติมพลังที่นี่ผ่านแท่นบูชา ดินแดนแห่งนี้ก็รกร้างว่างเปล่าไปนานแล้ว”
เฉินฉางเซิง “ถ้าไม่ใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนต้าลู่ก็รกร้างว่างเปล่าไปแล้วเช่นเดียวกัน”
นักบวชชุดขาว “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยังไม่ตาย”
เฉินฉางเซิงนึกถึงช่วงแรกในเมืองซีหนิง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เคยพูดกับนักบวชผู้นี้ว่า นางมีทายาท
ทายาทของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หมายความว่าอะไรกันแน่ เป็นอวี๋เหรินหรือเฉินฉางเซิง หรือสวีโหย่วหรง
……
……
ทุกแห่งหนในพื้นที่ทุรกันดารล้วนเป็นทะเลทราย
ชายขอบทะเลทราย ซึ่งห่างจากพื้นที่ชุ่มชื้นที่ชนพื้นเมืองอาศัยอยู่หลายแสนลี้ มีทะเลแห่งหนึ่ง
ทะเลแห่งนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ ราวกับเป็นทะเลมรณะแห่งหนึ่ง
แต่ต่อให้เป็นโลกที่เวิ้งว้างแค่ไหน ก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างออกไปอยู่บ้าง หรืออาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นวิญญาณมรณะ
ผิวน้ำเกิดคลื่นยักษ์ ลมหนาวพัดหวีดหวิว
โครงกระดูกมังกรน้ำลึกยาวสิบกว่าลี้ตัวหนึ่ง เล็ดลอดขึ้นลง ล้อคลื่นลมไม่หยุด
โครงกระดูกมังกรน้ำลึกตัวนี้มิได้อยากโอ้อวดพลังของตนให้ฟ้าดินล่วงรู้ และมิได้อยากบอกเทพเจ้าถึงความสิ้นหวังของตน แต่เป็นเพราะถูกบีบให้อับจนหนทาง
กระรอกตัวหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ในดวงตาของโครงกระดูกมังกร คล้ายจุดดำจุดหนึ่ง
มันมองดูคลื่นตรงหน้าที่กำลังถาโถมเข้ามา โดยมิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด บางครั้งยังส่งเสียงร้องอย่างสะใจออกมาด้วย
ที่แท้โครงกระดูกมังกรน้ำลึกตัวนี้กำลังโต้คลื่นเป็นเพื่อนมันนี่เอง
ริมทะเล แกะดำตัวหนึ่งแหงนมองท้องฟ้าเงียบๆ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
……
……
“ข้าจะไปดินแดนเซิ่งกวง”
“ข้าไม่เคยไปดินแดนเซิ่งกวง และไปไม่ได้”
“ซูหลีไปด้วยวิธีไหน”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะใช้วัดมหายานเป็นทางผ่าน”
พอได้ยินประโยคนี้ เฉินฉางเซิงก็ตกใจมาก
เขารู้ว่าหวังจือเช่อกับอู๋เต้าจื่ออยู่ในวัดมหายานมาโดยตลอด น่าจะกำลังพยายามซ่อมแซมจิตรกรรมฝาผนังที่เสียหายในตอนนั้น เพื่อสืบสานมรดกทางพุทธศาสนา
ทุกคนล้วนคิดว่า วัดมหายานต้องอยู่ในป่าเขาลึกที่ห่างไกลความเจริญที่ไหนสักแห่ง ใครจะคิดเล่าว่า วัดมหายานกลับมิได้อยู่ในดินแดนต้าลู่ แต่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้
พอก้าวเข้าไปในวัดมหายาน เขาก็เห็นอู๋เต้าจื่อยังคงวาดจิตรกรรมฝาผนัง
จากนั้น ก็เห็นหวังจือเช่อ
หวังจือเช่อผมขาวโพลนทั้งศีรษะ กำลังนั่งเป่าขลุ่ยแนวขวางเบาๆ ไม่รู้กำลังคิดถึงใคร
เฉินฉางเซิงมิได้เกรงใจ แต่มีความเคารพ
ที่แท้หลายปีมานี้ หวังจือเช่อเฝ้ารักษาการณ์ทางผ่านที่สำคัญที่สุดให้เผ่ามนุษย์มาโดยตลอด
เผื่อวัดมหายานสามารถเป็นทางผ่านไปสู่ดินแดนเซิ่งกวง
“ที่นี่มีรอยแยกมิติอยู่หนึ่งรอย ไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง ต้องซ่อมแซมเป็นระยะ”
หวังจือเช่อวางขลุ่ยลง แล้วพูดกับเขา “สิ่งที่ท่านอู๋ทำ ก็คือสิ่งนี้”
อู๋เต้าจื่อจ้องมองภาพวาดบนผนัง ยิ้มเย็นชาแล้วว่า “ช่วงแรกที่อยู่ในพระราชวังหลี ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าใครทุบตีข้าจนมีสภาพเช่นนั้น ตอนนี้รู้แล้วสิว่า ข้าสำคัญมากแค่ไหน”
หวังจือเช่อว่า “ข้าไม่มีเวลาและพลังมากพอจะไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
ตั้งแต่รู้ว่าหวังจือเช่อยังมีชีวิตอยู่ คำวิจารณ์แย่ๆ เกี่ยวกับเขาก็ผุดขึ้นมากมาย
ไม่สนใจเรื่องทางโลก ยิ่งไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่
เฉินฉางเซิงเคยมีความคิดทำนองนี้ จวบจนวันนี้ถึงได้รู้ว่า เหล่านี้ล้วนเข้าใจผิด
วัดมหายานสำคัญเกินไป เมื่อเทียบกับการแย่งชิงอำนาจในดินแดนต้าลู่ การต่อสู้ให้ตายกันไปข้าง เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กจริงๆ
“ในเมื่อที่นี่มีรอยแยกมิติ แล้วเหตุใดเหล่าเทพเจ้าถึงไม่เปิดช่องทางมิติจากที่นี่”
เฉินฉางเซิงถาม
หวังจือเช่อ “เพราะเหล่าเทพเจ้าก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่า ช่องทางมิติแห่งนี้เป็นช่องทางที่ให้เดินทางเดียว”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจเหตุผลนี้
หวังจือเช่อ “เจ้าไปที่นั่นแล้ว ก็จะรู้เอง”
เฉินฉางเซิง “ท่านเคยไปที่นั่นหรือยัง”
หวังจือเช่อ “ข้ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู แล้วว่า “ที่ซูหลีกับข้าทำเช่นนี้ ค่อนข้างขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ใช่หรือไม่”
หวังจือเช่อ “ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในชีวิตมนุษย์อย่างเรา จึงคุ้มค่าที่จะเสี่ยงกับมัน กระทั่งทุ่มสุดตัว”
เฉินฉางเซิง “ข้าควรไปอย่างไร”
หวังจือเช่อพาเขามายืนอยู่ตรงหน้าจิตรกรรมฝาผนัง
บนฝาผนังวาดภาพทิวทัศน์มากมาย
มีสิ่งก่อสร้างยอดแหลม ในเส้นสายที่เป็นธรรมชาติมีกลิ่นอายของเทพศักดิ์สิทธิ์
มีสนามหญ้าและเมฆขาว มีกระท่อมเล็กๆ ที่กระจัดกระจาย มีตลาดที่คึกคัก อีกทั้งสนามต่อสู้สัตว์ป่ากลางแจ้งที่ดูสว่างสดใส แต่ความจริงกลับมืดหม่นหมองมัว
ถ้าดูจากรูปแบบของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ คล้ายเมืองเสวี่ยเหล่ามาก
บนฝาผนังยังมีสิ่งมีชีวิตซึ่งมีสติปัญญามากมายที่แตกต่างจากเผ่ามนุษย์
สิ่งมีชีวิตที่เหมือนช่างฝีมือ บ้างก็เหมือนชนเผ่ามารชั้นล่างแต่ตัวเล็กกว่า สิ่งมีชีวิตบางอย่างก็สวยงามมาก คล้ายชนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่เร้นกายอยู่ในต้าซีโจว
เฉินฉางเซิงยิ่งดูก็ยิ่งตกอยู่ในภวังค์ จนได้ยินเสียงระฆัง ถึงได้สติขึ้นมา
กวาดตามองไป เห็นสนามหญ้าสีเขียว เมฆสีขาวล่องลอยอยู่ในท้องฟ้าสีคราม เสียงระฆังดังมาจากอุโบสถที่อยู่ด้านหน้า พอสะท้อนไปรอบทิศ ในสิ่งก่อสร้างก็มีเสียงตะโกนดังมา
ภาษาแบบนั้นใกล้เคียงกับภาษาชนเผ่ามารมาก เฉินฉางเซิงฟังออก น่าจะหมายถึงได้เวลาเข้าเรียนแล้ว
ที่แท้เขาได้มาถึงดินแดนเซิ่งกวงแล้ว