ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 31 โลกที่ได้พบกันอีกครา
ไม่ว่ากระแสแรงต้านจะน่าประหวั่นเพียงใด เฉินฉางเซิงยังคงไม่ถามไถ่ เขาเอาแต่ฝึกกระบี่อยู่ในพระราชวังหลี สวีโหย่วหรงเองก็ไม่ทราบว่าทำอะไรอยู่ในจวนขุนพลเทพ
แต่เมื่อกระบี่พันเล่มได้กลับคือสู่ฝักซ่อนคมอีกครั้ง ราชันแห่งหลิงไห่รวมถึงคนอื่นๆ ก็อดไม่ไหว เดินเข้าไปด้านในของห้องศิลา
หู้ซานสือเอ้อร์ทำหน้าขมก่อนเอ่ย “ฝ่าบาท ท่านและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีความพร้อมและมีแผนอยู่ในใจ แต่คำถามก็คือ พวกเราต่างล้วนไม่ทราบว่าจะให้ความร่วมมืออย่างไร”
เฉินฉางเซิงมองไปยังพวกเขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้จริงๆว่านางจะทำการใด”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ หู้ซานสือเอ้อร์ตาค้าง สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนต่างก็ดูไม่ได้
คำตอบนี้ช่างเกินจากที่พวกเขาคิดไว้จริงๆ ทันใดนั้นเองต่างก็รู้สึกว่าความกดดันบนบ่าหนักขึ้นมากโข
มองไปยังสีหน้าของพวกเขา เฉินฉางเซิงทราบว่าอย่างไรเสียก็คงต้องเอ่ยอะไรสักอย่าง จึงถอนหายใจอย่างจนใจก่อนเอ่ย “ข้าจะไปถามดู”
……
……
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่ออากาศอุ่นขึ้น กิจการซุปกระดูกหม้อไฟบนถนนฝูสุยเริ่มย่ำแย่ ร้านค้าใกล้ตรอกซอยเริ่มปรับปรุงใหม่อีกครั้ง และกำลังเตรียมที่จะเปลี่ยนไปทำกิจการกุ้งนึ่งแล้ว และร้านที่ยังคงยังยืนหยัดจะทำก็ร้างมากเช่นกัน แต่หรือเพราะร่มกระดาษสีเหลือง ไม่มีใครสังเกตเห็นคู่หนุ่มสาวที่โต๊ะ
ฝาหม้อที่หนักอึ้งปิดอยู่บนหม้อเหล็กที่กำลังเดือนปุดๆ มีไอร้อนมีขาวออกมาจากด้านข้างของฝาหม้อไม่หยุด จนพอคาดเดาถึงความดันที่อยู่ด้านในได้เลย
สายตาของเฉินฉางเซิงมองผ่านไอร้อนไป ทอดตกอยู่บนใบหน้างดงามของสวีโหย่วหรง คำกล่าวหยุดลง
สวีโหย่วหรงเอ่ย “อยากถามอันใดก็ถาม ข้าน่ากลัวอย่างนั้นเลยหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ได้ยินว่าหญิงผู้เฒ่าจากตระกูลมู่เจ้อและผู้นำตระกูลอู๋ล้วนหวาดกลัวเจ้า”
สวีโหย่วหรงไม่ได้สนใจเขา หันกลับไปหาเถ้าแก่ก่อนตะโกนว่า “เอาสุราบุปผาสาลี่มาหนึ่งกา”
เฉินฉางเซิงมองใบหน้าด้านข้างของนางก่อนเอ่ย “โก่วหานสือเอ่ยว่าก่อนหน้าที่เจ้าจะจากสถานศึกษาหนานซีไป ได้เชิญให้หญิงผู้เฒ่าจากตระกูลมู่เจ้อและผู้นำตระกูลอู๋ไปเล่นไพ่กันในเมืองหรือ”
สวีโหย่วหรงยืนมือไปหยิบกาน้ำชาร้อนๆ ลงมือล้างชามและตะเกียบแทนเขา พลางเอ่ย “ชาวเทียนหนานชอบทำเยี่ยงนี้ก่อนทานอาหาร ถึงแม้ว่าข้าจะคิดว่าทำแบบนี้จะไม่เกิดสิ่งใดก็ตาม”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ในการดวลไพ่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สวีโหย่วหรงเห็นว่าไม่มีทางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้แล้วแน่แท้ จึงสบตาเขาอย่างเบื่อๆ ก่อนเอ่ย “ก็นั่งไปอย่างนั้นครึ่งชั่วยามเล็กๆ อย่างไรเล่า จะมีเรื่องอันใดกันได้”
ครานั้นนางเร่งรุดจะไปเมืองจักรพรรดิ ไม่มีเวลามากมายจริงๆ แต่ก็เพียงพอที่นางจะเอาชนะหมากทั้งหมดที่ตนต้องการแล้ว
เฉินฉางเซิงนึกถึงโต๊ะไพ่นั้นที่อยู่ในบ้านหลังเก่าของตระกูลถังในเมืองเวิ่นสุ่ยรวมไปถึงคำพูดเหล่านั้นที่ท่านผู้เฒ่าถังเคยกล่าวยิ่งประหลาดใจ
สวีโหย่วหรงเอ่ย “วันนี้ซวงเอ๋อร์ได้มาแม่น้ำไคเหอมาหลายตัว ข้าต้องกลับแล้ว”
คำนี้คือการเร่งรัดและก็คือการเอ่ยเตือน ในเมื่อที่สุดแล้วต้องมาถามข้า อย่างนั้นก็เชิญถามเรื่องสำคัญเถิด
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เดิมทีข้าไม่อยากถาม เนื่องจากเกรงว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่ดี”
หลายวันช่วงนี้เขาเอาแต่หลบอยู่ในพระราชวังหลีเพื่อฝึกกระบี่ ไม่พบหน้าผู้ใด นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง
เถ้าแก่นำสุราดอกสาลี่ส่งมา ในขณะเดียวกันก็ยกฝาหม้อขึ้น ก่อนโยนหมั่นโถวต้นหอมสีขาวหิมะสิบกว่าลูกเข้าไป ก่อนเอ่ย “ทานได้แล้ว”
สวีโหย่วหรงหยินช้อนไม้ยืนลงไปก้นหม้อซุปกระดูกวัว คนแรงๆ สองสามที ก่อนทำท่าเชื้อเชิญไปทางเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงมองไปยังซุปกระดูกวัวที่มันย่องและหมั่นโถวต้นหอมที่ชุ่มไปด้วยน้ำซุป เขาทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน
ในปีนั้น ครั้งแรกที่เขาได้มาทานซุปกระดูกกลัวที่นี่เนื่องจากตื่นเต้นมาก ดังนั้นจึงรับประทานอย่างตั้งอกตั้งใจ
แต่ในครั้งนี้ เขาถึงได้พบว่าถึงแม้ว่าจะรสเลิศ แต่นี่มันไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย
“บางครั้งพวกเราก็ไม่ควรจะคิดเรื่องราวต่างๆ ให้มันซับซ้อนเกินไป”
สวีโหย่วหรงใช้ตะเกียบยาวคีบเอาชิ้นเนื้อที่มีกระดูกห้าส่วน เนื้อสามส่วน เอ็นสองส่วนมาวางในชามเขา
คำกล่าวนี้แน่นอนว่ามีความหมายสองนัย
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางก่อนเอ่ยถามอย่างจริงจัง “ง่ายอย่างนั้นเลยเชียวหรือ”
สวีโหย่วหรงใช้กริยางดงามอ่อนช้อยรับประทานเนื้อที่ติดอยู่บนกระดูก แต่ทุกอย่างกลับรวดเร็วยิ่งนัก
กระดูกที่สมบูรณ์และพื้นผิวสะอาดหนึ่งชิ้น ตกลงบนโต๊ะ จนเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
ก็ราวกับขุนนางที่ตัดสินคดี ก็ราวกับนักเล่านิทานที่เริ่มต้นเล่าเรื่อง
สวีโหย่วหรงเริ่มโจมตีอาหารในหม้ออีกครั้ง เอ่ยตามอำเภอใจว่า “ใช่แล้ว ข้านั้นอยากบังคับให้ซางสิงโจวมาเมืองหลวง”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนถาม “เพราะเหตุใด”
สวีโหย่วหรงเงยหน้าขึ้น มองสบตาเขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “เรื่องจากเขาไม่ยินดีที่จะพบท่าน”
ภายนอกฤดูใบไม้ผลิเริ่มอบอุ่นขึ้น ไฟในเตาร้อนมาก และในร้านก็ร้อนนิดหน่อย เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าร่างกายของเขาอบอุ่น และสบายขึ้นมาก
“อย่าโกรธเพราะเรื่องนี้เลย”
เขาเอ่ยกับสวีโหย่วหรงว่า “เขาไม่ยอมพบข้า หรือบางทีอาจจะเนื่องด้วยเขาไม่กล้าพบหน้าข้า”
“คราแรกในสำนักฝึกหลวงเมื่อยามที่ต้องเผชิญหน้ากับหลินกงกง เจ้าก็พูดแบบนี้ ต่อมาเมื่ออยู่ต่อหน้าซางสิงโจว เจ้าก็พูดเยี่ยงนี้เช่นกัน”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ต่อให้เป็นเยี่ยงนี้จริงๆ แต่ข้ายังไม่ดีใจ”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เพราะเหตุใดเล่า”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “เขาไม่กล้าพบท่าน นั่นเป็นเพราะรู้สึกผิดต่อท่าน รู้สึกผิดเรื่องจากเขาไม่เคยทำดีต่อท่าน และจวบจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ไม่เคยคิดจะแก้ไขปัญหานี้เลย”
ใช่แล้ว ซางสิงโจวไม่มีความปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหาในข้อนี้ แต่นางมองว่า นี่คือปัญหาที่ยุ่งยากที่สุด
หลังจากจบสิ้นการเดินทางของเมืองจักรพรรดิ เฉินฉางเซิงและซางสิงโจวถึงแม้ว่าจะยังคงห่างเหินกันไป แต่ในความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นผ่อนคลายลงไปมาก
ซางสิงโจวยอมรับโดยนัยว่าให้เขากลับมาเมืองหลวงได้ ไม่ได้ทำการใดที่เป็นการหยุดยั้งแต่นี่ยังคงไม่เพียงพอ
เขาก็ราวกับกระบี่เล่มใหญ่ที่ไร้ตัวตนเล่มหนึ่ง ที่ลอยล่องอยู่เหนือศีรษะของเฉินฉางเซิง และพร้อมจะตกลงมาได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนนั้นเท่านั้น
“เขาอยากสังหารท่านก็สังหารท่าน อยากดีกับท่านก็ดีกับท่านน่ะหรือ”
สวีโหย่วหรงยกจอกสุราขึ้นชิดริมฝีปากก่อนจะยกดื่มหมดในคราเดียว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปว่า “ถือดีอย่างไร”
เฉินฉางเซิงมองไปที่จอกสุรา ลังเลเล็กน้อย
สุราบุปผาสาลี่ถึงแม้ว่าจะดูเย็นฉ่ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วเผ็ดร้อนยิ่งนัก อีกทั้งดีกรียังแรงอีกด้วย
สุดท้ายเขาก็จิบแผ่วเบาไปหนึ่งคำ แววตาปรากฏร่องรอยสีเลือดเป็นริ้ว เอ่ยขึ้น “อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ข้า
มองเห็นท่าทางของเขาแล้ว สวีโหย่วหรงรู้สึกโกรธเล็กน้อย นางเอ่ยขึ้น “แต่ข้านี่สิถึงจะเป็นคู่หมั้นของท่าน”
เฉินฉางเซิงมองนางอย่างตะลึง ไม่เข้าใจถึงตรรกะความเชื่อมโยงระหว่างสองประโยคนี้
สวีโหย่วหรงรับจอกสุราในมือเขามา ก่อนกระดกเหล้าที่เหลือเสีย”
“คนที่จะสามารถปฏิบัติต่อท่านได้ตามอำเภอใจเยี่ยงนี้ได้ มีแต่ข้าเท่านั้น คนอื่นผู้ใดก็ไม่ได้ทั้งนั้น ซางสิงโจวก็ไม่ได้”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าสุรานี้เผ็ดร้อนยิ่งนัก ไม่อย่างนั้นเหตุใดตนเพิ่งจะดื่มไปเพียงคำเดียว ก็รู้สึกได้เลยว่าร่างกายนั้นร้อนกว่าเดิมแล้ว
เขาทั้งยังกังวลว่าสวีโหย่วหรงดื่มสุราอย่างเร่งรีบถึงเพียงนี้จะเมาหรือไม่ จึงรีบคีบเอาหมั่นโถวต้นหอมที่ยังไม่ชุ่มน้ำซุปวางในชามนาง บอกใบ้ให้นางรีบทานเสีย
สวีโหย่วหรงรู้สึกเบื่อเต็มทน แต่ยังคงก้มหน้าทานหมั่นโถวต้นหอมนั้นเสีย
ไปน้ำในหม้อค่อยๆ ลดลงแล้ว บรรยากาศในร้านจึงชัดเจนขึ้นแล้ว เฉินฉางเซิงมองไปที่ใบหน้านาง รู้สึกสงบยิ่งนัก ไม่คิดอยากซักถามสิ่งใดอีก
หากนางบังคับให้อาจารย์มาเมืองหลวงได้จริง หลังจากนั้นจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น อีกประการหนึ่งเหตุใดนางจึงแน่ใจว่าอาจารย์จะดำเนินการทุกอย่างตามความคิดของนางกัน
สวีโหย่วหรงเงยหน้าขึ้น มองสบตาเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ กังวลเรื่องใดอยู่