ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 32 มองเห็นแสงยามเช้าอีกครั้ง
สวีโหย่วหรงเอ่ย “หากเขาไม่มา เมืองหลวงจักต้องโกลาหลเป็นแน่ เผ่าพันธุ์มนุษย์หากเกิดความวุ่นวายภายในก็ยากที่จะทำให้สงบ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เอาเกาลัดออกจากกองไฟ เดิมทีก็เป็นกลวิธีที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดอยู่แล้ว”
“อำนาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์สำหรับเขาแล้วไม่มีความหมายอะไรมาตั้งแต่แรก ที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือภาพรวมต่างหาก”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “เหตุใดที่ศาลทหารซงซาน ที่เมืองเวิ่นสุ่ย ที่สถานศึกษาหนานซี ที่เมืองจักรพรรดิ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจของพระราชวังหลีจึงเอาแต่ถอยหลังไม่หยุด จนกระทั่งทำให้ตนเองได้กลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวเดียวดายเล่า มิใช่ว่าเขาปรารถนาดีต่อท่าน มีความปรารถนาดีต่ออาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า แต่เนื่องจากเขาคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เจ้าหมายถึงเดินทางขึ้นเหนือหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ไม่ผิด จุดประสงค์เดียวที่เขายังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือทำลายเผ่ามาร เนื่องด้วยเรื่องนี้ เขาสามารถสละซึ่งสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “แต่ไม่รวมถึงตัวเขาเองแน่ๆ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ใช่ เนื่องจากเขาต้อง เห็นด้วยตาตนเอง จะพูดให้ถูกก็คือมองเห็นกองทัพทหารยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์โจมตีเมืองเสวี่ยเหล่าในวันนั้นด้วยตาตนแทนจักรพรรดิไท่จง”
หากให้ประชาชนทั่วไปมาได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ น่าจะมองว่าซางสิงโจวเป็นดั่งนักปราชญ์ได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าก็ต้องมองว่าสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงเป็นพวกชอบต่อต้าน
แต่ในเรื่องนี้ เดิมทีก็ไม่มีฝ่ายดีฝ่ายเลว มีเพียงความสัมพันธ์ระหว่างซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงเท่านั้น จึงจะมีผิดถูก
“แต่วันนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกเรายินดีจะเห็นเช่นเดียวกัน”
เฉินฉางเซิงมองไปยังสวีโหย่วหรงพลางเอ่ยเตือน “พวกเราสามารถไม่คำนึงถึงสถานการณ์ในภาพรวมได้หรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “เหตุใดจะไม่ได้เล่า”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าแต่เจ้าก็ไม่ใช่คนอย่างนี้นี่นา
สวีโหย่วหรงหัวเราะอย่างงดงาม ก่อนเอ่ย “แต่สำหรับเรื่องนี้ให้ท่านบอกว่าข้าเป็นหญิงสาวที่หัวแข็งและเอาแต่ใจคนหนึ่งก็พอ”
เฉินฉางเซิง รู้สึกว่านางงดงามนัก นอกเสียจากในสวนโจวแล้ว งดงามที่สุด
แต่เขาก็ยังเอ่ยต่อว่า “อาจารย์ยังคงจะไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำให้เมืองหลวงโกลาหลแน่นอน”
สวีโหย่วหรงเลิกคิ้ว ก่อนเอ่ย “เพราะเหตุใดกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เนื่องด้วยเขาทราบดีว่าข้าจะต้องหยุดยั้งเจ้าแน่นอน ข้าต้องไม่ทำตาปริบๆ มองเมืองหลวงเกิดความโกลาหลแน่ ประชาชนพลัดพรากกระจัดกระจาย บาดเจ็บล้มตาย โลหิตไหลหลั่งดุจธารา”
ในร้านค่อนข้างเงียบ กระดูกวัวที่อยู่ในหม้อต้มจนเปื่อยแล้วเกิดเสียงดัง ปุดๆ ฟังแล้วคล้ายกับแมวน้อยทำเสียงแง่งอน
สวีโหย่วหรงอมยิ้มก่อนเอ่ย “คำถามก็คือท่านจะหยุดยั้งข้าใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ นางก็ลุกยืนขึ้น
เด็กสาวสถานศึกษาหนานซีกว่าสิบคนสวมอาภรณ์ทางการเดินเข้ามาในร้าน
สวีโหย่วหรงผายมือออกสองข้าง
เด็กสาวสองคนหยิบเอาผ้าขนหนูร้อนๆ ออกมาบรรจงเช็ดมือทั้งสองข้างของนางให้สะอาด
สวีโหย่วหรงมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “เมื่อข้าตัดสินใจคิดจะทำเรื่องใดแล้วแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งข้าได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ต่อให้เจ้าทำเรื่องเหล่านี้เพื่อข้าน่ะหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ท่านนั้นเป็นเหตุผลแค่เพียงครึ่งเดียว”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “อีกครั้งหนึ่งคือจักรพรรดินีเทียนไห่หรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ไม่ผิด แต่ท่านไม่สามารถหยุดยั้งข้าได้ ต่อให้เหนียงเหนียงฟื้นคืนชีพมาก็ไม่สามารถหยุดยั้งให้ข้าทำเรื่องราวเหล่านี้ได้”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ นางก็เดินออกนอกร้านไป
ต้นหลิวเก่าแก่ที่อยู่บนถนนแตกยอดหน่อใหม่ ดื่มด่ำความงดงามของชีวิตภายใต้อุณหภูมิอันอบอุ่น
สวีโหย่วหรงมองไปในท้องฟ้าไม่รู้ทางใด นึกถึงเรื่องที่ม่ออวี่เคยเอ่ยกับตนเรื่องหนึ่ง
เมื่อครั้งเฉินฉางเซิงนำหนังสือสมรสเข้ามาในเมืองหลวง บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นที่ทราบเรื่องนี้เข้าต่างก็กำลังกังวลใจ จักรพรรดินีเทียนไห่เคยเอ่ยไว้
‘นางอยากแต่งกับผู้ใดก็แต่งกับผู้ใด ไม่อยากแต่งกับผู้ใดก็ไม่ต้องแต่ง’
ในสายตาของจักรพรรดินีเทียนไห่ สวีโหย่วหรงต้องทำเยี่ยงนี้แน่ และสามารถเข้าใจได้ว่านี่เป็นความหวังของนางที่มีต่อสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงมองไปยังท้องฟ้าผืนนั้น คิดอย่างสงบนิ่ง เหนียงเหนียง ยังคงเป็นท่านที่เข้าใจข้าที่สุด
……
……
สวีโหย่วหรงและเหล่าเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซีเพิ่งจะจากไป ฉากไม้ไผ่ด้านหลังร้านก็ขยับ ราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นเดินเข้ามา
เฉินฉางเซิงมองไปยังพวกเขาก่อนเอ่ยถาม “พวกเจ้าได้ยินแล้ว”
สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นค่อนข้างแปลก ในใจคิดนอกจากมองเห็นฉากพลอดรักแล้ว ยังได้ยินอะไรอีกหรือ
ในบทสนทนานี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องรักใคร่ใดๆ แต่ผู้ใดก็ล้วนมองออกถึงความรักและความสงสารที่ออกมาจากในใจสวีโหย่วหรงซึ่งมีต่อเฉินฉางเซิง
เป็นหญิงสาวทั่วไปที่อยากจะออกหน้าแทนคนรักด้วยใจแน่วแน่ สุดท้ายแล้วคนรักยังพูดจาเอ่ยหยุดยั้งนาง คิดว่าย่อมต้องโกรธเป็นแน่
แต่สวีโหย่วหรงกลับไม่โกรธ นางยังคงสงบนิ่ง หรือแม้แต่ยังอมยิ้มเล็กน้อย นี่เพราะอันใดกัน
เฉินฉางเซิงมองไปยังพวกเขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เนื่องจากนางทราบดีว่าข้าไม่มีทางหยุดยั้งนาง”
ราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ ตกตะลึงมาก ในใจลอบคิดว่าหากอาจารย์ไม่กลับเมืองหลวง ท่านใต้เท้าสังฆราชก็จะมองตาปริบๆ เห็นทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในสงครามนองเลือดอย่างนั้นน่ะหรือ
เฉินฉางเซิงคิดถึงบทสนทนาในคืนนั้นกับโก่วหานสือ ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ใช่จะไม่หยุดยั้งนาง แต่เชื่อว่านางจะไม่มีทางทำเยี่ยงนี้”
สวีโหย่วหรงไม่ได้โกรธ คิดว่าก็คงเชื่อใจเขาว่าจะต้องเชื่อมั่นในตนแน่นอน
คำกล่าวสุดท้ายเหล่านั้นที่เอ่ยเมื่อครู่ เป็นเพียงหมากกระดานหนึ่งเท่านั้น
นางเพียงใช้ดวงจิตขยับเล็กน้อย ก็จะสามารถใช้โลหิตหงส์ชำระล้างได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสดงท่าทางเยี่ยงนั้นด้วย
หมากกระดานนี้นั้นก็เพื่อให้พสกนิกรดู ยิ่งไปกว่านั้นคือให้ซางสิงโจวที่อยู่ไกลออกไปมองเห็น
เฉินฉางเซิงเดินมาด้านนอกร้าน ไม่ได้สังเกตสีหน้ากังวลนั้นของหู้ซานสือเอ้อร์
……
……
แสงของรุ่งอรุณส่องเอาเสาศิลาที่ไม่สูงนักเหล่านั้น สะท้อนเกิดเงาที่ยาวเล็กนับไม่ถ้วนบนพื้นดิน ไม่มีทางแยกตัวมามองประชาชนที่มาดูเรื่องอึกทึกได้
เหล่าหนุ่มกระทงทั้งหลายถือกระดาษเอาแต่ตะโกนอะไรบางอย่างไม่หยุด ผู้คนที่มาจากต่างถิ่นล้วนรอฟังอย่างประหลาดใจ บางครั้งก็รู้สึกซาบซึ้งเสียจนต้องล้วงเงินออกมา เหล่าพสกนิกรของเมืองหลวงที่ยังมาถึงไม่มากนัก เมื่อเห็นภาพจากสีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจออกมา ในใจคิดว่าราชสำนักหลวงหลายปีมานี้ นอกจากเหล่าอาจารย์ของสำนักการศึกษากลางและสำนักฝึกหลวงแล้ว ผู้ใดเคยเอาชนะได้เล่า
วันสอบใหญ่แห่งราชสำนักใกล้จะมาถึงแล้ว บรรดาเหล่านักพรตวัยรุ่นที่มาจากดินแดนต่างๆ มารวมตัวกันหน้าพระราชวังอีกครั้ง แสงอาทิตย์ส่องประกายร้อนแรงขึ้นทุกที ใบหน้าของพวกเขาถูกสาดส่องเสียชัดแจ้ง เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา เพียงแต่บุคคลที่รูปลักษณ์คล้ายเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยวที่สวมอาภรณ์ชุดเดียวคนนั้นคงไม่มีให้พบเห็นอีกแล้ว
ต่อให้เป็นวันสำคัญเช่นนี้ ใต้เท้าสังฆราชเฉินฉางเซิงยังคงไม่ออกหน้า ยังคงอยู่ในห้องศิลา
เมื่อเห็นราชันแห่งหลิงไห่และมหามุขนายกคนอื่นๆ รวมไปถึงหญิงชุดดำ ผู้คนต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก แต่กลับไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา
ตามเสียงระฆังที่ดังก้องกังวานขึ้น เหล่านักพรตหนุ่มเหล่านั้นก็ดำเนินเข้าไปยังด้านในของพระราชวังหลีตามถนนเสิน
……
……
เมื่อทุกสายตาในเมืองหลวงทอดตกลงเบื้องหน้าของพระราชวังหลี เบื้องหน้าของประตูศิลาที่หนักอึ้งบานนั้นของสุสานเทียนซูก็ปรากฏบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมา
ทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงและกองทหารอวี่หลินที่ร่วมกันรับผิดชอบปกป้องสุสานเทียนซู รวมไปถึงทหารเหล่านั้นและบรรดาผู้อาวุโสมุขนายกต่างๆ ก็ล้วนไม่มีใครหยุดยั้งคนผู้นั้น
เนื่องจากยามที่พวกเขามองเห็นคนผู้นั้น อีกฝ่ายได้เข้าไปอยู่ด้านในของสุสานเทียนซูแล้ว
คนผู้นั้นก้มไหล่ค้อมต่ำ เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกซักจนซีดขาว มองดูแล้วอับจนยิ่งนัก สีหน้าแววตาก็ดูราวกับทุกข์ระทมไม่น้อย
หากจะบอกว่าเขาเป็นปัญญาชน เขากลับดูคล้ายกับเจ้าของร้านที่ทำหน้าที่คิดบัญชีมากกว่า
แต่ในความเป็นจริงแล้วในตอนแรกเดิมทีเขาเคยทำงานอยู่ในห้องบัญชีของตระกูลถังในเมืองเวิ่นสุ่ยอยู่นานช่วงหนึ่ง
เขายังเคยสังหารผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่ามารนับไม่ถ้วนบนทุ่งหิมะ ยังเคยประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างอยู่ที่สำนักต้นไหว
เขาเผชิญกับมรสุมที่เยือกเย็นที่สุดในเมืองสวินหยาง และตัดต้นโลหะในเมืองหลวงอีกด้วย
ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ในอันดับต้นๆ ของประกาศเซียวเหยา และตอนนี้เป็นคนหนึ่งในประดานักปราชญ์เหล่านั้น
ในที่สุดหวังผ้อก็ปรากฏตัวขึ้น