ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 18 เรื่องเล็กน้อยปกติ
เหตุใดซางสิงโจวจึงถือสาเรื่องการพบกันของเฉินฉางเซิงและอวี๋เหริน
อย่างนั้นหากย้อนกลับมาคิด หรือว่าสิ่งที่ซางสิงโจวหวาดกลัวที่สุดก็คือการที่ลูกศิษย์ทั้งสองคนของเขาร่วมมือกัน
จากว่ากันเรื่องนี้ ประโยคนั้นที่สวีโหย่วหรงเอ่ยอาจจะเป็นความลับที่สำคัญที่สุดบนโลกนี้
ในโถงเงียบยิ่งนัก
พู่กันวางอยู่ริมแท่นฝนหมึกนิ่งๆ ก็เหมือนกับไม้พายบนเรือที่กำลังเทียบท่าอยู่
อวี๋เหรินใช้มือจับผ้าสีขาวราวกับหิมะที่ชุ่มด้วยน้ำ คลายมันออกสองสามครั้ง ก็ถือเป็นการล้างมือแล้ว
เขาไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของสวีโหย่วหรง แต่กลับจับพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง
ปลายพู่กันจุ่มลงในทะเลหมึกสีดำ คลื่นน้ำสีดำที่กระเพื่อมเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ลอยขึ้นในอากาศ ทะลุเมฆาลงมา ทิ้งร่องรอยที่ชัดเจนบนกระดาษขาวราวหิมะนั้น
เมื่อเขียนจบหนึ่งบรรทัด อวี๋เหรินก็วางพู่กัน ใช้นิ้วมือและนิ้วชี้หมุนทิศทางของกระดาษ หันไปทางสวีโหย่วหรง
“นางเป็นคนเยี่ยงไร”
……
……
คำว่านางในประโยคนี้แน่นอนว่านางหมายถึงจักรพรรดินีเทียนไห่
เมื่อหลังจากเข้าวังหลวงแล้ว สวีโหย่วหรงไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดินีเหนียงเหนียง
เดิมทีนางสามารถเล่นใหญ่กับความสัมพันธ์นี้ได้ สามารถเอ่ยได้ว่าไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ จักรพรรดินีก็ยังคงเป็นมารดาท่าน
นางสามารถอภิปรายกับอวี๋เหรินเรื่องระหว่างบุญคุณที่ให้กำเนิดกับบุญคุณที่เลี้ยงดูได้
หรือบางที นางอาจใช้น้ำเสียงทอดถอนใจเอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาของตนในวังหลวง หลังจากนั้นก็เอ่ยถึงร่องรอยมากมายในปีนั้นของเหนียงเหนียงที่อยู่ที่นี่อย่างเป็นธรรมชาติ
แต่นางก็ไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากนางไม่แน่ใจว่าอวี๋เหรินนั้นมีความประทับใจต่อจักรพรรดินีเหนียงเหนียงเยี่ยงไรกันแน่ หรือว่าความรู้สึกเป็นอย่างไรกันแน่
และอวี๋เหรินนั้นเป็นศิษย์พี่ที่เฉินฉางเซิงให้ความเคารพรักที่สุด นางไม่หวังว่าจะใช้วิธีการที่แทงใจดำและเย็นชาแบบนั้น
เมื่อเห็นลายมือบรรทัดนั้นบนกระดาษสีขาว นางก็แน่ใจว่าตนนั้นไม่ได้เอ่ยอะไรผิดไป หลังจากนั้นก็บังเกิดความซาบซึ้งและปลาบปลื้มใจ ขนตาเงางอนของนางกะพริบเบาๆ
ไม่นาน นางก็กลับมาสงบอีกครั้ง นางมองไปยังอวี๋เหรินพลางยกยิ้มก่อนเอ่ย “นี่เป็นคำถามที่นางเชี่ยวชาญในการตอบที่สุด”
ไม่มีผู้ใดเข้าใจจักรพรรดินีเทียนไห่ไปมากกว่าสวีโหย่วหรง
องค์หญิงผิงกั๋วเป็นเพียงบุตรสาวเพียงในนามเท่านั้น เฉินหลิวอ๋องเป็นตัวแทนการฝากฝังจิตวิญญาณของจักรพรรดินี หรืออาจจะพูดได้เลยว่าเป็นการปลอบใจตนเอง ม่ออวี่และโจวทงยังคงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
มีเพียงจักรพรรดินีเทียนไห่และนางที่เป็นอาจารย์และศิษย์กันจริง เป็นความสืบทอดของจิตและวิญญาณ เป็นมารดาและบุตรสาวในความรู้สึก
ตอนนี้จิตวิญญาณจักรพรรดินีได้กลับคืนสู่ทะเลดวงดาวแล้ว เหลือเพียงสวีโหย่วหรงผู้เดียวที่เข้าใจในความคิดและเป้าหมายของนางอย่างแท้จริง
นางรู้สึกว่าตนนั้นมีภารกิจในการทำให้อวี๋เหรินและโลกใบนี้ทราบถึงความเป็นตัวตนของจักรพรรดินีเทียนไห่
“พระหทัยของเหนียงเหนียงกว้างขวางนัก พระอาทิตย์ดวงจันทร์ภูเขานที แผ่นดินใหญ่มหาสมุทร รวมถึงทะเลดวงดาวด้านนั้น ไม่มีสิ่งใดไม่รวม
นี่คือคำเปรยของสวีโหย่วหรง
อวี๋เหรินคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนยื่นมือค่อยๆ พลิกกลับไปมา
พลิกมือเป็นเมฆา คว่ำมือหมายถึงฝน นี่คือต้องการสื่อถึงวิธีการ
สวีโหย่วหรงเข้าใจเจตนาของเขา นางเอ่ย “มิใช่คนธรรมดา แน่นอนว่าไม่สามารถตัดสินด้วยวิธีการธรรมดาได้”
อวี๋เหรินมิงไปทางหน้าต่างด้านตะวันตกอีกครั้ง สำนักฝึกหลวงที่อยู่ในรัตติกาลผืนนั้น
เส้นทางมองด้วยตาได้ แต่ผู้มีคุณธรรมเล่า นี่หมายถึงความมีคุณธรรม
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งว่า “ยิ่งเป็นเรื่องปกติ ยิ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ อวี๋เหรินก็แปลกใจ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นิ้วมือเคาะไปที่ขอบถ้วยเบาเบา ทำให้เกิดเสียงไพเราะขึ้น
ในถ้วยนั้นคือบ้วยเชื่อม
การเคลื่อนไหวนี้จองอวี๋เหรินยากคาดเดา หากเป็นผู้อื่นละก็ ก็คงยากที่จะคาดเดาเจตนาของเขา
แต่บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะได้ใช้ชีวิตอยู่กับเฉินฉางเซิงมานาน สวีโหย่วหรงจึงเข้าใจในเวลาไม่นานว่าเขาต้องการจะถามสิ่งใด
…หากไม่มีเฉินฉางเซิง ท่านจะกลายเป็นคนเยี่ยงนั้นหรือไม่
“บางทีข้าอาจจะกลายเป็นคนเยี่ยงนั้น อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนที่เหนียงเหนียงอบรมพร่ำสอนมา”
สวีโหย่วหรงคิด ก่อนเอ่ย “แต่ไม่มีผู้ใดทราบถึงคำตอบที่แท้จริง เนื่องจาก……เขาได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
เมื่อยามที่เอ่ยประโยคนี้ นางยังคงรักษาไว้ซึ่งรอยยิ้ม มองดูแล้วสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วมันแอบซ่อนความเขินอายเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอ่ยประโยคหลัง
อวี๋เหรินยกยิ้ม ปลื้มใจไม่น้อย
……
……
วันนี้เป็นวันที่สองที่คณะทูตได้กลับสู่เมืองหลวง
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ในหนึ่งวัน นางพบกับบุคคลสำคัญไปแล้วหลายท่าน ตกดึกในคืนหนึ่งนางยังมาถึงพระราชวังเพื่อมาพบกับฮ่องเต้หนุ่ม
ภายใต้บทสนทนาที่ค่อยๆ เข้าสู่หัวข้อที่แท้จริงขึ้นเรื่อยๆ คนที่นางไปพบคนแรกในตอนกลางวันได้ออกเดินทางออกไปกว่าร้อยลี้แล้ว
ม้าพันธุ์หลงเซียงที่ถือเป็นพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด กำลังก้มหน้าลงด้วยความเหนื่อยล้า น้ำสะอาดที่อยู่ตรงหน้าและขนมถั่วไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากพวกมันได้อีกต่อไป หยดเหงื่อที่มีขนาดใหญ่เท่ากับเมล็ดถั่วผุดไหลออกมาจากผิวกายที่มันเยิ้มของพวกมันอย่างต่อเนื่อง เหงื่อหยดลงบนพื้น ไม่นานก็ถูกลมฤดูหนาวที่พัดเข้ามาในกรอบปัดเป่าเสียจนเป็นเศษน้ำแข็ง
หากว่ากันตามหลักการแล้ว เมืองลั่วหยางน่าจะอบอุ่นกว่าเมืองหลวง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดเมืองลั่วหยางในปีนี้กลับหนาวเย็นอย่างผิดปกติ
เฉินหลิวอ๋อง มองไปยังถนนเที่ยวในความมืด นึกถึงเรื่องราวการต่อสู้วิถีพรตฉากนั้นที่เคยเกิดขึ้นที่นี่เมื่อสามปีก่อน พลัน เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่ได้พบกับสวีโหย่วหรงที่สำนักฝึกหลวง เขาก็จากเมืองหลวงไป มุ่งหน้าไปยังเมืองลั่วหยาง
ตรงมาถึงยังเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในต้าโจวแห่งนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตนนั้นมาถึงเร็วไปหน่อยกระมัง
ผู้รับใช้ส่งผ้าขนหนูผืนร้อนมาให้เขา แต่เฉินหลิวอ๋องไม่ได้สนใจ เขาเพียงแต่มองไปยังวัดเต๋าที่อยู่เบื้องหน้าเงียบๆ
วัดเต๋าที่อยู่เยื้องหน้าก็คืออารามฉางชุนนั่นเอง
นักพรตชุดเขียงผู้หนึ่งดำเนินออกมา พร้อมเอ่ยกับเขาว่า “ลำบากแล้ว” ก่อนนำเขาเดินเข้าไปยังในตัวอาราม
เฉินหลิวอ๋องปัดความคิดเหล่านั้นออกไปจากศีรษะ ก่อนเดินย่ำเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ในยามนี้สวีโหย่วหรงน่าจะเข้าไปในวังหลวงแล้วคนผู้นั้นที่อยู่ในอารามนี้ก็น่าจะทราบแล้ว
สำหรับเขาแล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีมาก หรือจะพูดได้เลยว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก
เมื่อมาถึงยังด้านนอกของห้องสวดมนต์ที่ดูแสนจะธรรมดาหลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้ามาในอารามฉางชุน นักพรตชุดเขียวผู้นั้นก็ถอยกลับไปอย่างเงียบๆ เหลือเขาเพียงผู้เดียว
เฉินหลิวอ๋องหายใจเข้าลึก เพื่อให้ตนนั้นสงบใจเสียหน่อย ก่อนจะผลักประตูไม้ห้องสวดมนต์ให้เปิดออก
ซางสิงโจวกำลังจัดการแฟ้มรักษาในห้อง ท่าทางจดจ่อยิ่งนัก
ผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจมากที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นี้ ยามนี้มองดูแล้วก็เหมือนกับคนธรรมดา แต่แน่ชัดแล้วว่าเป็นท่านหมอที่กระตือรือร้นอย่างสุดๆ
เฉินหลิวอ๋องดำเนินมาด้านหน้าโต๊ะหนังสือ อาศัยแสงสว่างของไข่มุกราตรีเพื่อมองรายชื่อของตัวยาบนกระดาษให้ชัดเจน
แววตาเขาสงสัย ในใจคิดว่าหากตนมองไม่ผิด และจำไม่ผิด ตามการวิเคราะห์ของตระกูลถัง ตัวยาพวกนี้น่าจะถูกนำมากลั่นเป็นยาจูซา
หรือว่าราชสำนักเตรียมที่จะใช้ยาเหล่านี้ในการลดทอนชื่อเสียงของเฉินฉางเซิงหรือ
ซางสิงโจวไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง เขาเงียบและเอาแต่มองไปยังบันทึกยาเหล่านี้ หรือแม้แต่ราวกับไม่ทราบถึงการมาถึงของเขาด้วยซ้ำ
เฉินหลิวอ๋องทราบดีว่าเวลาที่เหลือไว้ให้เขานั้นไม่มากนัก ดังนั้นเขาจะไม่ได้ลังเลและไม่ได้หยุด เขาได้เอ่ยในสิ่งที่ตนอยากเอ่ยออกไป
หลังจากวิ่งเต้นบากบั่นมาหลายร้อยปี ตั้งแต่เมืองหลวงถึงฉางอัน เขาแค่อยากจะพูดสิ่งเหล่านั้นกับซางสิงโจวแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คำก็ตาม
“ฝ่าบาทเป็นลูกชายแท้ๆ ของจักรพรรดินีเหนียงเหนียง”
เฉินหลิวอ๋องมองไปยังซางสิงโจวก่อนเอ่ย “และข้าเองก็เป็นบุตรหลานของจักรพรรดิไท่จง”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ สายตาของซางสิงโจวในที่สุดก็ละจากตำราพวกนั้น ทอดมองมายังหน้าของเขา
ซางสิงโจวไม่ได้ปกปิดความชื่นชอบของตน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาชื่นชมกว่าก็คือทัศนคติของเฉินหลิวอ๋อง
“สวีโหย่วหรงเข้าวัง น่าจะเตรียมร่วมมือกับฝ่าบาท”
เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “เห็นได้ชัดมาก นางกำลังเสียสติ”