ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 28 โทสะของเหล่าอ๋อง
ตรอกไป่ฮวาผ่านช่วงเวลาแห่งความเงียบเหงา ครึกครื้น ถูกทำลาย และได้รับการบูรณะอีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในสภาพเหมือนเมื่อตอนนั้นอีกแล้ว มีความรุ่งเรืองยิ่งกว่าก่อน แต่กลับดูสงบเงียบ ริมข้างทางต้นหลิวปลูกใหม่ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ผลิใบสีเขียวอ่อนออกมา แต่ก็ไม่อาจปกปอดชายคาของหอสุราได้
มองไปยังประตูสำนักฝึกหลวงลึกเข้าไปในตรอก เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็นิ่งเงียบอยู่นาน
ประตูสำนักในเวลานี้ตระกูลเทียนไห่เป็นผู้ซ่อมแซม ประตูสำนักบานเดิมนั้นก็เป็นเขาเองที่สั่งให้พังมันลง
นึกถึงตอนนั้นนครหลวงมีฝนตกโปรยปราย เขาได้พาอัศวินใต้บังคับบัญชากลับไปยังภาคเหนือด้วยตนเอง ภายใต้คำบัญชาการ ม้าศึกบุกทะลวงประตูสำนัก ตัวเขาในตอนนั้นรวมถึงตระกูลเทียนไห่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด ทั้งยังลำพองมากเพียงใด แต่ในตอนนี้เล่า
หลังการกบฏที่สุสานเทียนซู นอกจากเรื่องปรมาจารย์และจักรพรรดิทรงมอบหมายแล้ว ตระกูลเทียนไห่ก็สงบปากสงบคำจนไม่รู้จะสงบอย่างไรอีกแล้ว ปีนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเตรียมกำลังพลที่จวนศาลทหารซงซานได้ วางแผนเพื่อหาประโยชน์บางอย่าง ผลสุดท้ายกลับมาชนกับเรื่องใหญ่นั้นเข้า น้องชายหัวสูงของเขาคนนั้นจึงต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้
สำหรับเทียนไห่หย่าเอ๋อร์ผู้เป็นต้นเหตุแห่งความบาดหมางระหว่างตระกูลเทียนไห่กับสำนักฝึกหลวงในตอนนั้น ก็ถูกผู้คนลืมไปเสียแต่นานแล้ว
เฟ่ยเตี่ยนมองแววตาอันว่างเปล่าบนหน้าเขา ก็เดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร แล้วพูดขึ้นว่า “อะไรที่พลาดไปแล้วก็พลาดไป ไปต่อเถอะ”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยส่ายหน้า แล้วบังคับม้าวิ่งไปยังตรอกไป่ฮวา
เฟ่ยเตี่ยนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองไปยังด้านหลังเขาโดยไม่พูดอะไร
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมาที่สำนักฝึกหลวงเป็นการเฉพาะ ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านทาง เพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะพลาดอีก
เขากระแทกเปิดประตูสำนักฝึกหลวง แล้วเดินเข้าไป
เขาเลือกที่จะทำเหมือนการสอบใหญ่ในครั้งนั้น
เขาปรารถนาให้ตระกูลของเขาสืบทอดต่อไป เขาจึงได้เทเบี้ยเดิมพันทั้งหมดเลยออกมาต่อหน้า
เขาต้องการตัดขาดออกจากตระกูล เช่นนี้แล้วหากมีอนาคตหากตระกูลต้องตายกันหมด อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
……
……
จักรพรรดิไท่จงทรงมีลูกหลานสืบสกุลมากมาย แม้จะเผชิญกับมรสุม การเข่นฆ่ามาหลายปีเช่นนี้ แต่ก็ยังคงมีจำนวนอยู่ไม่น้อย
จวนอ๋องที่อยู่สองข้างทางถนนไท่ผิงเหล่านั้น เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจน
เจ้าของจวนอ๋องเหล่านี้ ต่างจดจ้องอยู่ที่จวนเซี่ยงอ๋อง
หากเซี่ยงอ๋องไม่แสดงทีท่าใดๆ ต่อสถานการณ์ในทุกวันนี้ เช่นนั้นท่านอ๋ององค์อื่นก็ได้แต่สงบท่าทีต่อไป
ถนนไท่ผิงช่างเงียบสงบ
มีเพียงในจวนแห่งหนึ่งที่มีเสียงก่นด่าแว่วออกมาไม่ขาด ล้วนแต่คำผรุสวาทหยาบคายยากที่จะฟังเข้าหู
ที่แห่งนั้นก็คือจวนจงซานอ๋อง
ในหมู่อ๋องตระกูลเฉิน จงซานอ๋องเฉินเสวียนฉิงพูดได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง เป็นเพราะนิสัยใจคอของเขา และเป็นเพราะวีรกรรมอันเลื่องลือของเขา
หากในตอนนั้นถ้าเขาไม่ได้แกล้งทำเป็นเสียสติไม่รู้เรื่องราวใดๆ ยอมถึงกับกินอาจมม้า เกรงว่าป่านนี้ก็คงถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เล่นงานถึงตายไปนานแล้ว
เรื่องนี้ก็ยืนยันทางอ้อมถึงความแน่ของท่านอ๋องนี้ผู้นี้…หากเขาเป็นท่านอ๋องธรรมดาผู้หนึ่ง ถ้าเขาไม่ได้ครอบครองพลังขั้นเทพสุดแข็งแกร่ง แค่ด้อยกว่าเซี่ยงอ๋องเพียงนิด แล้วจะถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่บีบคั้นจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
ท่านอ๋องผู้เก่งกล้าเช่นนี้ กลับสามารถทนกับความอัปยศอดสูอย่างหนักหน่วงได้ ใครจะรู้ว่าเขาผู้นี้ที่จริงนั้นน่ากลัวอย่างมาก
โดยเฉพาะยามที่สีหน้าของเขาบื้งตึงเหมือนตอนนี้
ขุนนางประจำจวนอ๋องและเหล่ายอดฝีมือผู้ภักดีต่อเขาต่างนั่งกันเต็มห้อง และยังมีขุนพลเทพเซี่ยวหลิงและหลูหลิงอ๋องผู้ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากภูเขาเสียวซานด้วยความเร่งรีบ
ผู้คนทั้งหลายต่างก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบสายตาจงซานอ๋อง และไม่กล้าที่จะเอ่ยปากใดๆ
สีหน้าจงซานอ๋องดุดันยิ่งขึ้น ชี้นิ้วด่ากราดไปยังพวกเขาว่า “ถูกคนอื่นตามเหยียดหยามถึงหน้าบ้านแล้ว พวกเจ้ายังนั่งติดกับที่ได้อีกหรือ”
ที่ศาลทหารซงซาน เขาถูกเฉินฉางเซิงผู้เป็นหัวใหญ่ของสำนักฝึกหลวงและซ้อนเร้นยากจะตามหาตัวพบบีบให้หลีกทาง จนรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ในวันนี้เหล่าผู้เก่งกล้าจากสำนักทางใต้เหล่านั้นเข้าสู่นครหลวงด้วยอำนาจน่าเกรงขามถึงขนาดนี้ ยิ่งทำให้ให้เขาบันดาลโทสะเป็นพิเศษ
เหล่าขุนนางในจวนอ๋องยังคงก้มหน้านิ่ง สงบเงียบไม่เอ่ยวาจา
ขุนพลเทพเซี่ยวหลิงมองไปยังจงซานอ๋อง รวบรวมความกล้าเพื่อที่จะถามอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ตัดใจไม่ถามเสีย
หลูหลิงอ๋องส่ายหน้า ท่าทีจนปัญญาเต็มแก่
หากไม่นั่งต่อไป แล้วจะทำอะไรได้เล่า จะให้ออกไปปะทะอย่างนั้นหรือ
ฝั่งพระราชวังหลีกงเพียงแค่กระดิกนิ้วก็สามารถหายอดผู้เก่งกล้าระดับขั้นสุดยอดอย่างราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนสักเจ็ดแปดคนได้อย่างสบาย บรรดาสำนักไม้เลื้อยยังมียอดฝีมืออย่างจวงห้วนจือ มหามุขนายกแห่งจงซื่ออีก นี่คือผลจากการสั่งสมมานานนับหมื่นปีของสำนักฝึกหลวง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหมาชิวอวี่ที่บรรลุสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าตัวจะอยู่ที่หานซาน แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะแอบลอบกลับมาเหมือนหวังผ้อหรือเปล่า ต่อให้เหมาชิวอวี่ไม่กลับ การประสานกระบี่ของสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะมีใครต้านทานได้ อีกทั้งตอนนี้เหล้าผู้กล้าที่เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงจากทางใต้เหล่านั้น จะให้พวกเข้าต่อกรอย่างไรดี
เว้นเสียแต่จะเรียกอัศวินชุดเกราะกลับจากทางเหนือเพื่อปิดล้อมสังหารบรรดาผู้เก่งกล้าเหล่า ไม่เช่นนั้นแล้วราชสำนักก็ไม่มีหนทางที่จะชนะได้เลยแม้แต่น้อย
เหล่าผู้เก่งกล้าจากกองทัพต้าโจวแม้จำนวนจะไม่น้อย ขุนพลเทพเสือขาวผู้สุดแสนจะเหี้ยมโหดเองก็ถูกเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วร่วมมือกันปลิดชีพไปแล้ว ขุนพลเทพที่เหลือเหล่านั้นเมื่อเทียบกับเซวียสิ่งชวนและคนอื่นๆ ในตอนนั้นยังนับว่าห่างไกลกันมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุนพลเทพเหล่านั้นไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้อีก
“ศิษยานุศิษย์เหล่านั้นของเฉินกวนซง ไร้ความสามารถเสียจริง ยังต่อสู้ได้ไม่เท่าข้าเลย”
จงซานอ๋องมองตาขุนพลเทพเซี่ยวหลิง แล้วด่า “เจ้าพวกสวะทั้งหลาย!”
เหล่าขุนนางสังกัดจวนอ๋องยิ้มแหยไม่พูดอะไร แอบคิดในใจกันว่าท่านอ๋องต่อให้ท่านสู้ได้ แต่ก็มีแค่ท่านคนเดียว มิหนำซ้ำท่านยังเอาชนะคนผู้นั้นไม่ได้เสียด้วย ในขณะที่ผู้คนได้แต่ก่นด่าภายในใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินจงซานอ๋องพูดต่อ ทุกคนต้องรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ แอบคิดในใจว่าหรือว่าท่านอ๋องจะรู้ว่าตนและคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่หรือเปล่า
จงซานอ๋องที่จริงไม่รู้ความคิด และคร้านที่จะคิดว่าผู้คนเหล่านี้จะไปคิดอะไร คำพูดของเขานี้มาจากความรู้สึกล้วนๆ
“แต่ข้าก็เอาชนะไม่หวังผ้อได้”
“มันช่างน่าโมโหจริงๆ เชียว!”
“โมโหจริงๆ!”
……
……
หวังผ้อแห่งเทียนเหลียง คือพูดเก่งกล้าสำคัญที่สุดซึ่งหลายสิบปีมานี้ราชวงศ์ต้าโจวต้องตาอย่างไม่ต้องสงสัย
จงซานอ๋องให้ความสำคัญหวังผ้อเช่นนี้ ก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน
ตระกูลเฉินและหวังผ้อมีบุญคนความแค้นที่ยากจะตัดขาดได้ต่อกัน
ย้อนคิดไกลไปถึงสมัยไท่จง เขาพูดประโยคหนึ่งว่าวันดีคืนดี ตระกูลหวังต้องเป็นอันพินาศเช่นนี้
ฉายาของหวังผ้อเองก็มีที่มาเช่นนี้
อาจจะกล่าวถึงใครที่ปรารถนาให้เชื้อพระวงศ์เฉินสูญเสียอำนาจปกครองใต้หล้า ผู้นั้นย่อมเป็นหวังผ้อ
ดังนั้นหวังผ้อจึงได้เปิดเผยพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญออกมาตั้งแต่แรก เชื้อพระวงศ์เฉินก็เตรียมพร้อมที่จะกำราบเขา ถึงกับคิดที่จะกำจัดเขาเสีย
ในตอนแรกนั้นหากไม่ใช่ผู้เฒ่าถังคอยปกป้องเขาไว้ที่เวิ่นสุ่ยอยู่หลายปี หวังผ้อบางที่อาจจะตายไปตั้งนานแล้ว
ต่อให้เขาต่อมาได้อันดับต้นๆ ของประกาศเซียวเหยา กลายเป็นผู้เก่งกล้าซึ่งได้รับฎีกาศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แต่ก็ยังถูกบีบให้ต้องระเห็จระเหไปไกลถึงเทียนหนาน จนได้เข้าสู่สำนักต้นไหว
หลังจากซูหลีไปไกลยังดินแดนอื่น หวังผ้อได้กลายเป็นเป้าซึ่งราชสำนักต้าโจวอยากกำจัดมากที่สุด จากการกบฏสุสานเทียนซูทำให้ฎีกาศักดิ์สิทธิ์สิ้นผล ความคิดนี้ของราชสำนักกลายเป็นการกระทำที่แท้จริงขึ้น
ดังนั้นจึงได้มีการปิดล้อมสังหารครั้งที่ใต้ต้นแปะก๊วยรวมถึงสงครามที่ทั้งโลกต้องตื่นตระหนก ณ ริมตลิ่งแม่น้ำลั่วนครหลวง
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิด ว่าพลังของหวังผ้อจะเพิ่มระดับได้เร็วเช่นนี้
เขาได้สังหารเถี่ยซู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำลั่วในดาบเดียว ก็บรรลุเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งไป
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
ราชสำนักต้าโจวหยุดความเคลื่อนไหวของที่มีต่อหวังผ้อ บรรดาอ๋องตระกูลเฉินต่างสงบนิ่ง สองฝ่ายต่างพยายามรักษาสภาวะสันติ
แต่วันนี้หวังผ้อมาถึงยังนครหลวง
ต้นไม้ครามที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหน้าพระราชวังหลี แม่น้ำลั่วที่ถูกผ่าแยก ล้วนแต่เป็นหลักฐานยืนยัน หรืออาจบอกได้ว่านี่คือหนังสือท้ารบ
นี่คือการท้าทายต่อราชสำนักอย่างแน่นอน
ในสายตาเหล่าท่านอ๋องแห่งตระกูลเฉิน นี่คือการหยามหมิ่นพวกเขา
หลูหลิงอ๋องตอบด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “แล้วเช่นนี้ตอนนี้จะทำอย่างไรดี”
“ทำอย่างไรดีหรือ”
จงซานอ๋องตบโต๊ะอย่างแรง แล้วพูดขึ้นด้วยความเดือดดาล “ถ้าเช่นนั้นก็กินอาจมไปแล้วกัน! อย่างไรเสียข้าก็เคยกินมานับหลายครั้งแล้ว มีอีกครั้งจะเป็นอะไรไป”