ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 3 จวนสวีในอดีต
ราชันย์แห่งหลิงไห่ มุขนายกอานหลินและคนอื่นๆ ล้วนทราบดี เริ่มตั้งแต่สามปีก่อน เมืองหลวงล้วนมีคนคอยส่งจดหมายให้แก่สำนักฝึกหลวงมาโดยตลอด
ไม่ว่า ท่านใต้เท้าสังฆราชจะอยู่ที่เทือกเขาหิมะ อยู่ในเมืองฮั่นชิวหรือว่าอยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ย จดหมายเหล่านั้นล้วนไม่เคยขาด
คนผู้นั้นช่วยวางแผนการหลายเรื่องนักผ่านจดหมาย โดยเฉพาะช่วงหลายเดือนมานี้
หลายคนกำลังคาดเดาถึงผู้ลึกลับที่เขียนจดหมายคือผู้ใดกัน
ราชันย์แห่งหลิงไห่เคยคาดเดาว่าคนผู้นั้นจะเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยหรือไม่ มุขนายกอานหลินกลับคิดว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นเฉินหลิวอ๋องมีมากกว่า
กระทั่งข่าวการสมรสเผยแพร่ไปทั้งดินแดน เฉินฉางเซิงเตรียมที่จะดำเนินกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อเป็นเถ้าแก่ ผู้คนถึงได้ทราบว่าที่แท้ผู้ที่ส่งจดหมายมาก็คือม่ออวี่
ในฐานะที่เป็นหญิงสาวที่มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์เทียนไห่ แม้แต่ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด หลายคนยังไม่เข้าใจ เหตุใดหลังจากจักรพรรดินีเทียนไห่สิ้นแล้ว ม่ออวี่จึงยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างสง่าผ่าเผยได้อีก แม้กระทั่งยามนี้ยังจะสมรสกับท่านนั้นอีกด้วย
หลายคนคิดว่า นี่อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างนางและเฉินฉางเซิง ทำให้ราชวงศ์เกิดความหวาดกลัว
ในปีนั้นถนนสายยาวเต็มไปด้วยหิมะและลมแรง ม่ออวี่และเจ๋อซิ่วนำภาพที่ใต้เท้าโจวทงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดชิ้นส่วนมือและเท้าเผยแพร่ออกมา ตรบจนกระทั่งวันนี้ยังคงไม่มีผู้ใดลืมได้เลย
แต่เฉินฉางเซิงตัดสินใจกลับเมืองหลวง เพียงแค่เพราะว่านางเขียนจดหมายแจ้งให้เขาไปเป็นเถ้าแก่จริง ๆ น่ะหรือ
แต่ราชันย์แห่งหลิงไห่และคนอื่น ๆ ไม่ได้คิดเช่นนั้น
พวกเขามองไปยังแผ่นหลังของเฉินฉางเซิง ล้วนรู้สึกได้ถึงความกดดันที่หนักหนานั้น
ไร้รูปร่างแต่กลับมีน้ำหนักราวกับท้องฟ้าที่มีน้ำหนักไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว
ในปีเดียวกันนั้น ในคืนที่หิมะตกหนัก ซางสิงโจวได้สนทนากับเฉินฉางเซิงที่สำนักฝึกหลวง
นอกเสียจากมังกรดำแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบเนื้อหาบทสนทนานั้นอย่าละเอียด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้หลายคนคาดเดาบางอย่างได้
ทั้งซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงน่าจะมีการบรรลุข้อตกลงบางอย่างกันไว้แล้ว
เมื่อเฉินฉางเซิงออกจากเมืองหลวง และกลายเป็นใต้เท้าสังฆราชองค์แรกที่ถูกเนรเทศในประวัติศาสตร์
เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นหลังจากนั้นตั้งแต่เทือกเขาหิมะ ไปจนถึงเมืองเวิ่นสุ่ย ไปจนถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และไปยังเมืองจักรพรรดิ
เมื่อต้องเผชิญกับการคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจและดินแดนเซิ่งกวงรวมถึงแผนการของไป๋ตี้ ในที่สุดทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งคู่ต่างก็ร่วมมือกัน พิสูจน์ให้เห็นว่าวิหารซีหนิงปกครองใต้หล้า และสถานการณ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายดูจะคลี่คลายลง
แต่ในยามนี้เฉินฉางเซิงตัดสินใจที่จะกลับไปยังเมืองหลวง ซึ่งหมายความว่าข้อตกลงจะเป็นโมฆะ
การเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่ละลายความสัมพันธ์ หรือจุดเริ่มต้นของสงครามภายในของเผ่าพันธ์มนุษย์กัน
……
……
ฤดูหนาวกำลังจะสิ้นสุดลง และฤดูใบไม้ผลิยังไม่มาถึง ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ยังคงหนาวเย็น
ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกเมือง แม่น้ำลั่วก็ยังคงสงบอยู่ และบนผิวน้ำก็ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ซึ่งดูเหมือนสายรัดเอวที่กว้างมากนัก
ทหารม้าสามพันนายนำขบวนของสำนักฝึกหลวง จากอีกฟากหนึ่งของขอบฟ้า เข้าสู่วิสัยทัศน์ที่ประชาชนมองเห็นได้
ราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตคนอื่น ๆ นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของยานพาหนะ
ต้นหลิวและสมบัติสำคัญอื่น ๆ จากพระราชวังหลี เปล่งแสงอันอบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมน
ผู้คนหลายหมื่นคนยืนอยู่สองข้างทางเข้าเมือง เพื่อต้อนรับการกลับมาของคณะทูตสำนักฝึกหลวง
ผู้คนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไป๋ตี้ แต่พวกเขารู้ดีว่าแผนการสมคบคิดของราชามารถูกทำลายแล้ว และการทรยศของเผ่ามารที่น่ากังวลที่สุดก็ไม่ได้เกิดขึ้น และทั้งหมดนี้เป็นผลงานพระราชวังหลี
ในฤดูหนาวอันยาวนานนั้น เหล่าผลไม้และดอกไม้ที่หายากและมีค่า ถูกโยนเข้าสู่อ้อมแขนของทหารม้าของสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น
หลายสายตาจับจ้องไปยังด้านในยานพาหนะที่สูงส่งที่สุดคันนั้น
ในสายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น นับถือ เคารพ หรือแม้แต่อารมณ์ที่บ้าคลั่ง
ได้ยินมาว่าสมเด็จใต้เท้าสังฆราชเสด็จกลับมาแล้ว
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมาด้วย
ในขณะที่ทั้งขบวนนเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ผู้คนทั้งสองฝั่งของถนนที่เป็นทางการก็พากันออมาข้างหน้า บรรยากาศในที่นั้นจึงเบียดเสียดหนาแน่นยิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะทหารรักษาการณ์ประตูเมืองปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ
อันหวาที่สวมชุดของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า นำเหล่าศิษยานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์นับพันคน คุกเข่าลงเบื้องหน้าของยานพาหนะนั้น
ต่อมา ผู้คนจำนวนมากก็คุกเข่าลงเหมือนกระแสน้ำ และภาพนี้ก็อลังการยิ่งนัก
……
……
เมืองหลวงไม่มีกำแพงเมือง นอกเสียจากยานพาหนะที่บินได้แล้ว ที่ ๆ สามารถมองออกไปได้ไกลๆ ก็คือสิ่งปลูกสร้างที่สูงมากเหล่านั้นในเมืองหลวง
สามปีที่ผ่านมา เทียนไห่เฉิงอู่ก็ล้วนพักอาศัยอยู่ในสวนที่อยู่นอกเมือง น้อยครั้งนักที่จะเข้าเมือง และก็น้อยมากที่จะเข้าพบฝ่าบาทเป็นการส่วนตัว ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองตระกูลเทียนไห่ เมื่อต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ต้องเข้มงวดกว่านี้ก็ไม่นับว่าเกินกว่าเหตุ
วันนี้เป็นข้อยกเว้น เขาได้จองเรือนสนที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับหอเฉิงหูเอาไว้ ทั้งยังเชื้อเชิญขุนนางที่น่าจับตามองหลายคนขึ้นไปดูจากมุมสูงมองจากที่ไกล ๆ ในบรรดาขุนนางเหล่านั้นก็มีขุนพลเทพ ที่สำคัญก็คือยังมีจงซานอ๋องอีกด้วย
เมื่อมองออกไปไกล ๆ ได้เห็นเหล่าผสกนิกรเรือนหมื่นที่ต่างก็คุกเข่าลงราวกับคลื่นน้ำ เหล่าขุนพลเทพเหล่านั้นสีหน้าก็เครียดขึ้งทันที ในฐานะที่เป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเจ้าสำนักเด็ดดารา เฉินกวนซงผู้นั้น พวกเขาได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากซางสิงโจว ภาพตรงหน้าเยี่ยงนี้แน่นอนว่าต้องทำให้พวกเขารู้สึกลำบากใจ
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ผสกนิกรเหล่านั้นแสดงความเคารพใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นสัจธรรมที่ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้
และในพิธีรวมสถานศึกษาที่สถานศึกษาหนานซี ใต้เท้าสังฆราชก็ได้ลงมือสังหารขุนพลไป๋หู่ด้วยมือตนเองต่อหน้าเซี่ยงอ๋องด้วย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ราชวงศ์จะทำเช่นไรได้เล่า
เทียนไห่เฉินอู่มองไปยังสตรีที่สวมชุดของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้น เขาค่อย ๆ เลิกคิ้วขึ้น ก่อนเอ่ยถาม “คนผู้นี้คือผู้ใด”
นอกเสียจากความสัมพันธ์ระหว่างมุขนายกอานหลินแล้ว อานหวาคือนักพรตที่ธรรมดาท่านหนึ่ง แต่ยามนี้นางกลับมีชื่ออย่างมากในเมืองหลวง โดยเฉพาะทางตอนเหนือของดินแดน ไม่นานก็มีผู้รับใช้นำประวัติของนางมารายงาน
“สตรีโง่เขลา” เทียนไห่เฉิงอู่เอ่ยเสียงต่ำ “ช่างไม่รู้ความเสียจริง คิดจะต่อต้านกับราชวงศ์หรือ”
“ต่อต้านหรือ นี่คือการร่วมใจของผสกนิกร และนี่ก็ล้วนคือสตรีโง่เขลาที่ท่านเอ่ยออกมาทำขึ้น”
สีหน้าของจงซานอ๋องยังคงดูไม่ได้ ราวกับทุกคนบนโลกล้วนติดค้างเขาอยู่ อาจเป็นเพราะว่าเนื่องจากเขายังคงไม่เคยลืมมูลสัตว์ที่ถูกบังคับให้กลืนลงไปในปีนั้นได้ แต่น้ำเสียงเขาก็สงบลงมาก
เทียนไห่เฉิงอู่เข้าใจในเจตนาเขา เฉินฉางเซิงจากดินแดนไปสามปี ก็ได้รับความจงรักภักดีมากมายถึงเพียงนี้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนว่าการมีชื่อเสียงมากมายของเขานี้เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ของผู้เลื่อมใสที่คลั่งไคล้ในพระราชวังหลีโดยเฉพาะอานหวา
สายตาของเขาย้ายจากอานหวามายังยานพาหนะศักดิ์สิทธิ์สองคันนั้นที่อยู่เบื้องหลังแล้วเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อย
พลังขั้นเทพของเขา แน่นอนว่าต้องสามารถมองออกได้อย่างง่าย ๆ ว่าบนยานพาหนะสองคันนั้นไม่มีผู้ใด
……
……
สามปีต่อมา เฉินฉางเซิงกลับมายังเมืองหลวง
เขาไม่ได้ตรงกลับไปยังพระราชวังหลี ไม่ได้กลับไปยังสำนักฝึกหลวง แต่ก็ไม่ได้ไปหาท่านพี่ในวังหลวง แต่ตรงกลับไปยังจวนจวนหนึ่ง
หลายปีก่อน เมื่อเขากลับมายังเมืองหลวง ก็ตรงกลับมายังที่นี่ ไม่ได้ไปยังเสาศิลาและไม้เลื้อยที่อยู่นอกพระราชวังหลี และก็ไม่ได้ไปยังสุสานเทียนซู ครานั้นเนื่องด้วยเหตุผลนี้ ยังถูกฮูหยินเจ้าของจวนนี้ดูแคลนเป็นอย่างมาก
จวนแห่งนี้แน่นอนว่าเป็นจวนขุนพลเทพตงอวี้
จวนสวียังคงเหมือนในปีนั้น เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ปกครองบ้านเหมือนปกครองทหารไม่ใช่คำโกหกเลย
สาวใช้ทั้งหมดถูกไล่ออกไป และมีเพียงไม่กี่คนในห้องโถงดอกไม้
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ฮูหยินของสวีซื่อจี ท่านยายฮวา และซวงเอ๋อร์ล้วนยืนอยู่ในห้องโถง
บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนมาก แม้แต่ความตึงเครียดที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย ราวกับถูกแช่แข็งไว้ก็มิปาน