ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 17 บ๊วยเชื่อมน้ำตาล
เพียงแค่แวบแรก สวีโหย่วหรงก็มองออกแล้ว อวี๋เหรินไม่ชอบตน
อวี๋เหรินมองไปยังนางเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยคำใด เนื่องจากเขาพูดไม่ได้
สวีโหย่วหรงเอ่ยอย่างเยาะในตน “ข้าเข้าใจมาตลอดว่าทุกคนล้วนชอบข้า”
คำพูดนี้ฟังดูน่ารักนัก
อวี๋เหรินยิ้มแล้ว
เพียงแต่รอยยิ้มของเขาดูจืดจางหน่อย อาจจะพูดได้เลยว่าจืดจาง
สวีโหย่วหรงมองสบตาเขา จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
เนื่องจากนางเข้าใจแล้วว่าอวี๋เหรินเหตุใดจึงไม่ชอบตน
เรื่องเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในคืนนี้ น่าจะเล็ดลอดเข้ามาในวังแล้ว อวี๋เหรินน่าจะทราบแล้วว่าเฉินฉางเซิงโกรธเข้าจริงๆ แล้ว
ในสายตาเขา เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นนางทั้งสิ้นที่ทำ
ดังนั้นเขาไม่ชอบนาง
เมื่อคิดถึงเหตุผลข้อนี้ สวีโหย่วหรงพบว่าไม่ต้องถามคำถามอื่นอีกให้มากความ
อวี๋เหรินนั้นให้ความสำคัญกับเฉินฉางเซิงนัก ก็เหมือนกับเฉินฉางเซิงที่ปฏิบัติกับเขาเช่นกัน
นี่สำหรับพี่น้องที่มาจากเมืองซีหนิงแล้ว ราวกับคือพี่น้องกันจริงๆ หรือแม้แต่สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าพี่น้องกันจริงๆ เสียด้วยซ้ำ
สวีโหย่วหรงยิ้มงดงามนัก เนื่องจากเดิมทีนางเองก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง
อีกอย่างตอนนี้นางนั้นยิ้มออกมาจากใจจริง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหน้าตาที่งดงามของนางหรือว่าเพราะเห็นความจริงใจของนาง ความจืดจางในสายตาของอวี๋เหรินเบาบางลงไปมาก
“ใช่แล้ว เขาไม่ชอบเป็นใต้เท้าสังฆราช และในเรื่องราวเหล่านี้เขาเลือกไม่ได้”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “แต่ข้าไม่เหมือนกัน ยามห้าขวบ เหนียงเหนียงและอาจารย์ให้โอกาสข้าเลือก นี่คือทางที่ข้าเลือกเอง และนี่ก็ได้กลายเป็นนิสัยของข้าแล้วเช่นกัน อย่างนั้นเรื่องต่อไปนี้ให้ข้าลงมือทำจะเหมาะสมที่สุด”
ต่อไปจะทำเรื่องอันใดเล่า
ก่อนอื่นแน่นอนว่าต้องเอ่ยบทสนทนาต่อ
สวีโหย่วหรงนั่งลงตรงข้ามโต๊ะ ดูแล้วเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
อวี๋เหรินใช้มือขวาดันจานเล็กบนโต๊ะไปทางนาง
สวีโหย่วหรงพบว่าในจานนั้นคือบ๊วยเชื่อมน้ำตาล
มองอย่างไรอวี๋เหรินก็ไม่เหมือนคนที่ชื่นชอบทานบ๊วยเชื่อมน้ำตาล อย่างนั้นหรือนี่จะเตรียมไว้ให้นางกำนัลและขันทีหรือ
สวีโหย่วหรงไม่รู้สึกนี่คือการดูถูก ตรงกันข้ามนางทราบดีกว่านี่คือเจตนาดีที่อวี๋เหรินแสดงออกมา
ถึงแม้ว่าวิธีการที่เขาแสดงเจตนาดีออกมานั้นจะเหมือนกันกับเฉินฉางเซิง เห็นได้ชัดว่ามีความงุ่มง่าม
นางใช้นิ้วมือคีบบ๊วยเชื่อมน้ำตาลเข้าปาก สีหน้าปรากฏความพึงพอใจออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี๋เหรินก็ยกยิ้มออกมา เขาเองก็พึงพอใจเช่นกัน
สวีโหย่วหรงเอ่ย “วิชาที่ข้าบำเพ็ญนั้นไม่ใช่วิธีดั้งเดิมของสำนักฝึกหลวง จบจนกระทั่งตอนนี้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่า “ตามใจปรารถนา”ที่เฉินฉางเซิงเอ่ยนั้นหมายความเยี่ยงใด ดังนั้นข้า จึงไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์อย่างพวกท่าน ทั่วทั้งดินแดนนี้ก็คงจะมีแต่อาจารย์และลูกศิษย์สามคนอย่างพวกท่านเท่านั้นกระมังที่จะสามารถเข้าใจได้ แต่ปัญหาอย่างไรก็ต้องแก้ไข”
อวี๋เหรินมองไปที่นางเงียบๆ ใช้เวลาสอบถามหนทางแก้ไขจากนาง
“ง่ายมาก พวกท่านพี่น้องร่วมมือกัน แล้วเชิญให้อาจารย์ของพวกท่านไปใช้ชีวิตบั้นปลายเสีย”
ในปากของสวีโหย่วหรงอมบ๊วยเชื่อมเอาไว้ เสียงจึงฟังดูอู้อี้
เจตนาที่นางจะสื่อกลับชัดเจนอย่างนั้น หรือแม้แต่คมกริบเช่นดั่งกับกระบี่สถานศึกษาเท่านั้น
ในเงามืดที่อยู่ลึกออกไปในตำหนักเกิดเสียงสูดอากาศเย็น ราวกับคนผู้นั้นทานเอาบ๊วยที่เค็มมากเข้าไป
สีหน้าของสวีโหย่วหรงไม่เปลี่ยน เห็นได้ชัดว่านางทราบตั้งแต่แรกว่าตรงนั้นมีคนอยุ่
อวี๋เหรินมองไปทางเงามืดนั้น ก่อนส่ายหน้า
เงาร่างของหลินกงกงอาวุโสค่อยๆ ปรากฏขึ้น หลังจากนั้นจึงค้อมตัวทำความเคารพก่อนเดินออกจากตำหนักไป
อาจเป็นเพราะว่าประโยคนั้นของสวีโหย่วหรงมีความโจมตีค่อนข้างสูง และก็ อาจจะเนื่องด้วยอายุก็เป็นได้ ร่างของผู้แข็งแกร่งในวังท่านนี้ง่อนแง่นเล็กน้อย เมื่อเขาออกไป เขาลืมที่จะลงสลักประตูตำหนัก ทำให้ลมฤดูหนาวที่หนาวเย็นไหลเข้ามาจากในค่ำคืนที่มืดมิด เมื่อถูกค่ายกลที่ของตำหนักป้องกันเอาไว้ จึงเกิดเสียงหวีดหวิวราวกับเสียงของกระดาษที่ปลิดปลิว
ด้านหนึ่งของหน้าต่างด้านทิศตะวันตกถูกลมพัดเปิดออก มันกระทบกับผนัง จนเกิดเสียงที่แตกออก สายลมหลาย ๆ ครั้งพัดผ่านแสงสีเหลืองในห้องโถง ไข่มุกเหลืองทองมิใช่เทียน แต่เส้นแสงดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ มันเอาแค่สั่นไหวไม่หยุด จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของสวีโหย่วหรงและอวี๋เหรินได้ชัดเจนนัก
ไม่มีการแสดงออกบนสีหน้าและแววตาของพวกเขา ดวงตาไม่กะพริบ เพียงแค่จ้องมองกันและกันอย่างเงียบ ๆ
ดวงตาของสวีโหย่วหรงสงบนิ่ง
อวี๋เหรินงงงวยเล็กน้อย
เขาคิดไม่ตก เหตุใดนางจึงเสนอออกมาเยี่ยงนี้ หรือจะพูดได้เลยว่า นางกล้าเอ่ยข้อแนะนำเยี่ยงนี้ออกมาได้อย่างไร
ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดี ตรงกันข้ามกับความเฉยเมยและความเหี้ยมโหดที่มีต่อเฉินฉางเซิง ซางสิงโจวดีกับอวี๋เหรินเป็นอย่างมาก
ความดีนี้พูดได้เลยว่าไร้ที่ติ
ต่อให้เป็นศัตรูของซางสิงโจว ต่อให้เป็นเฉินฉางเซิง ล้วนต้องยอมรับในข้อนี้
“ใช่แล้ว นางเลี้ยงดูท่านมา สั่งสอนให้เจ้าเป็นคน ดูแลเจ้าเป็นพิเศษ ส่งเข้าขึ้นสู่บัลลังก์มังกร สอนท่านปกครองประเทศ ตอนนี้ยังเตรียมตัวจะคืนบัลลังก์คืนแก่ท่าน ไม่ว่าจะมองจากมุมใด ราวกับว่าเขาดีกับท่านมากนัก แต่ปัญหาก็คือ เขาดีกับท่านจริงๆ น่ะหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “คนที่เขาชื่นชอบก็คือจักรพรรดิไท่จง ไม่ใช่ท่าน ท่านเป็นเพียงจุดสะท้อนอารมณ์ของเขาเท่านั้น หรือว่าเป็นเพียงหุ่นกระบอกเท่านั้น”
ลมอ่อนโบกปลิว
อาภรณ์สีเหลืองทองโบกไหว
อวี๋เหรินเลิกคิ้ว
ไม่ได้สะบัดชายเสื้อ ไม่ได้ตบโต๊ะลุกขึ้น
แต่สวีโหย่วหรงทราบดี อีกฝ่ายไม่อยากฟังต่อไปแล้ว
ดังนั้นนางเปลี่ยนวิธีการพูด
หากว่าพวกเขาเปลี่ยนเป็นศัตรู ท่านทนเห็นพวกเขาฆ่าฟันกันเองได้หรือ หากว่าอาจารย์ของท่านสังหารเฉินฉางเซิงจริงๆ ต่อไปเขาจะไม่เสียใจจริงๆ น่ะหรือ ต่อให้มันดีต่ออาจารย์ท่านจริงๆ เข้าก็ควรจะหยุดยั้งไม่ให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “”เจ้าควรจะเลือกว่าจะยืนอยู่ข้างใด ยิ่งเร็วยิ่งดี และไม่ควรจะยืนอยู่ตรงกลาง”
อวี๋เหรินส่ายหน้า
เขาไม่คิดว่าคำพูดของสวีโหย่วหรงผิด และก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนาง แต่อยากบอกนางว่า หากทำอย่างนี้ไม่มีความหมายใด
สายตาของสวีโหย่วหรงทอดตกลงบนหยกก้อนนั้นที่ผูกอยู่ที่เอวเขา เข้าใจในเจตนาของเขา
ลมหิมะในเมืองหลวงเมื่อสามปีก่อน เฉินฉางเซิงต้องการไปสังหารโจวทง ซางสิงโจวเตรียมตัวออกวัง ในตอนนั้นอวี๋เหรินปรากฏตัวในทุ่งหิมะ ในมือกำหยกก้อนนี้ไว้
หยกก้อนนี้ตระกูลชิวซานส่งเข้ามาในวัง มันแสดงถึงชิวซานจวินแทงกระบี่นั้นที่อกตนในสงครามภายใน ณ ภูเขาหลีซาน
อวี๋เหรินใช่หยกก้อนนั้นแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของตน ขัดขวางไม่ให้ซางสิงโจวออกนอกวัง
แต่ในขณะนั้นซางสิงโจวเคยเอ่ยกับเขา นี่คือครั้งสุดท้าย
อวี๋เหรินเข้าใจอาจารย์ของตน ในเมื่อบอกว่าเป็นครั้งสุดท้าย อย่างนั้นก็ต้องเป็นครั้งสุดท้าย
เขาไม่คิดการร่วมมือกับศิษย์น้องของตน จะทำให้อาจารย์ของตนล่าถอยไปได้
สวีโหย่วหรงจู่ๆ ก็เอ่ยถาม “หลังจากการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู ท่านและเฉินฉางเซิงก็ไม่เคยพบเจอกัน ต่อให้ต่างอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่ห่างเพียงกำแพงกั้น นี่เป็นเพราะด้วยเหตุใดกัน
สวีโหย่วหรงเอ่ยต่อ “เนื่องจากพวกท่านล้วนทราบ อาจารย์ของพวกท่านไม่อยากเห็นพวกท่านพบเจอกัน”
อวี๋เหรินไม่ได้พูดจา
เขาและเฉินฉางเซิงล้วนทราบดีว่านี่เป็นเรื่องที่อาจารย์ระมัดระวังมาก
ดังนั้นเขาและเฉินฉางเซิงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบหน้ากัน
ต่อให้คิดถึงเพียงใด
สวีโหย่วหรงเอ่ยถามต่อ “แต่พวกท่านเคยคิดหรือไม่ เหตุใดเขาถึงไม่ยินดีให้พวกท่านพบกัน”
อวี๋เหรินไม่เข้าใจ ในใจคิดว่านี่มิใช่เรื่องที่ผู้คนล้วนก็ทราบดีหรอกหรือ
สวีโหย่วหรงอมยิ้ม ก่อนเอ่ย “เนื่องจากเขากลัวพวกท่าน”