ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 30 เหล่าศิษย์ที่ไม่ออก
ที่ตั้งของกระบี่หลีซานและกระบี่สถานศึกษาหนานซีถูกจัดให้อยู่ในสำนักฝึกหลวง
โก่วหานสือและคนอื่นสนิทชิดเชื้อกับเยี่ยเสี่ยวเหลียนและลูกศิษย์คนอื่นของสถานศึกษาหนานซี และพวกเขาก็คุ้นเคยกับคนของสำนักฝึกหลวง
ถังซานสือลิ่วและกวนเฟยไป๋พบกันแต่เช้า ก็เริ่มฟาดฟันเยาะเย้ยกันด้วยวาจาเราะร้าย หรือที่ว่ากันว่าหัวเราะเยาะเย้ย
เมื่อเจอสถานการณ์เยี่ยงนี้ คนที่เหลือต่างก็ชินเสียแล้ว หรือบางทีอาจจะดูจนเบื่อแล้ว จึงคร้านที่จะทัดทาน จึงรุดไปอาบน้ำชำระล้างตามการแนะนำของซูม่ออวี๋
ในคืนนั้น ฉัสำนักฝึกหลวงจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ ห้องครัวเล็กๆ ด้านตรงข้ามของทะเลสาบเริ่มใช้ขึ้นมาอีกครั้ง ยังมีกุ้งมังกรสีฟ้าที่ค่อนข้างตัวเล็กราคาถูกที่ถูกส่งมาเหมือนไม่ต้องการเงิน นี่ทำให้เยี่ยเสี่ยวเหลียนและเด็กสาวในสถานศึกษาหนานซีเบิกบานใจยิ่งนัก บรรดาศิษย์ของสำนักหลีซานที่มีที่มายากเค้นต่างก็คุ้นชินกับชีวิตหรูหราเยี่ยงนี้
แน่นอนว่า นี่ทำให้กวนเฟยไป๋ถากถางถังซานสือลิ่วอีกครั้ง
ยิ่งดึกเข้าไปทุกที กองไฟริมทะเลสาบยังไม่ดับลง เหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักหลีซานสองสามท่านและผิงเซวียน ศิษย์พี่หญิงอี้เฉินทั้งสองนำพวกที่ไม่ชอบดูความรื่นเริงจากไปเสีย ถังซานสือลิ่วไม่อยากเลิกราง่ายๆ จึงตะโกนเรียก เฉินฟู่กุ้ย ฝูซินจือ ซูเหวินปินและนักเรียนหลายคนรวมถึงไป๋ไช่ไปจัดโต๊ะอาการ เวลาไม่นานสงครามก็เริ่มต้นอีกครั้งราวกับได้กลับไปยังงานเลี้ยงสำนักไม้เลื้อยในปีนั้นก็ไม่ปาน
เมื่อได้เห็นภาพนี้โก่วหานสือก็หัวเราะออกมา พร้อมหันหลังเดินกลับไปยังตึกเล็กๆหลังนั้นที่อยู่ในความมืดไม่มีผู้ใดสังเกตถึงการเคลื่อนไหวของเขาเลย
บนระเบียงชั้นบนสุดของตึกหลังนั้น เขามองเห็นเฉินฉางเซิงที่กำลังยืนอาบแสงดาวอยู่
โก่วหานสือแสดงความเคารพอย่างสงบนิ่งและจริงใจ หลังจากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่า “ตอนนี้หากต้องการจะพบหน้าท่านช่างเป็นเรื่องยากเสียจริง”
เขาไม่ได้เอ่ยเรียกนามเขาด้วยความยกย่อง เนื่องจากเขาได้ทำความเคารพท่านใต้เท้าสังฆราชเสร็จสิ้นแล้ว ในยามนี้คือเขากำลังสนทนากับสหายเก่าแก่
คำพูดนี้มีเจตนาสองด้าน
นอกเสียจากผลกระทบที่มาจากการเปลี่ยนแปลงฐานะและตำแหน่งของเฉินฉางเซิงแล้ว มากกว่านั้นก็คือช่วงนี้ในหลายวันนี้เฉินฉางเซิง เก็บตัวเงียบอยู่ในพระราชวังหลีไม่ได้ปรากฏตัวออกมา
ไม่ว่าจะเป็นสหายเก่าอย่างโก่วหานสือนี้หรือว่าผู้สูงศักดิ์เยี่ยงหญิงชราจากตระกูลมู่เจ้อนี้ ล้วนยากที่จะพบเขาได้
หลายคนขบคิดแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ภายในเวลาที่หน้าประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้ ราวกับเรื่องราวเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
หรือว่าเขาเองไม่ได้กังวลในเรื่องความสั่นคลอนในเมืองหลวง ไฟสงครามใกล้จะมาถึงแล้วหรือนี่
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับโก่วหานสือว่า “หลายวันมานี้ข้าล้วนแต่กำลังฝึกกระบี่”
เดิมทีนี่เป็นคำกล่าวที่พระราชวังหลีประกาศออกสู่ภายนอก
โก่วหานสือรับรู้ได้ถึงลมปราณของเขา แน่ชัดว่าธรณีประตูนั้นยังห่างไกลจากเขามาก จึงยิ่งไม่เข้าใจ
ภายในเวลาที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้ หากมิใช่มีความเป็นไปได้ที่จะทะลุขั้นเทพได้ จะให้จิตวิญญาณทั้งหมดล้วนวางไว้บนหนทางบำเพ็ญพรตได้อย่างไร
ต้องให้เจ้าอย่าทำอย่างนี้จริงๆ อย่างนั้นจะสงบใจได้อย่างไรเล่า หรือว่าเจ้าไม่กลัวเสียสติหรือ
จู่ๆ โก่วหานสือก็มองเห็นแววตาของเฉินฉางเซิง ทันใดนั้นก็ราวกับเขาก็เข้าใจได้ถึงสิ่งใด
ดวงตาของเฉินฉางเซิง สว่างไสวยิ่งนัก แววตาเขาบริสุทธิ์ ราวกับน้ำในลำคลองที่ใสสะอาด ไร้ซึ่งการปนเปื้อนใด
…ที่สามารถสงบใจได้ถึงเพียงนี้ก็พอว่าเจตนานั้นแน่วแน่
โก่วหานสือเอ่ยถาม “ศิษย์น้องโหย่วหรงวางแผนเตรียมการเยี่ยงไร”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ทราบจริงๆ”
โก่วหานสือตะลึงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถาม “อย่างนั้นเหตุใดท่านจึงสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้”
โก่วหานสือได้ยินก็ยกยิ้ม ในที่สุดก็แจ้งแก่ใจแล้ว
ทุกท่านในสำนักหลีซานก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง ชิวซานจวินไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และก็ไม่ได้มอบมายการใด เนื่องจากทั้งดินแดนล้วนทราบดีว่าเขาจะเลือกอย่างไร
ต่อให้สวีโหย่วหรงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพลิกทั้งใต้หล้า เขาก็ยังจะสนับสนุนนาง
อย่างนั้นแน่นอนว่าเฉินฉางเซิงก็ต้องทำได้เช่นกัน
โก่วหานสือเดินไปยังด้านข้างของตัวอาคารที่อยู่ริมทะเลสาบ มองไปยังกองไฟที่อยู่ข้างทะเลสาบเบื้องล่าง และแสงไฟจากบ้านนับหมื่นที่อยู่นอกกำแพงก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ยากนัก”
เขาท่องคัมภีร์เต๋าได้คล่องแคล่ว เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่คิดแผนการของสำนักหลีซาน ระหว่างทางมาที่นี่ก็คาดเดาความคิดของสวีโหย่วหรงถึงสิบกว่าหน สุดท้ายแล้วไม่ว่าทางใดก็ล้วนไปบรรจบอยู่ที่เดียว
เรื่องที่สวีโหย่วหรงทำ ตราบจนถึงตอนนี้ล้วนไม่มีผู้ใดกล้ารับรองแต่มีบางคนที่ได้รับข้อสรุปเดียวกัน
เหมือนกันตรงที่ต้องสังหารผู้คนแต่เมื่อเทียบกับปีก่อนที่หวังผ้อ เฉินฉางเซิงสังหารโจวทงท่ามกลางพายุหิมะแล้ว เรื่องที่สวีโหย่วหรงอยากทำนั้น ไม่รู้ว่ายากกว่ากี่เท่านัก
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “บางทีพวกเจ้าอาจจะคิดผิดแล้ว”
โก่วหานสือลอบคิด สถานการณ์ที่ศิษย์น้องสวีโหย่วหรงสร้างนี้ จะล้มเลิกง่ายๆ ได้หรือ
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่านางจะเลือกวิธีการที่ง่ายกว่านั้น”
โก่วหานสือราวกับคาดเดาได้ถึงสิ่งใด เอ่ยถามขึ้น “เขาเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านรู้สึกว่าเขาจะรับปากหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “มีโอกาสถึงสี่ส่วน”
โก่วหานสือเอ่ยถาม “แพ้ชนะหรือ”
เฉินฉางเซิงคิดก่อนเอ่ย “ยังเป็นสี่ส่วนหรือ”
โก่วหานสือส่ายหน้า ก่อนเอ่ย “มีเพียงสองส่วน”
นี่เป็นความคิดของเขา และก็เป็นความคิดของชิวซานจวินเช่นกัน และเป็นความคิดของเจ้าสำนักหลีซานเช่นกัน
หวังผ้อมีโอกาสเพียงสองส่วนที่จะเอาชนะซางสิงโจว
แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงทราบดีว่าสายตาของตนในด้านนี้ยังเทียบสำนักหลีซานไม่ได้ จึงเงียบไม่พูดจา
จู่ๆ โก่วหานสือเอ่ยถาม “หากว่าซางสิงโจวไม่กลับมาเล่า”
เฉินฉางเซิงคิด ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ทราบ”
โก่วหานสือมองเขาก่อนเอ่ย “เจ้าต้องรู้”
เฉินฉางเซิงมองไปยังแสงไฟของบ้านนับหมื่นดวงที่อยู่ในเมืองหลวง พลางนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้นเมื่อสามปีก่อน แววตาของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมาทันที
“ข้ารู้เพียงว่าข้าไม่ชอบคนตาย ไม่ชอบการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่”
โก่วหานสือเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “นี่คือความผาสุกของเหล่าอาณาราษฎรโดยแท้”
เฉินฉางเซิงกล่าวลาเขา แต่กลับไม่ได้เดินจากไป แต่กลับเดินเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในตึก
ห้องนั้นยึดติดกับด้านนอกตึกที่สุดอยู่ใกล้บันไดห้องนั้นคือห้องพักเดิมของเจ๋อซิ่ว
เฉินฉางเซิง เปิดตู้เสื้อผ้าออกมองไปยังอาภรณ์พื้นบางที่อยู่ด้านไหนนั้น พลางตกอยู่ในความคิดของตน
……
……
ก็เหมือนกับสามปีก่อนอย่างนั้น ทุกคนล้วนทราบดีว่าหวังผ้อมาถึงยังเมืองหลวง แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาอยู่ที่ใด
มีคนไปยังอารามถานเจ้อที่อยู่ใต้ต้นแปะก๊วน มีคนตามหาอยู่ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำลั่วอย่างไม่หลับไม่นอน ล้วนไม่มีผู้ใดพบเห็นแม้แต่เงาของเขา
หวังผ้อตอนนี้ หากไม่อยากถูกพบเข้า นอกจากซางสิงโจว ผู้ใดสามารถพบเจอเขาได้
หรืออาจจะเอ่ยจากอีกมุม เขายินดีให้ซางสิงโจวพบเท่านั้น
บรรยากาศที่น่าประหวั่นในเช้าวันหนึ่ง ในที่สุดก็เปลี่ยนแปลงเป็นเหตุการณ์จริงขึ้นมา
ภายในคืนเดียวในวังหลวงก็ได้รับฎีกามากกว่าสิบฉบับ
ฎีกาเหล่านี้ล้วนมาจากจวนอ๋องต่างๆ มาจากหน่วยงานต่างๆ มาจากพลังทหารหนุ่มที่เป็นตัวแทนของเผิงสือไห่ที่เป็นแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งตงเซียง
คำขอร้องของเขามีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือ ต้องสังหารกากเดนแห่งราชวงศ์เทียนไห่ให้หมดสิ้น
นับหวังผ้อว่าเป็นกากเดนนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งหลักการแน่นอน
นี่เป็นเพียงแค่เหล่าท่านอ๋องในตระกูลเฉินและบรรดาขุนนางอาวุโสในที่สุดก็แสดงออกในทัศนคติอย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกันจดหมายกว่าสิบฉบับก็ถูกส่งไปยังอารามฉางชุนในเมืองลั่วหยางตลอดทั้งคืนเช่นกัน
ด้านในหนังสือจดหมายเหล่านี้นั้นล้วนเป็นโลหิตแท้จริง
เหล่าขุนนางทั้งราชสำนักกรีดโลหิตร่างถ้อยคำ
หากนักพรตไม่ออกมา ใต้หล้าจะทำเยี่ยงไรเล่า
……
……
หากเฉินฉางเซิงอยากพบหวังผ้อ น่าจะสามารถพบได้ แต่เขาไม่ได้มีความหมายอย่างนี้
จดหมายที่ถูกส่งไปยังลั่วหยางเหล่านั้น ก็ ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้แม้สักครึ่งส่วน
นอกเสียจากตกดึกในคืนนั้นที่ได้พบกับโก่วหานสือในสำนักฝึกหลวง เขายังคงพำนักอยู่ในพระราชวังหลี ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น
นักพรตซือหยวนเร่งรุดมาจากเขตเฟิงกู่ ราชันแห่งหลิงไห่จดจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวของราชสำนักและเหล่าทหาร เขาเหนื่อยล้าอย่างที่สุด หู้ซานสือเอ้อร์เองก็ยุ่งเสียจนผอมไปเป็นรอบ
พวกเขายืนอยู่ด้านนอกห้องศิลา มองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่อยู่ด้านในทะเลกระบี่เต็มท้องฟ้า จนใจยิ่งนัก