ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 25 มาถึงแล้ว
กวนไป๋คือความภาคภูมิใจสูงสุดหลายปีมานี้ของสำนักเทียนเต้า เมื่อเทียบกับตำแหน่งที่พรรคกระบี่หลีซานของชิวซานจวิน ถูกขนานนามว่ากวนไป๋ผู้มีชื่อ
ยอดฝีมือหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตถึงที่สุดผู้นี้ เมื่อหลายปีก่อนเคยได้รับการโจมตีอย่างสาหัส ถูกอู๋ฉยงปี้ทำให้แขนขาดไปหนึ่งข้าง
ในขณะที่คนจำนวนมากคิดว่าเขาจะตกต่ำลงด้วยเหตุนี้ ใครจะไปคาดว่าเขาได้ปีนผงาดออกมาจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวังอย่างเข้มแข่งเด็ดเดี่ยว ฝึกฝนอย่างยากเย็นไม่ย่อท้อจนฟื้นพลังกลับคืน อีกทั้งสองสามปีนี้ยังได้ต่อสู้ศึกพัวพันอย่างยากลำบากกับเหล่ายอดฝีมือเผ่ามารที่ภาคเหนือ วิชากระบี่เขาเพิ่มระดับขึ้นไม่ขาด จนกระทั่งผ่านพ้นธรณีประตูแห่งขั้นรวบรวมดวงดาว ระดับบนประกาศเซียวเหยาเข้าใกล้หวังซุนและเสี่ยวเต๋อที่อยู่หน้าสุดอย่างรวดเร็ว
หากเฉินฉางเซิงเลือกให้กวนไป๋เป็นมุขนายกตำหนักอิงหัว ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมและคุณูปการหรือจะพื้นฐานจากสำนักเทียนเต้ารวมถึงประสบการณ์ระดับตำนาน เขาล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ต่อให้มีคนสงสัยในตัวเขา ก็ยากที่จะเอ่ยออกมาตรงๆ
“ช่างเป็นตัวเลือกที่เกินความคาดหมาย เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วย่นคิ้วเบาๆ แล้วพูด “ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือประสบการณ์ในการทำงานของเขาอย่างน้อยเกินไป อีกครั้ง…เขายังเป็นนักเรียนของจางจือห้วน จะให้นักเรียนมาสั่งการอาจารย์ นี่ดูผิดวิสัยอยู่เล็กน้อย อีกอย่างข้าคิดวเขาเองก็คงยากที่จะยอมรับ”
เฉินฉางเซิงพูด “การสอบในครั้งนี้เขาน่าจะมาแน่ ขึ้นตอนหลังถ้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้”
ในการประชุมใหญ่จู่สือที่หานซานเมื่อครั้งก่อน กวนไป๋เคยปะทะกับเขา เฉินฉางเซิงบาดเจ็บหนักกลับคืนนครหลวง เป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมาหลังจากนั้นทางอ้อม กวนไป๋ไปยังด่านยงเสวี่ยยืนหยัดประชันต่อสู้กับเผ่ามารท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บตลอดสามปี
ช่วงเวลาสามปี เฉินฉางเซิงอยู่ที่ยอดเขาหิมะภาคเหนือ แต่ไม่ได้พบกันกับกวนไป๋
บรรยากาศในห้องเงียบงันขึ้นมาทันใด
เพราะว่าชื่อด่านยงเสวี่ยแห่งนี้ และยังมีประกาศเซียวเหยาที่ ทำให้นึกถึงกวนไป๋ ทำให่เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วนึกถึงคนหนึ่งขึ้นมา
เซียวจางถูกกองทัพต้าโจวและเหล่านักฆ่ายอดฝีมือแห่งหอความลับสวรรค์ทั่วหล้าตามฆ่า ท้ายที่สุดก็ถูกบีบให้หนีไปยังทิศเหนือ ว่ากันว่าทั้งสองฝ่ายได้เกิดศึกปะทะกันที่ด่านยงเสวี่ย
เมื่อนึกถึงโซ่เหล็กเส้นนั้นที่หุบเขา เงาร่างอันองอาจโรยตัวลงมาจากท้องฟ้า กระดาษขาวที่ถูกลมพัดดังพรึ่บพรั่บนั้น ยังมีกลิ่นหอมของชาที่คละคลุ้งไปทั้งเมืองและพ่อค้าชาผู้ไม่กลัวตายเหล่านั้น เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
“พูดเรื่องหลักเถอะ”
ถังซานสือลิ่วไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ เขาพูดขึ้นว่า “เมื่อไหร่ท่านจะส่งคำถามให้กับข้า”
เฉินฉางเซิงเหม่อ ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดนี้หมายความว่าอะไรกัน
ถังซานสือลิ่วมองไปนอกตำหนัก แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ข้อสอบบุ๋นไม่ใช้ แต่เป็นข้อสอบบู๊”
เฉินฉางเซิงอึ้งไปชั่วครู่ก็เข้าใจ เขาลืมตาขึ้นแล้วพูด “ฉันจะปล่อยข้อสอบให้เล็ดลอดหรือ”
เมื่อเห็นแมวตาที่สุกสกาวใสไร้ซึ่งสิ่งแอบแฝงใดๆ ถังซานสือลิ่วก็เกิดละอายแก่ใจ ครั้นแล้วก็หัวเสียขึ้นมา
“อย่าลืมนะว่าเจ้าก็เป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง! วางแผนช่วยเหลือนักเรียนสักหน่อยมีอะไรผิดหรือ ในตอนนั้นถ้าไม่ใช่อาจารย์ซินเอาคำถามมาเปิดเผยให้กับพวกเรา ลำพังสมองอันทื่อด้านของเจ้าคิดหรือว่าจะคิดหาทางเอาชนะสวีโหย่วหรงได้”
หากเป็นเวลาอื่น เฉินฉางเซิงอาจจะมองไปยังเขาแล้วอย่างจริงจังว่า “นี่หัวเสียเพราะความละอายในอดีตหรือ” แต่วันนี้เขาไม่ได้พูดอะไร งั้นพอเขาได้ยินชื่อของอาจารย์ซิน ที่ทำให้เขาต้องหวนคิดถึงเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของชาหอมกรุ่นคละคุ้งแห่งนั้นอีกครั้ง
เฉินฉางเซิงเดินไปยังริมหน้าต่าง มองออกไปนอกตำหนัก สงบนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
อาจารย์ซินตายแล้ว ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาเองก็ตายไปนานแล้ว อาจารย์ปู่ก็ตายไปแล้ว
พระราชวังหลีแห่งนี้เป็นของเขา แต่พระราชวังหลีแห่งนี้สำหรับเขาแล้วมันช่างไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด เป็นเพราะผู้คนที่เขารู้จักคุ้นเคยเหล่านั้นได้จากไปเสียแล้ว
ตอนนี้พระราชวังหลีมีความเงียบสงัดเราเอง แต่ปณิธานก็มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวมากขึ้น แต่ทว่าเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะต่อกรซึ่งหน้ากับราชวงศ์ต้าโจวได้โดยตรง
ปัญหาสำคัญที่สุดอยู่ที่ ซางสิงโจวอาจารย์พ่อของเขามีกิตติศัพท์ชื่อเสียงใหญ่โตเกินไปในหอฝึกหลวง
หากถึงวันที่ต้องเผด็จศึกจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงการทิ้งทัพหนีไปกลางคัน อย่างน้อยก็ต้องมีนักบวชแห่งพระราชวังหลีหนึ่งในสามเลือกที่จะสงบปากสงบคำหรือไม่ก็ถอนตัวไป
กลิ่นอายแห่งวสันต์ค่อยๆ ถือกำเนิด ไม้เลื้อยสีเขียวที่กำแพงหินพระราชวังหลีค่อยๆเผยให้เห็นความเขียวชอุ่มน่ามองออกมา
มองไปยังกำแพงหินเหล่านั้น ถึงฉากเมื่อเดินเข้ามาด้านหน้าของหอฝึกหลวงในตอนนั้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกจิตใจร้อนรุ่มขึ้นเล็กน้อย
มองอีกด้าน นับแต่เกิดจนถึงวินาทีที่เข้าสู่หอฝึกหลวง ทั้งชีวิตของเขาล้วนแต่มีซางสิงโจวเป็นผู้วางแผนให้
ความรู้สึกที่เขามีต่อซางสิงโจวซับซ้อนเกินบรรยาย
และเชื่อว่าซางสิงโจวเองก็รู้สึกต่อเขาเช่นเดียวกัน
เขาเดิมทีคิดว่าเรื่องราวอาจที่เมืองไป๋ตี้จะเป็นจุดเปลี่ยน
ในเมื่อบอกเป็นนัยให้เขากลับคืนสู่นครหลวง เช่นนั้นระหว่างศิษย์อาจารย์ไม่ว่าจะทำศึกหรือสงบศึก อย่างไรก็ยังต้องการคำอธิบาย
แต่ใครจะไปรู้ ว่าซางสิงโจวกลับไปยังลั่วหยาง…
นี่ท่านแม้แต่พบข้าก็ยังไม่อยากพบเลยเชียวหรือ
เสียงห่านป่าดังขึ้น ทำให้เฉินฉางเซิงได้สติตื่นจากภวังค์ความคิด
เครือไม้เลื้อยสีเขียวอ่อนและท้องฟ้าสีครามเข้ม มีเงาร่างสีแดงสดเคลื่อนผ่านอยู่เงาหนึ่ง
นั่นห่านป่าแดงส่งจดหมาย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ถังซานสือลิ่วเดินไปข้างกายเขา มองไปยังห่านป่าแดงที่ร่วงตกกระจายทั่วนครหลวงเหล่านั้น ก็เกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ หู้ซานสือเอ้อร์ก็เดินเข้ามา แล้วพูดขึ้นว่า “ผู้คนที่มาเข้าร่วมการสอบใหญ่มาถึงแล้วขอรับ”
ได้ยินดังนั้น ความกังวลในใจของถังซานสือลิ่วไม่ได้ลดลง หนำซ้ากลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น
การสอบใหญ่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่ไยจึงถึงกับใช้ห่านป่าแดงส่งข่าวเร่งด่วนมายังพระราชวังหลีและราชสำนักพร้อมกันเช่นนี้
“คือใครกันแน่นะ”
“ข้าเองก็ได้รับข่าวไม่ครบถ้วนขอรับ”
หู้ซานสือเอ้อร์มองปราดหนึ่งไปยังเฉินฉางเซิง แล้วกล่าวเสริม “คงมีคนมาถึงจำนวนไม่น้อยเลยขอรับ”
ผ่านไปไม่นาน ราชันย์แห่งหลิงไห่ก็รีบตามเข้ามาจากด้านนอกพระราชวังหลีอย่างรีบร้อน แล้วพูดขึ้นว่า “มาถึงแล้ว”
คนทระนงเคร่งขรึมเช่นเขา พูดสามคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเบาๆ
แน่นอนมันไม่ใช่ความตื่นตระหนก แต่เป็นความตื่นเต้น
……
……
เรานักเรียนที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ มายังนครหลวงจากทุกสารทิศบนทั้วทั้งดินแดนอย่างเร่งรีบ ในนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่มาจากทางใต้
พรรคที่ฝึกฝนบำเพ็ญพรตจากทางใต้และมีจำนวนมาก มาจากตระกูลที่มีพื้นฐานอันหนักแน่น มียอดฝีมือถือกำเนิดขึ้นไม่ขาด ในหลายปีมานี้ เนื่องจากการปรากฏขึ้นของพรรคกระบี่หลีซานและสำนักไหว พร้อมกับการอบรมฝึกฝนของผู้บำเพ็ญอายุน้อย ทำให้อยู่เหนือมีอิทธิพลฝ่ายเหนือซึ่งมีเหล่าสำนักไม้เลื้อยตัวแทนอย่างเทียบไม่ติด แต่ปีนี้สิ่งที่ทำให้นครหลวงสั่นสะท้านไม่ใช่เพราะแรงกดดันที่นักเรียนจากทางใต้นำมา แต่เป็นเพราะเราอาจารย์ที่ติดตามหาของพวกเขานั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน ซ้ำอย่างล้วนแต่มีชื่อเสียงเป็นที่โจษจัน
พรรคกระบี่หลีซานมีเพียงลูกศิษย์สองคนที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ แต่ผู้ที่ติดตามมานั้นกลับมีถึงสิบกว่าคน นี่เมื่อเทียบกับฉากอันเลือนรางเมื่อครั้งโก่วหานสือและคนอื่นได้เดินทางมาร่วมการสอบใหญ่เมื่อในอดีตแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ติดตามสิบกว่าคนครั้งนี้มีโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู ไป๋ไช่ เขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะวิชากระบี่เยาว์วัยที่มีชื่องเสียงโด่งดัง หรือแม้แต่บุคคลที่เหลือนั้นยิ่งน่ากลัวกว่า ทั้งหมดล้วนแต่เป็นอาจารย์หอกระบี่ขั้นรวบรวมดวงดาว
สถานศึกษาหนานซีมีเพียงลูกศิษย์คนเดียวที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ แต่ลูกศิษย์แห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแต่พากันมาทั้งสิ้น
สาวน้อยในชุดกระโปรงเขาโบกพลิ้วนับร้อย ทำให้คนในนครหลวงเหม่อมองตาไม่ขยับ
ยังมีประมุขวัดฉือเจี้ยน เลี่ยรื่อจงผู้ซึ่งเพิ่งเข้าดำรงตำแหน่งมุขนายก ยอดฝีมือจากพรรคทางใต้นับสามสิบกว่าแห่งต่างทยอยเข้าสู่เมืองหลวง
คุณหญิงใหญ่แห่งตระกูลมูเจ้อ ประมุขตระกูลอู๋ ได้กลับคือสู่นครหลวงอีกครั้งหลังการกบฏครั้งใหญ่ที่สุสานเทียนซูเมื่อสามปีก่อน
กลางภูเขาแห่งหนึ่งนอกนครหลวง ยังมีคนเห็นรถน้าของตระกูลชิวซาน
ราชันย์แห่งหลิงไห่กล่าวได้แม่นยำ
ยอดคนจากทางใต้ที่โลกนี้สามารถนึกชื่อออกได้ เว้นเสียแต่ประมุขพรรคกระบี่หลีซานและเหล่าอาจารย์ผู้ซ่อนตัวบำเพ็ญพรตเหล่านั้นแล้วล้วนแต่มากันให้สิ้น
ไม่มีใครรู้ ว่าจะมีนักพรตหญิงสองนางที่ไม่อาจคาดเดาอายุได้เข้าสู่นครหลวงโดยเงียบ แล้วเดินเข้าไปยังจวนแห่งเก่าของหลัวหยางอ๋อง
แต่ผู้คนก็รู้ว่า หวังผ้อได้ถือดาบมาถึงแล้ว
เป็นเพราะบนแม่น้ำลั่วจู่ๆ ก็มีรอยแยกรอยหนึ่งปรากฏขึ้น
ต้นไม้เขียวชอุ่มนอกเขตพระราชทานนั้นเพียงคืนเดียวก็แห้งเหี่ยวกลายเป็นสีเหลือง ประหนึ่งว่ากลายเป็นต้นแปะก๊วยไปเสีย