ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 36 ง่วงงุน
สวีโหย่วหรงตอบไวมาก ราวกับไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
แต่ซางสิงโจวและหวังผ้อทราบดีว่า นั่นเป็นเพราะว่านางได้เคยคิดมามากมายหลายรอบแล้วเกี่ยวกับคำถามข้อนี้ ถึงไม่ต้องคิดอีก
หวังผ้อ มองไปยังฝุ่นควันที่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีนอกสุสานเทียนซู ก่อนถอนใจ
ซางสิงโจวมองไปที่นางก่อนเอ่ย “เหตุใดข้าต้องตอบรับคำขอร้องของเจ้า”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “คำขอร้องเป็นเพียงวิธีพูดตามมารยาทเท่านั้นเนื่องจากข้าต้องเคารพท่านในฐานะที่เป็นอาจารย์ของเฉินฉางเซิง แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือข้อเรียกร้องของข้าที่มีต่อท่าน”
คำขอร้องและข้อเรียกร้องต่างกันเพียงสองคำเท่านั้น แต่ปณิธานที่หมายถึงกลับมีความหมายแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ตอนนี้บุคคลที่อาจหาญปฏิบัติต่อเขาอย่างแข็งกร้าวนั้น ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
“เพราะเหตุใด”
“เนื่องจากท่านจะบุกขึ้นเหนือ ท่านประสงค์จะทำลายล้างเผ่ามาร ท่านต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง”
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่ชาญฉลาดที่สุดบนแผ่นดินแห่งนี้ ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ระหว่างการตอบและถามอย่างง่ายๆ นี้ ล้วนมีความจริงที่ฝังลึกของวิถีพรตในจิตใจอยู่
เมื่อมองไปยังสถานการณ์ด้านนอกสุสานเทียนซู หากสงครามครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะชนะหรือแพ้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก และควันหลงที่ติดตามมานั้นก็จะลุกลามไปยาวนานหลายปี จุดบรรจบของทิศเหนือและทิศใต้จะกลายเป็นความหวังที่สูญสลายอีกครั้ง และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะตกอยู่ในความขัดแย้งภายใน ภายในหลายทศวรรษก็จะไม่มีโอกาสเอาชนะเผ่ามาร และรวมแผ่นดินใหญ่ให้เป็นหนึ่งเดียวได้
หลายปีหลังจากนั้น ซางสิงโจวไม่แน่อาจจะสิ้นเสียแล้วก็ได้
เขาจะไม่ยินยอมให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น
“ข้าไม่ชื่นชอบเทียนไห่ และก็ไม่ชอบซูหลี เนื่องจากพวกเขาต่อให้วิสัยทัศน์ไกลเพียงใด สุดท้ายแล้วยังคงยินดีจะมองเพียงตำแหน่งที่อยู่ของตนเท่านั้น”
ซางสิงโจวมองไปยังสวีโหย่วหรงก่อนเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “คาดไม่ถึงเลยว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นคนเยี่ยงนี้”
สวีโหย่วหรงสีหน้าไม่เปลี่ยนไป ก่อนเอ่ย “หากว่าแม้แต่ตำแหน่งใต้ฝ่าเท้ายังไม่สามารถยืนให้มั่นคงได้ วิสัยทัศน์ไกลจะมีประโยชน์อันใดเล่า”
ซางสิงโจวเอ่ย “วิสัยทัศน์ไม่ไกลพอ ก็ง่ายที่จะถือว่าตนนั้นสูงส่ง เจ้าคิดว่าลำพังแค่เจ้าก็จะทำให้ทั้งใต้หล้าโกลาหลได้หรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “เมื่อคนมีความคิดมากเข้า จิตใจก็ง่ายจะสับสน เมื่อคนจิตใจสับสน ใต้หล้าจะไม่โกลาหลได้อย่างไร”
คำกล่าวนี้หมายถึงเซี่ยงอ๋องและเฉินหลิวอ๋อง หมายถึงเหล่าขุนพลเทพที่เฉินกวนซงพร่ำสอนมา หมายถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักและผู้อาวุโสที่อยู่ในสำนักการศึกษากลาง หมายถึงคนทุกผู้ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ มีความคิดและความทะเยอทะยานต่อโลกใบนี้ หมายรวมไปถึงซางสิงโจวและตัวนางเองด้วย
“ขอเพียงข้าอยู่ที่นี่ ใต้หล้าก็จะไม่มีทางโกลาหลขึ้นมาได้”
สีหน้าของซางสิงโจวสงบยิ่งนัก แต่กลับมีความมั่นใจอย่างหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกเศร้าใจได้เลย
สวีโหย่วหรงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “คนเราสุดท้ายก็ต้องตาย ท่านเองก็ไม่ยกเว้น”
ซางสิงโจวมองไปยังลูกศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีเหล่านั้น ทั้งยังมองหวังผ้อ ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้สึกว่าวันนี้สามารถสังหารข้าได้หรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ในตอนแรกสุด ข้าเข้าใจว่าสามารถสังหารท่านได้แน่นอน เนื่องจากข้าทราบว่าบาดแผลของท่านยังไม่หายดี”
ซางสิงโจวแววตามืดครึ้มลง คาดไม่ถึงเลยว่านางจะมองจุดนี้ออกด้วย
ในคราแรกเมื่ออยู่ที่สุสานเทียนซู จักรพรรดินีเทียนไห่ใช้ร่างกาย จิตวิญญาณ และวิถีพรตของตนต่อกรกับผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคทั้งสามคนนี้ เปิดฉากสงครามที่สะเทือนฟ้าดินขึ้นมาเลยทีเดียว
สวีโหย่วหรงไม่ได้เห็นการต่อสู้นี้ด้วยตาตนเอง แต่ระยะเวลาสามปีต่อมานางได้อนุมานคาดเดามานับครั้งไม่ถ้วนถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
นางพบว่าในคืนนั้นท่านใต้เท้าสังฆราชแทบจะไม่ได้ออกแรงเลย ในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดินีเทียนไห่แทบจะไม่ได้ตกลงยังเมืองลั่วหยางเลย
บาดแผลของซางสิงโจวได้มาแต่ครั้งนั้น หลังจากนั้นก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้งในเมืองไป๋ตี้
แต่จากการตัดสินใจเลือกในคืนนั้นของจักรพรรดินีเทียนไห่ก็สามารถมองออกได้ว่า คนที่นางให้ความสำคัญมากที่สุดก็ยังคงเป็นซางสิงโจว
สวีโหย่วหรงไม่มีทางสงสัยในวิสัยทัศน์การตัดสินใจของจักรพรรดินีเทียนไห่
นางเริ่มต้นพิจารณาแผนในตอนแรกสุดของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงทำการแก้ไขที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง
“ท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ผู้ใดในโลกจะจินตนาการได้แน่นอน ข้าต้องไม่สามารถสังหารท่านได้ง่ายๆ แน่”
สวีโหย่วหรงมองไปยังซางสิงโจว นางยกยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ย “แต่ว่า ข้าสามารถกักขังท่านได้”
ทันใดนั้นลมก็ถึง ฝุ่นละอองบนถนนเสินต่างก็โบกปลิว
ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ที่มีความยาวกว่าสิบจั้งคู่หนึ่งแผ่สยายอยู่เบื้องหลังของนาง
ดอกไม้สีขาวขนาดเล็กหลายร้อยดอกเบ่งบานบนภูเขาอีกครั้ง และบรรดาลูกศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีก็มาที่หน้าถนนเสินจากทุกแห่งในป่า
ในระยะเวลาทั้งหมดนี้ ตำแหน่งของนางและความสัมพันธ์ระหว่างกันล้วนไม่เกิดการสับสนวุ่นวายใดๆ เลย รอบคอบยิ่งนัก แทบจะไม่สามารถค้นพบช่องโหว่ใดๆ ได้เลย
หากมีใครมองลงมาจากด้านบนของสุสานเทียนซู พวกเขาน่าจะนึกถึงการรวมตัวกันใหม่ของแจกันที่แตกในห้วงเวลาที่พลิกผัน
…ข้าสามารถกักขังท่านได้
ประโยคนี้ช่างฟังดูแล้วปกติธรรมดายิ่งนัก แต่ที่จริงแล้วมันไม่ง่ายเลย
เนื่องจากการกักขังผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกท่านหนึ่ง มันก็ไม่แน่ว่าจะง่ายกว่าการสังหารเขาเสีย
วิชาพรตของซางสิงโจวนั้นบริสุทธิ์งดงาม การท่องสายลมก็สามารถทำได้ใกล้ถึงหนึ่งร้อยลี้ ต่อให้เป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างสุสานเทียนซู ก็ยังคงไร้ซึ่งอุปสรรค
ต่อให้เป็นจักรพรรดินีเทียนไห่ในปีนั้น ก็ยังไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้กับซางสิงโจวได้
ทั้งโลกใบนี้ มีเพียงยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะมีความมั่นใจเยี่ยงนี้ เนื่องจากพวกนางมีค่ายกลสถานศึกษาหนานซี
ในปีนั้นที่โจวตู๋ฟูยังรุ่งโรจน์ ก็ยังเคยถูกค่ายกลสถานศึกษาหนานซีกักขังไว้ชั่วขณะหนึ่ง
หากสวีโหย่วหรงเพียงประสงค์จะกักขังซางสิงโจวแค่ชั่วขณะก็สามารถทำได้
แต่ปัญหาก็คือ นางรั้งเขาเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ มีเป้าหมายอันใดกันเล่า
ซางสิงโจวนั้นมาเพราะหวังผ้อ
หากเขาถูกค่ายกลสถานศึกษาหนานซีกักขังเอาไว้ แน่นอนว่าหวังผ้อก็สามารถไปได้แล้ว
หวังผ้อจะไปที่แห่งใดกัน
สายตาของซางสิงโจวทอดตกลงบนร่างของหวังผ้อ
หวังผ้อเอ่ย “ภารกิจของข้าก็คือดึงดูดความสนใจให้ท่านมายังที่แห่งนี้”
ซางสิงโจว “แล้วเจ้าก็จะสามารถจากไปได้อย่างนั้นหรือ”
หวังผ้อหันไปมองสุดปลายทางของถนนเสิน ก่อนเอ่ย “สุสานเทียนซูจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล หากข้าอยากมา จะมาเมื่อไรก็ได้”
ซางสิงโจวแววตาเยือกเย็น ก่อนเอ่ย “เจ้าคิดว่าตัวเองจะไปได้หรือ”
สองประโยคที่มีความหมายแสนจะใกล้เคียง ที่จริงแล้วสื่อความหมายไม่เหมือนกันเลย
ประโยคแรกสื่อถึงความปรารถนา ประโยคหลังสื่อถึงความสามารถ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของซางสิงโจว เขาก็เลิกคิ้วขึ้น
หัวคิ้วของเขามีระยะห่างใกล้กันมาก ราวกับทุ่งกว้าง ราวกับท้องฟ้าที่ครอบผืนปฐพีนั้นก้มต่ำลงจรดผืนดิน
ในขณะที่เขาเลิกคิ้ว ทันใดนั้นต้นไม้ก็ปรากฏขึ้นระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน ลำต้นตรงแน่วมาก
“ข้าไม่ยินดีจะทำตัวหมาหมู่ ดังนั้นจึงจะจากไปเสีย ไม่อย่างนั้นท่านจะลองรั้งข้าไว้ก็ได้นะ”
หลังจากเอ่ยจบ มือของเขาก็ละจากด้ามจับ และชายคนนั้นก็พร้อมจะจากไป
สวีโหย่วหรงเอ่ยกับเขาว่า “ขอบคุณ”
หวังผ้อนึกถึงบทสนทนาสุดท้ายระหว่างเขากับสวินเหมยที่ด้านนอกสุสานเทียนซู ก่อนส่ายหน้า
ตามถนนที่ดำเนินมา ทะลุผ่านป่า มองไปยังบ้านเล็กหลังรั้วปราดหนึ่ง เขาเดินออกไปด้านนอกของสุสานเทียนซู
ในป่าและในสิ่งปลูกสร้างนั้นไม่รู้ว่าแอบซ่อนผู้แข็งแกร่งทางทหารไว้เท่าใด นักฆ่าแห่งหอความลับสวรรค์ ไหนจะนักพรตชุดเขียวแห่งอารามฉางชุนเหล่านั้น
มือของเขาตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้จับด้ามกระบี่เป็นครั้งที่สอง เนื่องจากคนเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอให้เขาชักกระบี่ออกมา คนเหล่านั้นเองก็ไม่มีความกล้าที่จะปรากฏกายออกมาด้วย
ด้านนอกประตูหินหนาของสุสานเทียนซู เขาหยุดก้าวเดิน
ท่านอ๋องตระกูลเฉินกับนายพลและทหารม้านับไม่ถ้วนยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
อาจารย์ท่านหนึ่งเดินมาหาเขาและเอ่ยเสียงต่ำสองสามคำ หวังผ้อส่ายหน้า
อาจารย์ท่านนั้นมีความลังเล แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าขัดขืนความประสงค์ของเขา และสั่งให้ทหารม้าของสำนักฝึกหลวงที่หยุดอยู่หน้าสุสานเทียนซูถอนตัวไปตามแม่น้ำเสีย
เมื่อมองเห็นภาพฉากนี้กลุ่มคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เริ่มอยู่ไม่สุข หลังจากนั้นไม่นานก็สงบลงมาได้ เนื่องจากล้วนมองออกแล้วว่านักวิชาการที่ดูกระจอกผู้นั้นเป็นใคร
ด้านหน้าสุสานเทียนซูเงียบเป็นเป่าสาก บรรยากาศกดดันขึ้นทุกที ตึงเครียดขึ้นทุกที ต่อให้ราชรถเวหาคันนั้นแล่นลง ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เซี่ยงอ๋องถูกประคองออกมาจากด้านในราชรถ เขาดูง่วงงุน ก่อนขยี้ตา ถึงได้มองเห็นว่าหวังผ้อยืนอยู่ตรงนั้น
เขาตกใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”