ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 141-2 วิถีเทพซ่อนเร้น
ในวิทยาลัยเวทมนตร์แห่งนี้ เขาวางตัวธรรมดามาก ไม่ว่าจะเป็นคลื่นพลังเวทหรือความแข็งแกร่งในการร่ายเวท ก็ล้วนไม่มีอะไรพิเศษ
ถ้าเขายินยอม คลื่นพลังเวทที่อ่อนแอเหล่านี้ล้วนสามารถมลายหายได้ทุกขณะ กลายเป็นคนธรรมดาสามัญไปจริงๆ
หรือต่อให้เหล่าเทพเจ้ามาเห็นเขา ก็ไม่น่าจะรู้สถานะที่แท้จริงของเขา เพราะเขาบรรลุถึงขั้นอำพรางเทพ
แล้วจริงๆ
พริบตาที่เขามาถึงดินแดนเซิ่งกวง ก็พบว่าฟ้าดินทั่วทุกแห่งหนของที่นี่ล้วนมีแต่แสงศักดิ์สิทธิ์
แสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นกับแสงศักดิ์สิทธิ์ในร่างเขา เดิมทีเป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งสองผสานกันได้เองตามธรรมชาติ นี่หมายความว่า สิ่งที่เขาทำได้จริงๆ ก็คือ กลมกลืนกับฟ้าดิน
ถูกแล้ว เขาในตอนนี้อยู่ในขั้นอำพรางเทพ หรือก็คือขั้นเดียวกับจักรพรรดินีเทียนไห่ในอดีต
มนุษย์คนอื่นๆ เมื่อมาถึงดินแดนเซิ่งกวง ไม่น่าจะเลื่อนขั้นได้เร็วจนน่ากลัวอย่างเขา แต่ก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก
ด้วยฟ้าดินทั่วทุกหนแห่งล้วนแล้วแต่มีพลังงาน
หลายปีก่อน ที่ซูหลีสามารถใช้กระบี่เดียวฟันช่องทางมิติจนขาด คิดๆ ดูก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้
ครั้งอยู่ในดินแดนแผ่นดินใหญ่ กระบี่ของเขาแม้ร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงระดับนี้
ช่วงแรกที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร เขายังเคยสงสัยว่า ในเมื่อวัดมหายานคือรอยแยกของมิติ เหตุใดเทพเจ้าถึงไม่เปิดช่องทางมิติจากตรงนั้น
หวังจือเช่อตอบเขาว่า เพราะเหล่าเทพเจ้าก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่า ช่องทางมิติแห่งนี้เป็นช่องทางเดินทางเดียว
ตอนนี้เขาเข้าใจสาเหตุแล้ว
เทพเจ้ากำลังกลัว กลัวว่ามนุษย์จะมาถึงดินแดนเซิ่งกวง
……
……
แสงอาทิตย์อัสดงตกลงบนหน้าต่าง
เฉินฉางเซิงเดินไปริมหน้าต่าง มองไปยังสนามหญ้านอกวิทยาลัย
บนสนามหญ้า อาจารย์กับนักศึกษามากมายกำลังเดินไปรับประทานอาหารเย็น พอเห็นเขาที่ริมหน้าต่าง ทุกคนล้วนทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง
พอเห็นพวกเขา เฉินฉางเซิงก็พลันรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ถึงเวลาที่ต้องจากลาแล้ว
สองสามปีที่ผ่านมา ขณะอยู่ในวิทยาลัย เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งประวัติศาสตร์แผ่นดินใหญ่ ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ บันทึกเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ล้วนเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
อีกทั้งตามการคาดคะเนของเขา โหย่วหรงน่าจะใกล้มาถึงแล้ว
โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ เขาเป็นห่วงว่านางจะหาเขาไม่เจอ
เขาเคยสืบถามเบาะแสของซูหลีดู แต่กลับไม่ได้อะไรเลย ขนาดมุขนายกใหญ่ชุดแดงท่านหนึ่งที่บังเอิญถูกเขารั้งตัวไว้ ก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผู้ที่สามารถปกปิดเบาะแสกับข่าวคราวได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ มีเพียงหัวหน้านักฆ่าท่านนั้น
แน่นอน อาจเป็นไปได้ว่า ผู้ปกครองสูงสุดกำลังจงใจปกปิดข่าว
เขาตัดสินใจไปนครศักดิ์สิทธิ์ดูสักตั้ง เขามั่นใจว่าสวีโหย่วหรงต้องไปนครศักดิ์สิทธิ์แน่
เพราะสังฆราชสูงสุดอยู่ที่นั่น
จักรพรรดิอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์กับสังฆราชสูงสุดคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในดินแดนเซิ่งกวง โดยไม่มีใครฟันธงได้ว่า ใครมีอำนาจมากกว่า
ที่ฟันธงได้ก็คือ สังฆราชสูงสุดเป็นผู้แข็งแกร่งสุดในดินแดนเซิ่งกวง
เขาได้รับสมญานามว่า บุรุษผู้ใกล้ชิดเทพมากที่สุด
……
……
จากอำเภอกรีนโบว์ (Green bow) ถึงนครศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใช้ม้าเร็วที่สุด ต้องกินเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง พูดได้ว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก
นักเดินทางหลายคนคุ้นชินกับการแวะพักค้างคืนและทานอาหารที่อาศรมรุสแซล (Roussel)
เฉินฉางเซิงมองดูมันบด ขนมปังแข็งสีน้ำตาล กับปลาทอดในถาด ก็เริ่มคิดถึงบ้านที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดถึงมาก่อน
หลังเสร็จจากการรับประทานอาหารเย็นง่ายๆ เขาก็กลับเข้าห้อง อาบน้ำชำระล้างร่างกาย พอสี่ทุ่มก็ขึ้นเตียงตรงเวลา เริ่มเข้านอน และตื่นตอนตีห้า
ที่แปลกก็คือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงจันทร์นอกหน้าต่างขาวเกินไป หรือเสียงร้องของจักจั่นฤดูใบไม้ร่วงฝูงสุดท้ายแหลมเล็กเกินไป ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้นอน
ขณะมองดูแสงจันทร์อันเย็นยะเยือกอยู่หน้าเตียง เขาตัดสินใจไปรับโหย่วหรง แล้วเดินเล่นอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนนาง จากนั้นค่อยกลับไป ไม่รอพวกลั่วลั่วแล้ว
แต่พอตัดสินใจได้ กลับยังคงไม่สามารถสงบนิ่งลง เขายังคงนอนไม่หลับ
เฉินฉางเซิงมิได้โบกมือสังหารจักจั่นฤดูใบไม้ร่วงรอบๆ อาศรมให้หมด และมิได้เรียกเมฆดำมาบังดวงจันทร์ คลุมเสื้อคลุมแล้วออกไปเดินเล่นนอกอาศรม
เขาเดินมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของอาศรมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ที่นั่นมีปราสาทหินหลังหนึ่ง ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ ดูอึมครึมเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับขั้นอำพรางเทพแล้ว ไม่มีเรื่องไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้ เขาสัมผัสได้ถึงปัญหาแต่แรก ทว่าไม่อยากสนใจ
นอกจากระดับพอๆ กับสังฆราชสูงสุดที่ดำรงอยู่แล้ว โลกใบนี้ไม่มีใครสามารถข่มขู่คุกคามเขาได้ การวางกับดักและการซุ่มโจมตียิ่งไร้ความหมาย
พื้นของปราสาทหินมีค่ายกล ทุกหย่อมหญ้าล้วนมีเส้นพลังเวทไร้รูป แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมุขนายกใหญ่กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีทางข้ามผ่านไปได้
เฉินฉางเซิงได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
ดังมาจากคุกใต้ดิน พอดึงหญ้าออกถึงเห็นช่องระบายอากาศเล็กๆ ช่องหนึ่ง
คุกใต้ดินมิได้จุดตะเกียง แต่เขาสามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน
ผู้ที่ถูกขังอยู่ในคุก สวมหน้ากากเหล็กแบบเชื่อมติดตายที่ศีรษะ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
ยามแสงจันทร์สีขาวส่องต้องหน้ากากเหล็ก ยิ่งดูน่ากลัวสุดๆ
ตามรอยแยกของหน้ากากเหล็ก มีวัชพืชงอกออกมา
ไม่รู้เหมือนกันว่า คนผู้นี้ถูกขังในนี้มากี่ปีแล้ว
พอนักโทษผู้นี้เห็นเฉินฉางเซิง ก็ดีใจสุดขีด กระทั่งค่อนข้างคลุ้มคลั่ง เอาหัวเหล็กโขกผนังไม่หยุด
เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาเงียบๆ รอให้เขาสงบสติอารมณ์ลง
“อาจารย์ ช่วยข้าด้วย!”
คนสวมหน้ากากเหล็กคลานมาที่ช่องระบายอากาศ แล้ววิงวอนด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
เฉินฉางเซิง “เจ้าเป็นใคร”
คนสวมหน้ากากเหล็ก “ข้าคือออกัสตัส”
เฉินฉางเซิง “เจ้ากำลังรอข้า?”
เห็นชัดว่า มีคนวางอุบายในอาศรม จงใจล่อให้เฉินฉางเซิงมาที่นี่
อิทธิพลเงียบของคนผู้นี้ มีผลต่อการตัดสินใจของเฉินฉางเซิง ต้องบอกว่า ระดับขั้นของคนผู้นี้สูงจนยากแท้หยั่งถึง
ซึ่งเฉินฉางเซิงได้กลิ่นที่คุ้นเคยจากการจัดเตรียมเช่นนี้ ตอนนี้เขาจึงอารมณ์ดี และยินดีฟังว่าอีกฝ่ายเตรียมที่จะพูดอะไรบ้าง
“ผู้หยั่งรู้ที่เรียกตัวเองว่านักเดินทางท่านหนึ่งเคยบอกข้าว่า ขอเพียงข้าอดทนรอและอธิษฐานจากใจจริง ท่านย่อมต้องมารับข้าเป็นศิษย์ และช่วยข้าออกไป”
เห็นชัดว่าคนสวมหน้ากากเหล็กมิได้พูดปด
เรียกตัวเองว่านักเดินทาง ก็มีเพียงท่านนั้นเท่านั้น ที่ว่างจนเบื่อหน่าย ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้
“เจ้าเอาอะไรมาตัดสินว่าคนนั้นคือข้า”
เฉินฉางเซิงถาม
คนสวมหน้ากากเหล็กตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนว่า “ผู้ที่เพิกเฉยอย่างสิ้นเชิงต่อข้อห้ามที่เจ้าคนชั่วรีเชอลิเยอกำหนดไว้ ต้องเป็นท่าน!”
เฉินฉางเซิงจำได้ว่า มุขนายกใหญ่สวมชุดแดงที่ชื่อว่ารีเชอลิเยอท่านนั้น เป็นผู้ช่วยของจักรพรรดิเทพศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
คนสวมหน้ากากเหล็ก “จริงๆ แล้วข้าชื่อออกัสตัส เคยมีตำแหน่งเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้องชายฝาแฝดของจักรพรรดิเทพศักดิ์สิทธิ์ ถูกขังอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว…”
พอพูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาก็สั่นเครือขึ้นมาอีก ดูเจ็บปวดแสนสาหัส และเต็มไปด้วยอารมรณ์ขมขื่น
แววตาของเขาย่อมไม่มีอารมณ์เหล่านี้ แต่เต็มไปด้วยความหวังและความเครียด น้ำตาคลอหน่วย ด้วยกลัวว่าเฉินฉางเซิงจะจากไปเช่นนี้
ประโยคง่ายๆ หนึ่งประโยค สามารถพยากรณ์เรื่องในวังที่พบเห็นบ่อยมากออกมาได้หนึ่งเรื่อง
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู จึงว่า “ข้าจะไปนครศักดิ์สิทธิ์ เราคงไปกันคนละทาง”
คนสวมหน้ากากเหล็กตอบอย่างกระวนกระวายใจ “ต้องเป็นทางเดียวกัน! ต้องเป็นทางเดียวกัน! ต่อให้ท่านไปนรก ข้าก็จะเดินตามรอยเท้าท่านไปอย่างไม่ลังเลใจ!”
เฉินฉางเซิง “แล้วถ้าที่ที่ข้าจะไปคือแคว้นเทพล่ะ”
(จบบริบูรณ์)