ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 46 มังกรคร่ำครวญ
มองไปยังทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงที่เตรียมจะบุกเข้าไป อาจารย์และลูกศิษย์กว่าร้อยคนแห่งสำนักเทียนเต้าไม่มีความหวาดกลัวใดๆ กลับตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ เสียงตะโกนยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีความกลมเกลียวกันมากขึ้น
นอกจากคำขวัญของทหารป้องกันสำนักเทียนเต้าแล้ว
เสียงของเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ยังคงก่นด่าอยู่
คนที่ถูกสบถด่าแน่นอนว่าต้องเป็นนักพรตซู่ซินที่พวกเขามองว่าเป็นคนทรยศผู้ขายสำนักเพื่อหวังชื่อเสียงเกียรติยศนั่นเอง
นามของราชันแห่งหลิงไห่ก็ปรากฏออกมาเสมอ หรือบางครายังเกี่ยวเนื่องถึงคำกล่าวอันไร้ซึ่งความเคารพที่มีต่อท่านใต้เท้าสังฆราชด้วย
เมื่อได้ฟังเสียงก่นด่าเหล่านั้น
สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่พลันนิ่งขรึมลงมาก แต่หากพิศมองดีๆ อาจจะพบว่าที่จริงแล้วอารมณ์ภายใต้ดวงตาเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
หากว่ากันตามความสามารถของทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าพระราชวังหลีต้องได้เปรียบแน่นอน
ทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงและทหารม้าเกราะดำต้องมี่ชื่อเสียงทัดเทียมกันแน่นอน
มัคนายกชุดดำแห่งตำหนักเทียนไฉ่
อาจจะเทียบได้กับมือสังหารแห่งกรมอาญาและหอความลับสวรรค์เลยด้วย
สำนักเทียนเต้าแน่นอนว่ามีพื้นหลังที่มั่นคง
สั่งสอนผู้แข็งแกร่งออกมามากมายนับไม่ถ้วน ยามนี้ในพระราชวังหลี
ก็มีอาจารย์มากมายที่มาจากสำนักเทียนต้า แต่ก็ยังคงเป็นเพียงแค่สำนักหนึ่งเท่านั้น
ที่สำนักเทียนเต้าสามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นเวลานานเยี่ยงนี้
ก็พูดได้เลยว่าเป็นเพราะจิตใจของจวงจือเช่อในวันนั้นแข็งแกร่ง และเหล่าอาจารย์กับลูกศิษย์ที่เลือดร้อนพอดู
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ที่ยินดีจะสละศีรษะและหลั่งโลหิตร้อนได้
หากทางด้านพระราชวังหลีโจมตี ต้องกลายเป็นการสังหารนองเลือดเป็นแน่
และสถานการณ์ในวันนี้รวมเรื่องสาเหตุการเกิดเรื่องนั้น
ไม่เหมือนกับการนองเลือดในสำนักฝึกหลวงเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ราชันแห่งหลิงไห่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้
จะเหลือทิ้งชื่อเสียงเหม็นโฉ่ไปสืบชั่วนาน
เฉินฉางเซิงเองก็คงไม่ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
ภายใต้สถานการณ์ที่พยายามจะไม่ให้นองเลือด
ทำอย่างไรจะให้เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักเทียนเต้าทิ้งการต่อต้าน นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่พระราชวังหลีควรทำเป็นอย่างยิ่ง
แต่แววตาของราชันแห่งหลิงไห่ยังคงเฉยชา
ไม่ว่านักพรตซู่ซินจะขอร้องเพียงใด ก็ไม่มีเจตนาถอนคำสั่งคืน
เมื่อเห็นว่าทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงใกล้จะเริ่มบุกแล้ว
มัคนายกชุดดำเหล่านั้นก็ใกล้จะยกเคียวสังหารในมือขึ้นแล้ว นักพรตซู่ซินรู้สึกว่าเศร้ารันทดและหมดหวังอย่างหาใดเทียบได้
ราวกับเขาได้เห็นสำนักเทียนเต้าแช่อยู่ในทะเลโลหิต
ยังมีลูกศิษย์วัยกระทงกลุ่มนั้นที่ล้มจมกองเลือดทั้งใบหน้ายังเยาว์อยู่มาก
วินาทีต่อมาจู่ๆ
เขาก็รู้สึกว่าตนนั้นตาลาย…สำนักเทียนเต้าไม่ได้กลายเป็นทะเลโลหิตแต่กลับกลายเป็นทะเลน้ำหมึก
เงามืดตกลงมาจากท้องฟ้า
ตกลงบนสิ่งปลูกสร้างที่เปี่ยมล้นด้วยความเก่าแก่โบราณของสำนักเทียนเต้า
เงามืดนั้นช่างมืดครึ้มเสียเหลือเกิน
ราวกับแก่นแท้ ทั้งเหมือนกับรัตติกาล
เสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวหยุดลงแล้ว
เหล่าลูกศิษย์วัยรุ่นของสำนักเทียนเต้า เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้างงงวย
พวกเขามองไม่เห็นเงาร่างที่นำเงามืดนั้นมา
ในท้องฟ้าที่มืดครึ้มนั้นมีเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่
พวกมันบดบังทุกการมองเห็น
“หิมะตกแล้ว!” มีลูกศิษย์คนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“เหตุใดในเวลานี้ถึงมีหิมะตกได้” มีลูกศิษย์คนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความสงสัย
มันเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิแล้ว
แม้ว่าอากาศหนาวเป็นพิเศษหลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่หิมะต้องตกนี่
บรรดาลูกศิษย์ล้วนประหลาดใจมาก
และเริ่มพูดคุยกัน บางคนถึงกับลืมทหารม้าสังหารนอกสำนักไปเสีย
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ลืมสถานการณ์ที่สำนักเทียนเต้าและเพื่อนร่วมสำนักกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
มองไปยังเกล็ดหิมะอันสวยงามบนท้องฟ้า
ลูกศิษย์หญิงผู้บอบบางมีน้ำตาคลอ นางพึมพำว่า “วิถีสวรรค์ที่เคารพ
ท่านเองก็รู้สึกว่าบนโลกใบนี้สกปรกเกินไป ดังนั้นจึงบันดาลให้เกิดหิมะศักดิ์สิทธิ์ฉากนี้
เพื่อชะล้างดวงตาและจิตใจของพวกเราใช่หรือไม่”
เมื่อลูกศิษย์บางคนได้ยินคำพูดของนาง
พวกเขาต่างก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน และเริ่มสวดอ้อนวอนต่อสวรรค์ขึ้นมา
ด้วยความเศร้าและปณิธานที่เข้มแข็งขึ้น
ราชันแห่งหลิงไห่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“หลังจากที่หิมะละลาย มันก็ยังคงเต็มไปด้วยความสกปรก
เทพเจ้าจะรังแกคนเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”
ทันใดนั้นมีเสียงคำรามต่ำในท้องฟ้า
เสียงคำรามนั้นต่ำมาก
แต่ก็ไม่ได้แผ่วเบา เหมือนฟ้าร้องที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเมฆา
หรือแม่น้ำที่อยู่ลึกที่สุดในพื้นดิน
ผู้คนต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ใบหน้าตกใจ เริ่มสงสัยในใจว่าสวรรค์ตอบกลับหรือ
คำถามก็คือท่านตอบกลับต่อคำพูดของลูกศิษย์หญิง
หรือราชันแห่งหลิงไห่
เสียงนั้นมีเจตจำนงที่ชัดเจนมาก
นั่นคือความเฉยเมย
และดูแคลน และไม่สนใจ
ไม่ว่าจะเป็นราชันแห่งหลิงไห่นำทหารม้าแห่งสำนักฝึกหลวงมา
หรือนักพรตซู่ซินนำอาจารย์ผู้ฝึกหลายท่านมายืนฝั่งตรงข้าม
สีหน้าของจวงจือห้วนก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงหึ่งๆ
นี้ ใบหน้าของเขาก็แปลกไป และยังเห็นถึงความลังเลและล่าถอยในดวงตาของเขา
เขาฟังออกแล้ว
นั่นคือเสียงมังกรคร่ำครวญ
……
……
ทันใดนั้นจำนวนเกล็ดหิมะบนท้องฟ้าก็เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า
และลมหนาวก็รุนแรงมากขึ้น
ท่ามกลางลมและหิมะที่บ้าคลั่ง
อุณหภูมิภายในและภายนอกของสำนักเทียนเต้าลดลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์สีเขียวบนกำแพงศิลา
หรือต้นไม้พันปีในส่วนที่ลึกที่สุด ก็กลายเป็นกิ่งก้านที่สวยงาม
น้ำแข็งบางๆ
ก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวของทะเลสาบเล็กๆ หลายแห่ง
และจากนั้นก็หนาขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจมันก็กลายเป็นทะเลสาบน้ำแข็งที่เรียบเนียนราวกับกระจก
ในลานห่างไกลบางแห่ง
น้ำในบ่อน้ำลึกนั้นถูกแช่แข็ง และมีรอยแตกหลายแห่งเกิดขึ้นในพื้นดินโดยรอบ
โลกทั้งใบกลายเป็นสีขาว
เป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งหิมะ
ลูกศิษย์ธรรมดาส่วนใหญ่กลายเป็นตุ๊กตาหิมะหลายตัว
พวกเขายังคงสามารถมองเห็นและขบคิดได้
แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และยังคงปรากฏสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา
จวงจือห้วนเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถเมื่อเขายังเป็นหนุ่ม
และตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่มีเพียงไม่กี่แห่งในเมืองหลวง
แน่นอนว่าไม่มีปัญหา
นอกจากนี้ยังมีอาจารย์และศิษย์ที่มีระดับขั้นไม่เลวมากกว่าสิบคนยังคงประคับประคองได้
ใบหน้าของพวกเขาซีดเล็กน้อย
และริมฝีปากของพวกเขายังออกเขียว
อาจารย์และลูกศิษย์เนื่องจากได้รับความหนาวเย็นอย่างรุนแรงในจุดชี่เฉี่ยวและโยวฟู่
จึงได้รับบาดเจ็บภายใน
จวงจือห้วนกลับเป็นเพราะเขาพบว่าเขาสูญเสียข้อได้เปรียบทางอำนาจทั้งหมดอย่างกะทันหัน
พายุหิมะนี้มาจากที่ใดกันแน่
เหตุใดจึงได้บ้าคลั่งและน่ากลัวเยี่ยงนี้
อาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักเทียนเต้าครุ่นคิดถึงคำถามนี้ด้วยความกลัว
ในเวลานี้
ร่างหนึ่งเดินช้าๆ จากอีกด้านของพายุหิมะ
ท่าทางการเดินของร่างนั้นแปลกไปหน่อย
ดูเหมือนไม่ค่อยสมดุลกันสักเท่าใด แต่ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษ
หรือเป็นเพราะคนคนนั้นมีแขนเพียงข้างเดียว
มองไปที่ร่างนั้น
มองไปยังแขนเสื้ออันว่างเปล่าที่แกว่งไปมาราวกับเริงระบำท่ามกลางหิมะ…
ต่อให้เป็นเด็กนักเรียนที่ไม่สามารถขยับหรือแสดงสีหน้าเผยความสุขออกมาได้
ทว่าในสายตาของพวกเขายังปรากฏความเบิกบานออกมา
บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ที่ยังสามารถพูดออกมาได้
ถึงกับตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์พี่กวนไป๋”
“ต้าหมิง!”
“ศิษย์พี่!”
……
……
ตามถนนศิลา
กวนไป๋เดินเข้าไปในสำนักเทียนเต้า หลังจากนั้นก็หยุดฝีเท้าลง
เขายืนอยู่ระหว่างกำแพงศิลาสองด้าน
มีหลายชื่อบนกำแพงศิลา
และมีคำจารึกบรรทัดหนึ่งแกะสลักไว้ที่ด้านบนของกำแพงศิลา…‘ขอยืมแรงของสายลมที่พัดมา
ส่งข้าขึ้นไปชิงอวิ๋น’
นั่นคือประกาศชิงอวิ๋น
ตอนที่เขาเรียนอยู่ในสำนักเทียนเต้า
ชื่อของเขาก็ปรากฏบนกำแพงศิลาเช่นกัน และมันก็อยู่ด้านบนสุด
ด้วยเหตุนี้และเหตุผลอื่นๆ
อีกมากมาย เขาเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักเทียนเต้ามาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือตอนนี้
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าอาศัยเพียงระดับขั้นของเขาอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันได้
แต่เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้น
ศิษย์ของสำนักเทียนเต้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความประหลาดใจ
แต่ในวินาทีต่อมาเสียงทั้งหมดก็หายไป
และความประหลาดใจทั้งหมดก็กลายเป็นความตกใจ
เนื่องจากกวนไป๋มองไปที่จวงจือห้วนก่อนเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
“อาจารย์ ยอมแพ้เถิด”