ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 15 ใต้เท้าแห่งทะเลแสงสว่าง
แสงไฟในสวนส้มจี๊ดอบอุ่นว่าที่อื่นในเมืองหลวงมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าดวงไฟทั้งหมดล้วนถูกหุ้มเอาไว้ด้วยเปลือกส้มก็เป็นได้
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เอามือสองข้างไพล่หลังมองไปยังดวงไฟเปลือกส้มเหล่านั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องใด
เมื่อมองเห็นเบื้องหลังของนาง ม่ออวี่จู่ๆ ก็นึกถึงจักรพรรดินีเหนียงเหนียงขึ้นมา
หลายปีเรานั้นจักรพรรดินีชื่นชอบที่จะยืนอยู่บนแท่นกานลู่เพื่อมองเมืองหลวง และชอบเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังเช่นกัน
ม่ออวี่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
บนโลกนี้จะมีจักรพรรดินีเหนียงเหนียงขึ้นมาอีกคนใช่หรือไม่
นางเอ่ยถาม “เหตุใจเจ้าจึงอยากพบเฉินหลิวอ๋อง เจ้าอยากทำการณ์ใด”
สวีโหย่วหรงไม่ได้หันกลับมา นางเอ่ย “รำลึกความหลังเท่านั้น”
เสียงของม่ออวี่เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ต้องไปรำลึกกันที่สำนักฝึกหลวงเลยหรือ อย่างนั้นเหตุใดเจ้าต้องสังหารเหมยชวน”
“ตามนิสัยของถังซานสือลิ่วแล้ว เข้าคิดว่าเขาจะให้เหมยชวนมีชีวิตต่อไปหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้ามิใช่คนของสำนักฝึกหลวง และก็ไม่ใช่คนของพระราชวังหลี เหมาะที่จะลงมือมากกว่า
ม่ออวี่เอ่ย “เจ้าทำอย่างนี้อาจจะเข้าใจได้ว่าเจ้ากับเฉินฉางเซิงรักกันดูดดื่ม อยากจะกำจัดความยุ่งยากแทนเขา และก็อาจจะเข้าใจได้ว่าเจ้าอยากกระตุ้นให้ระหว่างสำนักฝึกหลวงทั้งขั้วอำนาจเก่าและอำนาจให้ผิดใจกัน ทำให้เขาและเหล่านักพรตไม่มีทางที่จะผ่อนปรนได้อีก ปัญหาก็คือ เจ้าคิดยังไงกันแน่”
สวีโหย่วหรงหมุนกายกลับไปทางนาง ก่อนเอ่ยอย่างนิ่งๆ “เจ้าเคยบอกเฉินฉางเซิงว่ากังวลว่าข้าจะแก้แค้นแทนเหนียงเหนียง”
ม่ออวี่เอ่ย “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะลืมได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะปฏิเสธเขาแล้วก็ตาม”
สวีโหย่วหรงยกยิ้มก่อนเอ่ย “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นี่ก็มิใช่เรื่องที่ข้าควรทำหรอกหรือ”
ม่ออวี่เอ่ยอย่างมีอารมณ์ว่า “แต่เจ้าต้องเข้าใจว่า ทำเยี่ยงนี้รังแต่จะทำให้เฉินฉางเซิงลำบากยิ่งไปอีก สำนักการศึกษากลางไม่มีอำนาจร้องขอให้เจ้าแลกเปลี่ยนได้ แต่พวกเขาสามารถร้องขอให้เฉินฉางเซิงแลกเปลี่ยนได้”
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบ “จัดการได้ง่ายๆ”
“ใช่ ขอเพียงเอ่ยว่า ไม่เคารพสามคำก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากคนในที่แห่งนั้นมีเพียงท่านและเฉินหลิวอ๋อง”
ม่ออวี่มองไปที่นาง ยิ้มเย็นก่อนเอ่ย “แต่เจ้ารู้จักเฉินฉางเซิงดี เจ้าทราบดีว่าด้วยนิสับของเขาแล้วไม่มีทางทำเยี่ยงนี้ จะทำอย่างไรกันดี สุดท้ายแล้วเขาคงถูกบีบจนกลายเป็นคนเยี่ยงนั้นที่เขาเองก็ไม่อยากเป็น”
สวีโหย่วหรงเอ่ยจบ “เขาควรจะเรียนรู้ที่จะทำแบบนี้ หากว่าเขาอยากเป็นใต้เท้าสังฆราชละก็”
ม่ออวี่เอ่ย “หากแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้อยากเป็นใต้เท้าสังฆราชเล่า”
สวีโหย่วหรงเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ย “อย่างนั้นข้าก็จะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้วกัน”
……
……
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระราชวังหลี ได้เผยแพร่สู่ทั่วทุกมุมของเมืองหลวงด้วยความเร็วสูงสุด
สำนักการศึกษากลางถูกล้างบาง นี่เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ได้ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นรวดเร็วนัก ยังคงมีบางคนที่ตกตะลึงอยู่
เรื่องที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่ายังอยู่ภายหลัง มหามุขนายกอันหลินสูญเสียอำนาจ
ในคราแรกนักพรตไป๋สือถูกสังหารในเมืองเวิ่นสุ่ย มันทำให้หลายคนตกใจเสียจนพูดไม่ออก เพียงแค่ในตอนนั้นมีความนัยอื่นซ่อนอยู่ ไม่ว่าราชสำนักหรือว่านักบวชพระราชวังหลีล้วนปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ กลับเป็นหลายคนได้เป็นด้วยตาตน
ทุกคนล้วนเข้าใจว่านี่คือสายฟ้าฟาดแรกหลังจากที่เฉินฉางเซิงกลับมาเมืองหลวง นอกจากความตกตะลึงแล้วยังอดที่จะรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
มิเสียแรงที่เป็นผู้สืบทอดที่ใต้เท้าสังฆราชพระองค์ก่อนเลือก มิเสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของนักพรต เมื่อเผชิญหน้ากับการกวาดล้างของเฉินฉางเซิง ไม่ว่าจะเป็นสำนักฝึกหลวงหรือว่ามหามุขนายกอันหลินก็ล้วนไม่ได้ต่อต้านอันใด ภายใต้ของสถานการณ์ภายนอก ไม่รู้ว่าแอบซ่อนเอากลวิธีที่ยากจะจินตนาการไว้มากเท่าใด
ในขณะที่ผู้คนกำลังคิดว่าความสนุกฉากนี้ก็คงจบลงเพียงเท่านี้ ก็เกิดเสียงสายฟ้าฟาดขึ้นดังสนั่นอีกครั้งในเมืองหลวง
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เฉินฉางเซิงเอ่ย
หยุดเพียงเท่านี้หรือ หมายความว่าเยี่ยงไรกัน
หมายถึงการกวาดล้างของเขาต่อขั้วอำนาจเดิมหยุดเพียงเท่านี้หรือ
หรือว่าการทดสอบของซางสิงโจวและราชสำนักที่มีต่อพระราชวังหลีควรพอเท่านี้
หรือว่า……ตำแหน่งของสมเด็จใต้เท้าสังฆราช
……
……
ข่าวลือพูดกันไปมา ราวกับสายลม เสริมด้วยสายฟ้าฟาดนี้ ไม่สานก็ทำให้เมฆหิมะที่อยู่เหนือเองหลวงกระจายตัวไป
ดาวเกลื่อนฟ้าล้วนกำลังมองดูผู้คนอย่างเงียบๆ ผู้คนมีดวงดาวเกลื่อนฟ้าเพิ่มขึ้น
ศิษยานุศิษย์ที่เคร่งที่สุดของสำนักฝึกหลวงหลายพันคน เดินออกจากบ้าน มาที่หน้าพระราชวังหลี และต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นดินที่หนาวเหน็บ
ในมือพวกเขาต่างก็ถือแสงเทียนไว้ ซึ่งดูเหมือนจะเลือนราง แต่เมื่อพวกเขาหลายพันคนรวมตัวกัน พวกมันสว่างมากนัก
อันหวาคุกเข่าลงข้างหน้าสุด ใบหน้าของเขาซีดเซียวกว่าอาภรณ์ที่สวมใส่นัก และมีร่องรอยของน้ำตาอยู่เล็กน้อย
เมื่อจำนวนศิษยานุศิษย์ที่เพิ่มขึ้น แสงเทียนมากขึ้นเช่นกัน พวกมันได้กลายเป็นทะเลแห่งแสงสว่างในที่สุด
ไม่มีเสียงอ้อนวอน แต่บรรยากาศหดหู่ยิ่งนัก ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังมาเป็นพักๆ
……
……
หลังจากที่อาจารย์เหมยชวนสิ้นที่สำนักฝึกหลวงแล้ว ในเมืองหลวงเกิดเสียงอภิปรายขึ้นมากมาย
เสียงอภิปรายเหล่านั้นไม่ดีต่อเฉินฉางเซิงเลย
คืนนี้หลังจากสายฟ้าฟาดและทะเลแสงสว่างที่อยู่หน้าพระราชวังหลีสั่นสะเทือนเมืองหลวงแล้ว คำว่ากล่าวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เหล่าพสกนิกรต่างก็ลืมคำกล่าวของตนที่เอ่ยไว้ก่อนอาหารเย็นแล้ว ต่างก็มองไปยังสำนักการศึกษากลางที่อยู่ด้านหลังป่าเฟิง จวนอ๋องที่อยู่บนถนนไท่ผิง หรือแม้แต่วังหลวง
ความโกรธเหล่านี้ที่ไม่ได้ทะลุออกมาจากพื้นดิน ทำให้ผู้อาวุโสที่พักอาศัยในที่เหล่านั้นเกิดความหวั่นวิตกและโกรธแค้น
พวกเขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวัง ในพระราชวังหลีเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ พวกเขาต้องการเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด
คนที่เป็นหูเป็นตาในพระราชวังหลีรวมไปถึงนักวาดภาพขั้นรวบรวมดวงดาวแห่งหอความลับสวรรค์หลายคนซึ่งตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก มีบทบาทสำคัญมากในเวลานี้
ในห้องโถงที่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เฉินฉางเซิงเอ่ยขณะยืนอยู่ที่จุดสูงสุดนั้น ความหมายของมันชัดเจนยิ่งนัก
……
……
“ล้มโต๊ะไม่ทำแล้ว นี่คิดจะขู่ผู้ใดกัน”
สีหน้าของเทียนไห่เฉิงอู่ปรากฏเจตนาดูถูกออกมา “หรือว่าคิดว่าอาศัยผู้คนธรรมดา ก็จะสามารถทำให้นักพรตล่าถอยได้หรือ”
……
……
“วิธีถอยก่อนค่อยรุกนี้ ช่างช่ำชองและชั่วร้ายเสียจริง”
เซี่ยงอ๋องลูบไขมันที่ท้องตน สีหน้าทุกข์ระทมก่อนเอ่ย “ราชสำนักคงไม่รื้ออนุสาวรีย์ตรงๆ กระมัง”
……
……
คำกล่าวเหล่านั้นของเฉินฉางเซิง ต่างคนก็ต่างเข้าใจต่างกัน
สำหรับประชาชนคนธรรมดาแล้ว นี่คือนักปราชญ์ถูกสถานการณ์เลวร้ายเสียจนทำให้หมดอาลัยตายอยาก
สำหรับขุนนางแล้ว นี่เป็นเพียงแค่กลวิธีที่เขาใช้ในการต่อกรซางสิงโจวและขั้วอำนาจเดิมเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะรู้สึกเยาะเย้ยเรื่องนี้หรือว่าปวดเศียรเวียนเกล้า เหล่าขุนนางที่จริงล้วนรู้สึกว่าวิธีการนี้ยอดนัก
มีเพียงสวีโหย่วหรงและถังซานสือลิ่วทราบว่า นี่มิใช่กลวิธี
เนื่องจากขณะที่เฉินฉางเซิงเอ่ยคำนั้น เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
……
……
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ทำเรื่องที่ฝืนใจตนเช่นนี้ ขัดแย้งกับวิถีพรตของท่านนัก ลำบากจริงๆ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เรื่องเหล่านี้ข้าเองยังไม่ยินดีทำ จะให้มองพวกเจ้าช่วยข้าทำได้อย่างไร”
สวีโหย่วหรงเอ่ยอย่างนิ่งๆ ว่า “บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบเรื่องพรรค์นี้กระมัง”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ไม่มีผู้ใดเกิดมาก็ชื่นชอบการสังหาร ชื่นชอบการแย่งชิงอำนาจ ชื่นชอบหลอกลวงกันไปมา”
สวีโหย่วหรงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เมื่อข้าเพิ่งเกิด ก็ไม่ชอบเล่นไพ่นกกระจอก แต่นั่นเป็นเพราะว่าข้าเล่นไม่เป็น”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “เจ้าจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่ เนื่องจากท่านไม่อยากเป็นใต้เท้าสังฆราช จึงเป็นใต้เท้าสังฆราชที่ดี”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ก็เหมือนกับศิษย์พี่ของท่าน เขาไม่อยากเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นจึงกลายเป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่ง”
ด้านนอกตำหนักมีเสียงถังซานสือลิ่วที่ตื่นตระหนกและโมโหมากดังเข้ามา
“ข้าไปก่อนละ” นางเอ่ยกับเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ศิษย์พี่เขาเป็นคนที่น่าใกล้ชิดมาก”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “แต่ข้าไม่ใช่”
เฉินฉางเซิงเกิดความงงงวด
สวีโหย่วหรงหันกายเดินออกจากพระราชวังหลีไป
หลังจากนั้น นางก็มาอยู่เบื้องหน้าพระราชวังหลวง
นางจะไปพบฮ่องเต้