ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 34 พ่อค้า
ในสุสานเทียนซูมีถนนหลายสาย แต่มีเพียงสายเดียวที่สามารถดำเนินไปจนถึงยอดของสุสานได้ นั่นก็คือถนนเสินที่ถูกปูด้วยศิลาหยกสีขาวเส้นนั้นทางด้านทิศใต้
ขึ้นจุดสูงสุดโดยถนนเสิน เป็นเรื่องที่มีความหมายเชิงประจักษ์ยิ่งนัก
มีเพียงฮ่องเต้และใต้เท้าสังฆราชรวมไปถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติดำเนินบนถนนเส้นศักดิ์สิทธิ์เส้นนี้ได้ นี่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดยังหาใดเทียบได้
ก่อนหน้าสวินเหมยก็มีผู้คนมากมายทดลองบุกถนนเสิน แต่นอกจากโจวตู๋ฟู ก็ราวกับไม่มีผู้ใดที่ประสบผลสำเร็จเลย
หวังผ้อจะบุกถนนเสินคือประสงค์จะบรรลุคำสัญญาที่มีต่อสหายเก่า คือการท้าทายต่อราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือการแก้แค้นต่อใต้เท้าสังฆราชและฮ่องเต้
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ยังจุดที่ลึกเข้าไปในหมู่พฤกษาของสวนร้อยหญ้า มองไปยังพื้นหญ้าที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านเคยกล่าวว่า นักพรตจี้คือขุนนางที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิไท่จงที่สุด หรือแม้แต่กระทั่งเป็นผู้ติดตามที่แสนจะวิปริตบ้าคลั่ง อย่างนั้นเขาจะยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
ลมอ่อนพัดใบไม้และต้นอ่อนที่เพิ่งโผล่พ้นพื้นดินมาไม่นาน จักรพรรดินีเทียนไห่นอนหลับยาวนานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนางได้
“คิดว่าจะต้องเป็นศัตรูกับบุคคลที่วิปริตเยี่ยงนี้ ก็ยังถือว่าตื่นเต้นเล็กน้อยจริงๆ”
สีหน้าของสวีโหย่วหรงสงบนิ่ง มองไม่ออกถึงในคำพูดคำจาของนางที่ดูตื่นเต้น มีเพียงขนตาของนางที่กะพริบแผ่วเบา ที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่แท้จริงของนางในยามนี้
เรื่องที่นางต้องทำหรือต้องตัดสินใจช่างน่ากลัวมากนัก หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะทำให้ไพร่ฟ้าพสกนิกรเรือนหมื่นต้องตายไปอย่างน่าสงสาร
ต้องตัดสินใจอย่างนี้ หรือให้ทั้งดินแดนเชื่อว่านางกล้าที่จะตัดสินใจเยี่ยงนี้ จักต้องให้นางมีปณิธานที่แก่กล้าเป็นอย่างยิ่ง
ปณิธานแรงกล้าอย่างที่สุด แน่นอนว่าต้องไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ และนี่ก็คือหนทางแห่งไท่ซั่งนั่นเอง
หางคิ้วของสวีโหย่วหรงขมวดแน่น มองดูแล้วอ่อนแอยิ่งนัก พาลให้คนพบเห็นรู้สึกเอ็นดู
ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นนางในแบบนี้มาก่อน
ต่อให้เป็นยามที่อยู่ในสวนโจวที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียจนใกล้จะเสียชีวิต ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดอย่างเฉินฉางเซิงก็ไม่เคยพบเห็น
มีเพียงถนนศิลาเส้นนั้นที่เกลี้ยงเป็นมันบนหุบเขาอัสดงและต้นไม้บนขอบเหวต้นนั้นที่เคยพบเห็น
นิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างแตะกันเบา ๆ ในสายลม
นางมองไปยังจุดที่ปลายนิ้วบรรจบกันก่อนจะเอ่ยกับตนเองว่า “เจ้าทำได้ ทำมันได้แน่นอน”
นางเงยหน้าขึ้นมามองเพียงผืนหญ้าที่นูนขึ้นเล็กน้อยผืนนั้น สีหน้าแววตากลับเป็นสงบนิ่ง
ความสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด นั่นก็คือความเฉยชา
อย่าว่าแต่ผืนหญ้า ต่อให้เป็นน้ำหลากที่ใหญ่หลวง ก็ไม่อาจทำให้นางสนใจได้
“ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์จงอยู่กับท่านตลอดกาล”
สวีโหย่วหรง หันหลังเดินกลับไปยังสวนร้อยหญ้า
ในขณะที่ชายกระโปรงของนางสะบัดพลิ้วไหว ดอกไม้ป่าก็งอกขึ้นมาบนพื้นหญ้าสีเขียว ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟสีทอง และกลายเป็นความว่างเปล่า
……
……
จากบ้านหลังเล็กของสวินเหมยไปจนถึงด้านใต้ของถนนเสินมิได้ไกลนัก ในคราแรกเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือรวมถึงคนอื่นๆเมื่อเร่งรุดไปถึงนั้น ก็ไม่ได้ใช้เวลามาเท่าใดนัก
แต่หวังผ้อกลับจากไปนานแล้ว
กระบี่โลหะไม่รู้ว่าถูกชักออกจากฝักเมื่อใด มันถูกเขากำไว้อยู่ในมือแล้ว
หากให้ผู้คนเห็นภาพนี้เข้า ต้องเกิดความวิตกและไม่เข้าใจเป็นอย่างมากแน่
ในปีนั้นขณะที่กำลังรบกับกิ่งต้นโลหะท่ามกลางพายุหิมะ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ชักกระบี่ จุ๊บจนสุดท้ายจึงได้ตัดขาดฟ้าดินด้วยกระบี่เดียว
เหตุใดวันนี้เขาจึงชักกระบี่ออกมาเสียแต่เนิ่นๆ เขาเตรียมที่จะฟาดฟันผู้ใดกัน
คนที่หวังผ้อจะฟาดฟันมิใช่มนุษย์
สุสานเทียนซูในวันนี้เงียบสงัดเสียจนเกินจริง มองไม่เห็นแม้นักพรตที่ทำหน้าที่ดูแลแผ่นป้ายอนุสรณ์ แม้แต่ผู้ดูแลแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่เสียที่แห่งใด
ต่อให้คนเหล่านั้นอยู่ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติมากพอที่จะให้เขาชักกระบี่ออกมาได้
ที่เขาต้องการจะฟาดฟันก็คือบรรดากิ่งก้านใบของต้นไม้ที่ยื่นกิ่งก้านสาขาออกมาขวางทาง รั้วเหล่านั้นที่ผุพัง ศิลาสีเขียวที่ขาดการทำนุบำรุงมานานหลายปีอีกทั้งยังไม่เป็นระเบียบเหล่านั้น
ตามทิศทางของกระบี่ที่ฟาดฟัน กิ่งก้านใบกลายเป็นเศษผง รั้วไม้ไผ่กลายเป็นผงธุลี ศิลาเขียวกลายเป็นอนู หลังจากนั้นจึงถูกลมพัดพาเอาไปเสีย ทั้งหมดกลับมาเป็นระเบียบเหมือนใหม่อีก
หลังจากที่เขาจากไป พื้นโคลนและร่องรอยกระบี่ที่ชัดเจนบนศิลาเขียวก็ค่อยๆ เลือนหาย เจตนากระบี่กับทุกซ่อนเอาไว้ลึกเข้าไปในที่ว่างราวกับปิดบังสิ่งใดเอาไว้อยู่
หวังผ้อดำเนินไปยังทานตอนใต้ของถนนนเสิน มองไปยังที่ที่เคยมีศาลาปรากฏอยู่
ตอนนี้ผู้คนต่างก็ทราบดีว่า ขุนพลเทพฮั่นชิงในตอนนั้นได้บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
มิน่าเล่าในคืนนั้นที่สวินเหมยตื่นขึ้นมาจากความฝัน ขณะที่อยู่จุดสูงสุดของยอดเขา ยังคงไม่สามารถผ่านด่านนี้ของเขาไปได้
วันนี้จะเป็นผู้ใดที่มาหยุดยั้งมิให้เขาบุกถนนเสินกัน
หวังผ้อไม่ได้ดำเนินไปทางถนนเสิน เขารอคอยคนผู้นั้นมาถึงอย่างเงียบๆ
กระบี่โลหะของเขากลับคืนสู่ฝักอีกครั้ง แต่อำนาจของกระบี่กลับยังคงเชื่อมอยู่ระหว่างฟ้าและดิน และเอาแต่เพิ่มกำลังขึ้นอย่างช้าๆ ไม่หยุด
เข้าไม่รีบร้อน เนื่องจากเวลายิ่งมาก อำนาจของกระบี่ที่ซ่อนสะสมอยู่ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ ตราบจนกระทั่งมันสามารถผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะไม่มีช่องโหว่ใดๆ อีก
อาจจะเป็นด้วยสาเหตุนี้ ไม่ต้องใช้เวลามาก บุคคลผู้นั้นที่เขารอคอยก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
สายลมทำให้น้ำใสในคลองตื้น ๆ เกิดระลอกคลื่นละเอียดนับไม่ถ้วนขึ้น ก่อตัวเป็นลวดลายที่สลับและซับซ้อนนับไม่ถ้วน
ลายน้ำดูเหมือนจะซ่อนความหมายอันมหัศจรรย์ของสวรรค์และโลก ซึ่งทำให้พลังกระบี่ของหวังผ้อเจือจางลงไปมาก
ซางสิงโจวปรากฏตัวขึ้นบนถนนเสิน แขนเสื้อของเขาโบกปลิว และผมสีดำของเขาถูกหวีเรียบเปร้ ดูแล้วเก่งกาจเหลือแสน
หวังผ้อเอ่ย “ช่างไม่มีอะไรแปลกใหม่เอาเสียเลย”
สำหรับการปรากฏตัวของซางสิงโจว เขาแทบจะไม่รู้สึกประหลาดใจเลย คิดว่าก็คงไม่มีผู้ใดที่จะรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
เมื่อบนโลกปรากฏบุคคลที่สามารถหยุดยั้งเขาบุกทะลวงถนนเสินขึ้นมาได้ นั่นก็คือซางสิงโจวนั่นเอง
ซางสิงโจวไม่ได้ตอบคำใด
เมื่อเทียบกับการพูดจาแล้ว เขาค่อนข้างให้ความสนใจกับผลลัพธ์ที่แท้จริงมากกว่า
เขามองไปยังหวังผ้อ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ราวกับกำลังเพ่งมองคนรุ่นหลังตนที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างที่สุด
แต่ความชื่นชมนั้น สุดท้ายแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความเสียดาย
ในแผนของเขานั้น หวังผ้อต่อมาภายในสงครามการต่อสู้ปราบปรามทางเหนือจะต้องเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง หรือแม้แต่กระทั่งภารกิจการโจมตีเมืองเสวี่ยเหล่าให้พังทลาย เขาก็เตรียมที่จะมอบหมายภารกิจนี้ให้กับอีกฝ่าย
ช่างน่าเสียดายที่ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่โดดเด่นเยี่ยงนี้ วันนี้ก็จะต้องเสียชีวิตลงแล้ว
ฝนห่าหนึ่งตกลงมาเหนือสุสานเทียนซูตามการมาเยือนของซางสิงโจว
นั่นมิใช่ฝนในฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นฝนธนู
ตามติดเสียงหึ่งๆ ที่ดังขึ้น ลูกธนูและหน้าไม้นับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับพายุฝน
ลูกธนูเหล่านั้นที่เกิดการเสียดสีกับอากาศอย่างรุนแรง ทำให้เกิดแสงไฟออกมา ราวกับมีแสงศักดิ์สิทธิ์กำลังเปล่งประกายออกมาอยู่ข้างในนั้น
หวังผ้อไม่ได้หันกลับมา เก้ากับรับทราบได้ถึงการมาถึงของพายุธนูแล้ว
เขาค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยอีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากองทัพอวี่หลินของสุสานเทียนซูนั้นจะมีธนูศักดิ์สิทธิ์มากมายถึงเพียงนี้
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าราชสำนักนั้นมีการคาดเดาถึงการปรากฏตัวของเขานะสุสานเทียนซูมาตั้งแต่นั้นเนินธนูศักดิ์สิทธิ์ที่มีจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ ถือเป็นกลวิธีน่ากลัวที่มีเป้าหมายการโจมตีสูงสุด
เดิมทีสามปีก่อนเมื่อเขาบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ริมแม่น้ำลั่ว ราชสำนักเองก็ได้เริ่มเตรียมตัวแล้วว่าจะสังหารเขาอย่างไร
ซางสิงโจวเดินอยู่บนถนนเสิน และอยู่ท่ามกลางการปกคลุมที่เต็มไปด้วยฝนธนูศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไม่ได้มีความคิดที่จะหลบหนีเลย เพียงแต่มองไปที่หวังผ้ออย่างเงียบๆ
ราวกับเขากำลังมองไปที่คนตายคนหนึ่ง
เขาบำเพ็ญพรตเต๋ามากว่าพันปี แน่นอนว่าต้องมีความสามารถในการต่อกรกับธนูศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยๆก็แข็งแกร่งกว่าหวังผ้อเป็นอย่างมาก
แต่หากเขาไม่หนีไป หวังผ้อก็จะไม่สามารถหนีไปได้
วิชากระบี่โลหะของหวังผ้อแข็งแกร่งมาก ในขณะที่ไม่สามารถฟาดฟันกับฝนธนูที่อยู่เต็มท้องฟ้า ก็คงไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของเขาได้เช่นกัน
ในตอนนี้เอง ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสุสานเทียนซูในป่าลึก จู่ๆ ก็บังเกิดแสงกระบี่ขึ้นมา
แสงกระบี่นั้นไม่ฉูดฉาด
มีวิหคถลาลมบางตัว ตกใจจนบินจากไปแต่ยังไม่ทันจะบินผลขอบอาณาบริเวณป่า ก็ถูกแสงกระบี่อีกสายหนึ่งฟาดฟันลงมาเสียแล้ว
แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นงดงามอย่างถึงที่สุด
ตามติดมาด้วย แสงศักดิ์สิทธิ์ที่มากมายขึ้นทุกทีที่แฉลบขึ้นในป่า