ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 27 กระเบื้องชายคา
แม่ชีเต๋าทั้งสองท่านคือไหวเหรินและไหวซู่ หลังจากเหตุชลมุนภายในสถานศึกษาหนานซี พวกนางก็ได้จากไปเพื่อเที่ยวพเนจรบนโลกอีกครั้ง ตามข้อตกลงในตอนแรก อย่างน้อยต้องสิบปีหลังจากพิธีซิงกุ้ยถึงจะสามารถกลับไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของสวีโหย่วหรง ไหวเหรินก็ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านเจ้าสำนักกล่าวหนักไปแล้ว นี่มันคือการไถ่บาปตั้งแต่แรก”
ไหวซู่นึกถึงฉากนองเลือดในสถานศึกษาหนานซีวันนั้น ก็รู้สึกโกรธจนไม่อาจห้ามได้ นางพูดว่า “ซางสิงโจวหลอกใช้ไหวปี้ปั่นป่วนสถานการณ์ พวกเราจะให้เขาสมหวังได้อย่างไร”
ไหวเหรินพูดอย่างสงบนิ่ง “หากไม่ใช่พอค่าแล้วเจ้าจิตใจไม่สงบนิ่ง มีหรือที่จะถูกเขาหลอกใช้ได้”
ได้ยินศิษย์พี่พูดเช่นนั้น ไหวซู่ก็ปรับสีหน้าที่กำลังโกรธลง แล้วมองไปยังสวีโหย่วหรง พยักหน้าด้วยสายตาที่ชื่นชมและนับถือ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
วันนี้สถานศึกษาหนานซีมีลูกศิษย์เข้าสู่นครหลวงนับร้อยคน จนทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีภาพเช่นนี้มาก่อน สำหรับคนชราอย่างเช่นไหวซู่แล้ว ย่อมรู้สึกปลาบปลื้มเป็นที่สุด
หากเป็นหลายปีก่อน หากสลัดอิทธิพลเช่นนี้ออกไปได้ ไม่จำเป็นต้องรอฟังคำสั่งจากราชวงศ์ต้าโจว เกรงว่าพระวังหลีต้องเข้ามาลงมือแน่
ยังดีที่ตอนนี้พระราชวังหลีและราชวงศ์ต้าโจวเป็นคู่อริต่อกัน ความสำคัญของสำนักทางใต้จึงโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน สถานศึกษาหนานซีจึงได้พบกับโอกาสเช่นนี้
แน่นอน การที่สามารถสร้างสถานการณ์เช่นนี้ออกมาได้ คว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ เป็นเรื่องที่ยากลำบากถึงที่สุดมาตั้งแต่แรก
สวีโหย่วหรงยังอายุน้อย ยังไม่ผ่านขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ ยากที่จะเหมือนเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นก่อนๆ ที่จะเป็นแรงคุกคามที่เพียงพอต่อราชวงศ์ต้าโจว แต่ความสัมพันธ์ของนางกับพระราชวังหลี กลับไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อน อีกครั้งการกระทำที่นางแสดงออกมาและท่าทีหนักแน่นที่มีต่อเรื่องนี้ ยิ่งทำให้คนรู้สึกเกรงขาม
ประตูหลังจวนอ๋องมีภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง มีต้นใบครามหลายสองสามต้นแทรกอยู่ในนั้น
ทันทีที่ลมหนาวพัดขึ้น บนใบไม้ของสองสามต้นนั้นก็จะมีเกล็ดน้ำค้างแข็งเกาะบางๆ เป็นชั้น
“ตระกูลเซวียไม่มีปัญหา หากต้องบอกกับเฉินฉางเซิงสักหน่อยไหม”
หญิงสาวชุดดำปรากฏกายขึ้น แล้วพูดกับสวีโหย่วหรง
สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ลดลงฮวบภายในจวนอ๋อง ไหวซู่สามารถเดาตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวชุดดำนางนี้ได้โดยทันที สีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางก้าวถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
สองสามปีมานี้นางติดตามศิษย์พี่ออกพเนจรไปทั่ว เห็นผู้คนแปลกประหลาดมามากมาย โดยหลักเกณฑ์แล้ว ยอดฝีมือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ถึงกับทำให้นางต้องเกิดความตื่นตระหนกหวาดกลัว
แต่มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งคือสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด สำหรับจิตวิญญาณของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ไหนแต่ไรย่อมต้องรู้สึกอึดอัดขึ้นมาได้โดยสัญชาตญาณ
มังกรดำน้อยเจอปฏิกิริยาอย่างนี้มาจนชินแล้ว จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่ทว่าแม่ชีเต่าอีกนานหนึ่งกลับดึงความสนใจของนางไปเป็นอันมาก
จิตของไหวเหรินนั้นสงบนิ่ง ไม่ได้มีท่าทีเคลื่อนไหวต่อการปรากฏตัวของนาง เรากลับไม่รู้จักพื้นเพของนางมาก่อน
มังกรดำน้อยวิเคราะห์นางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าช่างแกร่งจริงๆ เลยนะ”
ผู้ซึ่งสามารถทำให้นางรู้สึกว่าแกร่งได้ บนดินแดนแห่งนี้จะมีสักกี่คนที่จะสามารถทำได้กัน
ความโกลาหลภายในสถานศึกษาหนานซีตอนแรก ไหวปี้เป็นผู้ปลุกเร้า ใช้ดัชนีศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้าจี้จุดปิดผนึกจุดลมปราณสำคัญหลายแห่งของไหวเหริน ไหวเหรินยังคงสามารถต้านทานกลับได้อย่างง่ายดาย ในตอนนั้นเฉิงฉางเซิงเองก็รู้สึกว่าขอบเขตความสามารถของแม่ชีเต๋าผู้นี้ล้ำลึกเกินคาดเดา
มังกรดำน้อยมองไปยังสวีโหย่วหรง ท่าทีตะลึงเล็กน้อย ดูไม่เข้าใจอะไรอยู่บ้าง
นางปล่อยให้ยอดฝีมือระดับนี้อยู่แต่ในจวนหลัวหยางอ๋อง ที่แท้แล้วเตรียมอะไรอยู่กันแน่
สวีโหย่วหรงมองไปยังจวนอ๋องแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากที่นั่น โดยที่ไม่พูดอะไร
จวนอ๋องแห่งนั้นถูกกำแพงสูงบังกั้น ไม่อาจจะมองเห็นสิ่งก่อสร้างอันงดงามหรูหราภายในได้ มองเห็นก็เพียงชายคาที่สูงตระหง่านเสียดเมฆเท่านั้น
บนแผ่นกระเบื้องมุมชายคามีรูปสัตว์อยู่จำนวนหนึ่ง บนกายมีเกล็ดสีทอง ดูเหมือนมังกรแต่ก็ไม่ใช่
……
……
ลายมังกรที่ส่องประกายสีทองภายใต้แสงอาทิตย์เหล่านั้นบนมุมชายคา สีหน้าเซี่ยงอ๋องก็เหยเกขึ้นมาเล็กน้อย มวลไขมันบนกายกระเพื่อมสั่น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาจึงละสายตากลับมาได้ แล้วประคองไขมันที่ถูกเข็มขัดรัดปลิ้นออกมา พลางพูดอย่างทอดถอนใจว่า “เรื่องนี้ทำใหญ่โตเสียแล้ว”
เฉินหลิวอ๋องตอบพลางยิ้มแหย “คิดไม่ถึงว่าโหย่วหรงจะดำเนินเรื่อง ยังคงยังคงมุทะลุเหมือนเช่นตอนเด็ก”
เซี่ยงหวังมองไปยังนัยน์ตาของเฉินหลิวหวัง แล้วพูดขึ้นช้าๆ อย่างตั้งใจ “ตัวผู้เป็นพ่อนั้นเคารพนับถือปรมาจารย์อยู่หลายปี ขอเพียงยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ก็ต้องรักษาเกียรติยศความมั่งคั่งของตอนนี้ไว้ได้เป็นแน่ ข้าขอถามเจ้าอีกสักครั้ง ตอนนี้เจ้ายังคงยืนยันให้พวกเราเดินหน้าต่ออีกหรือไม่”
ตอนนี้เขาเป็นอ๋องผู้ซึ่งมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดและมีตำแหน่งสูงสุดในราชสำนักต้าโจว ในขณะเดียวกันยังเป็นยอดฝีมือขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง อาจจะเดินต่ออีกสักก้าว จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน
“หากพวกเราไม่เดินก้าวนี้ ราชวงศ์ต้าโจวจะตกเป็นของตระกูลเฉินหรือของซีหนิงกันแน่”
เฉินหลิวอ๋องอยากเรียบเฉย “นี่แหละคือเรื่องที่ข้าสนใจที่สุด”
นิ้วมือของเซี่ยงอ๋องจิ้มลึกเข้าไปในไขมันบริเวณพุง ทอดถอนใจออกมาไม่ขาด และไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
……
……
เฉินหลิวอ๋องเพิ่งจะแต่งงาน แต่ความคิดของเขาไม่สามารถที่จะจดจ่ออยู่บนตัวภรรยาผู้งามอรชรดั่งบุปผา เพราะความเคลื่อนไหวที่สวีโหย่วหรงทำนั้นใหญ่หลวงยิ่งนัก
ในทำนองเดียวกัน ภรรยาผู้งดงามดั่งบุปผาและเนื้อหยกคนนั้นของเขาก็ไม่สามารถจดจ่อความคิดไว้ที่ตัวเขาเช่นกัน คนถึงกับไปจากจวนอ๋องโดยทันที กลับไปยังบ้านตระกูลเทียนไห่
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยืนอยู่หน้าประตูจวน มองดูผิงกั๋วผู้ซึ่งได้แต่งตัวเป็นฮูหยินแต่ยังคงงดงามเย้ายวน แล้วกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “พี่เขยถึงแม้จะนิสัยใจคอเย็นชาไร้อารมณ์ ความคิดลุ่มลึกยากจะหยั่งถึง แต่จิตใจของเขานั้นถือว่าไม่เลว ทั้งยังใส่ใจคำครหา ย่อมต้องดูแลเจ้าไม่ให้ขาดเหลือ แต่เจ้าก็ควรระวังไว้บ้าง เพิ่งจะออกเรือนจะหนีกลับบ้านได้อย่างไรกัน”
“ข้ากลับมาเพื่อหารือเรื่องสำคัญ ไม่ได้มาแสดงละครปาหี่น่าเบื่อประเภทหึงหวงแย่งกันหรอกนะ”
ผิงกั๋วเดินไปยังด้านในจวน แค่นเสียงหัวเราะพูดออกมา “หากไม่รีบรับมืออีก จะรออยู่ดูเกียรติยศของหญิงสาวผู้นั้นหรอกหรือ”
เที่ยไห่เซิ่งเสวี่ยรู้ว่าแต่เล็กจนโตผิงกั๋วเกลียงชังสวีโหย่วหรงอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วสามปี ผิงกั๋วเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะองค์หญิงคนนั้นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ความพยาบาทนี้กลับยังคงไม่สูญสลาย หรือถึงกับรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป
วันนี้นางกลับมาจวนย่อมเป็นเพราะคิดเป็นตัวแทนบิดามาหารือกับเซี่ยงอ๋องว่ารับมือกับสถานการณ์วันนี้อย่างไรดี เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอันมาก ไม่อยากเข้าร่วมเรื่องราวเหล่านี้ เขารับเชือกมาจากขุนนางประจำจวน แล้วขี่ม้าของตนจากไป แต่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็มีผู้เฒ่าร่างกายผอมสูงผู้หนึ่งปรากฏขึ้นข้างตัว
ผู้เฒ่าผอมสูงท่านนั้นดูธรรมดาสามัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วฐานะของเขานั้นไม่ธรรมดา เป็นถึงจอมทัพเทพผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในยุคนี้ ชื่อของเขาคือเฟ่ยเตี่ยน
เที่ยไห่เซิ่งเสวี่ยพูด “สองสามปีมานี้ถึงแม้จะบอกว่าได้รับการอบรมมาไม่น้อย แต่การที่ท่านคอยติดตามข้างกายข้าเช่นนี้ช่างสิ้นเปลืองเวลาเสียเปล่าจริง”
เฟ่ยเตี่ยนตอบ “ในเมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รับสั่งให้ค่าติดตามข้างกายเจ้า นั่นยืนยันว่าเจ้าคู่ควร”
ตอนแรกเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นผู้มีความสามารถแอบซ่อนมากที่สุดแห่งตระกูลเทียนไห่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้เฟ่ยเตี่ยนติดตามข้างกายเขา คงมีความคาดหวังใหญ่โตบางอย่างฝากไว้
แต่ตอนนี้สิ้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เฟ่ยเตี่ยนกลับไม่มีความคิดที่จะจากไป
“ท่านลุงเฟ่ย ท่านคิดว่าอยู่แต่ในนครหลวงหรือว่าไปยังแนวหน้าดี”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไม่รออีกฝ่ายตอบ แล้วส่ายหน้าพลางพูดขึ้น “แน่นอนการออกรบกับเผ่ามารที่ทุ่งหิมะน่าสนใจกว่า”
เฟ่ยเตี่ยนมองไปยังข้างหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แล้วพูดว่า “แต่ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังดวงตาเขาปราดหนึ่ง
“ท่านจอมทัพฮั่นชิงตายแล้ว เซวี่ยสิ่งชวนตายแล้ว เทียนฉุยตายแล้ว คนอีกมากก็ตายไปแล้ว ได้ยินว่าจินอวี้ลวี่ก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากที่เมืองไป๋ตี้”
เฟ่ยเตี่ยนพูด “ถ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถดื่มเหล้าเล็กน้อยได้ทุกวัน นี่เป็นเพราะว่าคิดน้อยและทำน้อย”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยรู้แก่ใจดีว่าคำพูดนี้คือคำเตือนเขา
ความคิดของเขาที่มีไม่อาจปิดบังอีกฝ่ายได้
แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ในเมืองหลวง ณ ตอนนี้ ใครอยากจะทำอะไรได้
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส แล้วพูดว่า “ลมฝนกำลังจะมาถึง อย่างไรก็ต้องหากระเบื้องมากำบัง”