ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 20 ผมยุ่ง
ความรับผิดชอบและที่อันแสนไกลสองประโยคนี้คือความในใจของเขาแต่มันไม่เพียงถูกเก็บไว้ในใจเท่านั้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ล้วนพูดมันออกมา
อันหวาไม่เข้าใจในเจตนาของเขานัก แต่เมื่อทราบว่าเขาจะไม่จากไปก็ดีใจขึ้นมา
ในเวลานี้ ถังซานสือลิ่วขยี้ตาที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ ก่อนเดินออกมาจากในตำหนัก
อันหวามองไปยังแววตาเขาแล้วรู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง นางลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยเสียงเบา “คุณชายถัง นี่มันไม่ใคร่ถูกต้องนัก”
ตำหนักของใต้เท้าสังฆราชแน่นอนว่ามิใช่ผู้ใดก็เข้ามาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมานอนหลับในที่แห่งนี้
หากพบเจอนักพรคคนอื่นที่หัวโบราณคร่ำครึ อาจจะให้โทษทัณฑ์ที่ว่าไร้ซึ่งการเคารพก็เป็นได้
ถังซานสือลิ่วส่ายหน้าก่อนเอ่ย “วางใจเถิด ตั่งศิลาที่แข็งถึงเพียงนี้ ต่อไปข้าจะไม่นอนอีก”
ทั้งสองชำระล้างอย่างง่ายๆ แล้วอาหารง่ายๆสองสามอย่างก็วางบนโต๊ะเรียบง่ายตัวนั้น
ถังซานสือลิ่วมองไปยังโจ๊กง่ายๆ และอาหารสองสามอย่างนั้น แน่นอนว่าก็ต้องนึกย้อนไปถึงที่ตนและเฉินฉางเซิงเคยพบกันในโรงเตี๊ยมหนึ่งสวนหลีจื่อในปีนั้น หลังจากนั้นก็นึกถึงอาหารที่ไร้รสชาติอย่างน่าสมเพชที่เซวียนหยวนผ้อทำในสำนักฝึกหลวงในอดีต อดถอนใจออกมาไม่ได้ จึงวางตะเกียบในมือลงเสีย
หยุดตะเกียบไม่ทานต่อ อาจจะเป็นเพราะวัตถุดิบทำอาหารดีไม่พอ หรืออาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจไม่ดีพอ อาทิเช่นกำลังกังวลในเรื่องใด
เขามองสบตาเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยถาม “คำถามเมื่อวานนี้เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า”
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจเขา ทานอาหารต่อ
ถังซานสือลิ่วจ้องเขาต่อไป
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เฉินฉางเซิงในที่สุดก็สิ้นสุดมื้ออาหาร วางตะเกียบลง รับผ้าเช็ดมือชุ่มน้ำมาจากมือของอันหวา เช็ดมือและหน้าอย่างละเอียดสองรอบ หลังจากนั้นจึงยกชาหินที่เลอค่าขึ้นจิบกลั้วปาก ก่อนจะบ้วนลงสู่อ่างทองแดงตื้นใบนั้น
เมื่อเห็นภาพนี้ ถังซานสือลิ่วจึงทำเสียง จิ๊ๆ ในลำคอ ดูถูกยิ่งนัก
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เสียงเยี่ยงนี้ไม่น่าออกมาจากปากเจ้าได้
ถังซานสือลิ่วมาจากตระกูลผู้มีเงิน ตั้งแต่เล็กก็ใช้ชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนธรรมดายากที่จะจินตนาการได้ น่ากลัวแค่องค์หญิงผิงกั๋วก็คงสู้เขาไม่ได้เลยในด้านนี้ ต่อให้จะเสียดสีวิถีชีวิตของใต้เท้าสังฆราชของเฉินฉางเซิง ก็ยังมิใช่เขาที่ควรมาเอ่ย”
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั้นคล้ายกับ “ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
ถังซานสือลิ่วจนใจนัก เอ่ย “เวลานี้คงพูดได้แล้วกระมัง”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “โหย่วหรงและเฉินหลิวอ๋องรู้จักกันตั้งแต่เล็กในวัง นานๆ ทีจะกลับเมืองหลวงสักครา นัดพบเจอกัน ก็เป็นเรื่องปกติ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ข้าเตือนเจ้าหลายครั้งแล้ว ต้องระวังเฉินหลิวอ๋องผู้นี้”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของชีวิตในเมืองหลวง เฉินหลิวอ๋องได้ให้ความช่วยเหลือแก่เฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงเป็นอย่างมากและเป็นความเมตตาที่ล้ำค่าที่สุดในช่วงแรก ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงมีความประทับใจที่ดีต่อพระญาติผู้นี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินหลิวอ๋องมีเหตุผลอะไรที่จะพุ่งเป้ามาที่ตน
แต่ตอนนี้ดูเหมือน เหตุผลนั้นจะมีมากพอดู
เนื่องจากเขามีโอกาสที่จะได้ขึ้นเป็นรัชทายาทของราชวงศ์ต้าโจว
หากว่าอวี๋เหรินสิ้นพระชนม์
เฉินฉางเซิงเข้าใจในความระแวดระวังและความไม่สบายใจของถังซานสือลิ่ว
แต่ว่าอาจารย์จะให้ศิษย์พี่มีภัยได้อย่างไร
“เจ้าน่าจะคิดออก เป้าหมายที่เข้าวังของสวีโหย่วหรงเมื่อคืน พอเพียงซางสิงโจวเกิดความสงสัย สถานการณ์จะต้องวุ่นวายแน่นอน”
ถังซานสือลิ่ว ใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมาทำลายความเงียบที่เฉินฉางเซิงแสร้งแสดงออกมา
เฉินฉางเซิงมองไปยังท้องฟ้าสลัวภายนอกหน้าต่างผืนนั้นก่อนเอ่ย “แต่เหตุใดนางต้องทำเยี่ยงนี้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ข้าเชื่อว่าม่ออวี่เคยเตือนเจ้าแล้ว”
เฉินฉางเซิงนึกถึงคำพูดคืนนั้นที่ม่ออวี่พูดกับตน
เรื่องเหล่านี้ที่โหย่วหรงทำ ก็เพื่อแก้แค้นให้จักรพรรดินีเทียนไห่หรือ
แม้น้ำจะท่วม แม้ฟ้าแยกแผ่นดินร้าว แม้ชีวิตจะเป็นผุยผง
“มิใช่อย่างนี้หรอก อย่างน้อย ไม่ได้ง่ายอย่างนี้แน่”
เฉินฉางเซิงถอนสายตากลับมา มองไปยังถังซานสือลิ่วก่อนเอ่ย “นางเคยบอกกับข้า หากจะลงมือทำอะไรขึ้นมาจริงๆ จะบอกกล่าวข้าก่อน”
หลังจากอาหารเช้า ถังซานสือลิ่วก็กลับไปยังสำนักฝึกหลวง เขาต้องเร่งไปติดต่อกับเมืองเวิ่นสุ่ย เพื่อจะได้ตั้งรับสถานการณ์ที่พร้อมเปลี่ยนไปเสมอในเมืองหลวง
สวีโหย่วหรงมาถึงยังพระราชวังหลี
เมื่อมองไปที่หญิงสาวสวยที่กำลังมาพร้อมกับท้องฟ้าที่สว่างขึ้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“เมื่อคืนพูดกับศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ทั้งคืน เหนื่อยพอดู”
สวีโหย่วหรงยกมือป้องริมฝีปาก ก่อนหาวอย่างระมัดระวัง
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นถึงความเหนื่อยล้าที่ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วนางที่ปัดอย่างไรก็ไม่พ้น จึงอดสงสารไม่ได้
“งั้นเจ้ารีบพักสักหน่อยเถิด”
สวีโหย่วหรงมองไปที่เขาก่อนอมยิ้มก่อนเอ่ย “เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้าหรอกหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หากเจ้ามีอะไรที่ยินดีจะเอ่ยกับข้า แน่นอนว่าเจ้าต้องเอ่ยแน่”
สวีโหย่วหรงอมยิ้มก่อนเอ่ย “อย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นด้านนอกกันเถิด ดูว่าจะตื่นตัวขึ้นมาสักหน่อยได้หรือไม่”
……
……
เมืองลั่วหยางเมื่อคืนนี้อากาศหนาวจัด คลื่นความเย็นเคลื่อนจากตะวันออกไปตะวันตกตามกระแสลม เช้านี้อุณหภูมิของเมืองหลวงก็ลดลงอย่างรวดเร็ว แถมยังมีหิมะตกลงมาอีก
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินอยู่ในพระราชวังหลีที่ปกคลุมไปด้วยลมและหิมะ เหล่านักพรตและมัคนายกต่างก็หลีกเลี่ยงเส้นทางเสีย
บนพื้นที่ขนาดใหญ่นี้มีเพียงรอยเท้าของพวกเขาปรากฏอยู่ ภาพที่ปรากฏออกมาดูแล้วหนาวเย็นยิ่งหนัก
มือสองข้างของสวีโหย่วหรงไพล่อยู่ด้านหลัง นางเดินไปมาระหว่างตำหนัก ประเมินสถานการณ์รอบด้านเห็นได้ชัดว่ามีความสนใจยิ่งนัก
หากว่ากันตามคุณลักษณะนิสัยแล้วนางก็เหมือนกับขุนนางเก่าแก่ที่เกษียณอายุแล้วมีโอกาสกลับมาบ้านเกิดจึงเกิดความคิดที่จะออกไปหาซื้อผักผลไม้นั่นเอง
นี่ทำให้เขารู้สึกสนุก หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามันน่ารักมาก ต่อมาเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจักรพรรดินีเทียนไห่ก็ชื่นชอบการเดินเล่นอย่างนี้เช่นกัน
สวีโหย่วหรงหยุดก้าวเดิน ยืนมือออกไปจับผมปอยหนึ่งของเขาทัดไว้หลังใบหู หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมา
เฉินฉางเซิงเป็นคนรักความสะอาด ทำการณ์ใดก็ล้วนตั้งมั่น ผมดำขลับทั้งศีรษะไม่เคยปล่อยให้ยุ่งเลย เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นกับเขาน้อยเต็มที
นี่แสดงให้เห็นว่า อารมณ์เขาในวันนี้ค่อนข้างวุ่นวายนัก
“เมื่อวานข้านัดเฉินหลิวอ๋องไปที่สำนักฝึกหลวง เดิมทีอยากจะพบเขาพร้อมเจ้า แต่ตอนนั้นเจ้ามีธุระ ดังนั้นข้าจึงพบเขาเสีย”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้าบอกเขาว่า ตกดึกจะเข้าวังหลวง หวังว่าเขาจะคว้าโอกาสนี้ไว้เสีย”
เฉินฉางเซิงคาดไม่ถึง ว่าหัวข้อการสนทนาจะมาแบบกะทันหันเพียงนี้ ก่อนเอ่ยถามออกไปตามจิตใต้สำนึกว่า “โอกาสหรือ”
“สำหรับเขาและเซี่ยงอ๋องแล้ว รอยบาดหมางระหว่างเจ้าและซางสิงโจวนั้นก็คือโอกาสเดียวของพวกเขา”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “แต่ความสามารถของเจ้าและข้าไม่เพียงพอที่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจผลีผลามได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “นอกเสียจากเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ศิษย์พี่มายืนข้างพวกเราได้”
สวีโหย่วหรงตอบ “ใช่ ดังนั้นเขาจึงต้องไปเมืองลั่วหยาง เพื่อหารือกับซางสิงโจวเรื่องนี้ หรืออาจจะช่วยให้ข้าทำเรื่องนี้สำเร็จจนได้ โน้มน้าวให้ศิษย์พี่ของเจ้ามายืนข้างเดียวกับพวกเรา อย่างน้อยก็ต้องโน้มน้าวให้ซางสิงโจวเชื่อว่าศิษย์พี่ของเจ้าจะมายืนข้างพวกเรา”
เฉินฉางเซิงเอย “หากพวกเราพ่ายแพ้ นี่ก็จะเป็นโอกาสของเขาและเซี่ยงอ๋อง”
สวีโหย่วหรงตอบ “ถูกต้อง นี่ก็เป็นโอกาสของพวกเราเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยขึ้น “อย่างนี้จะมีคนเสียชีวิตมากมาย”
“เหนียงเหนียงเคยเอ่ยว่า ใช้สงครามเพื่อเรียกร้องความสงบสุข อย่างนั้นความสงบสุขจึงจะคงอยู่”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “สิ่งที่ข้าเสาะหาก็คือวิธีการที่จะหลั่งโลหิตให้น้อยที่สุด……”
จู่ๆ ก็บังเกิดเสียงระฆังที่ฟังดูห่างไกล ดังมาจากส่วนลึกของพระราชวังหลี ขัดจังหวะการกล่าวของนางเสีย
ห่านแดงหลายตัวฝ่าลมและหิมะออกมา และถลาบินไปไกล
มุมที่อยู่ไกลๆ ของตำหนัก บรรดานักบวชและมัคนายกที่มองพวกเขาด้วยความเคารพต่างก็มองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินเสียงอะไร และทันใดนั้นพวกเขาก็พลันบังเกิดสีหน้ามีความสุข