ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 5 จะทำอย่างไรกันดี
ก่อนหน้าที่จะไปศึกษาเล่าเรียนอย่างสถานศึกษาหนานซี สวีโหย่วหรงนั้นได้ทิ้งประวัติโชกโชนลือชื่อมาแล้วมากมายในเมืองหลวง เคยโดดลงไปในแม่น้ำลั่ว นางเอ่ยว่าในนั้นมีดวงจันทร์ เคยไปปีนป่ายเสาศิลาเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหน้าพระราชวังหลี ทั้งยังเอ่ยว่าต้องการจะมองดวงดาว ยังมีอีกครั้งหนึ่ง นางเกือบจะอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้ระวังตัวกระโดดลงไปในบ่อน้ำที่ถูกทิ้งร้าง ณ สะพานอุดรใหม่
ว่ากันว่าขณะที่นางเตรียมจะโดดลงไปในบ่อน้ำนั้น จักรพรรดินีเทียนไห่ช่วยนางเอาไว้
สวีโหย่วหรงในตอนนาง มีอายุไม่ถึงห้าขวบด้วยซ้ำ
ประชากรในเมืองหลวงล้วนท่องจำเรื่องราวเหล่านี้เสียจนคล่องแคล่วยิ่งนัก ในสายตาพวกเขาแล้ว สวีโหย่วหรง เป็นคนที่พวกเขาเห็นตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นางคือลูกสาวสุดที่รักของเมืองหลวงแห่งนี้ ดังนั้น ในคราแรกที่สำนักไม้เลื้อยได้รับข่าวงานมงคลสมรส เมืองทั้งเมืองนี้ถึงได้โกรธเกรี้ยวในตัวเฉินฉางเซิงถึงเพียงนี้ สำนักฝึกหลวงได้รับความกดดันเป็นอย่างมาก
มังกรดำเองเมื่อนึกถึงจักรพรรดินีเทียนไห่ จิตใต้สำนึกของนางจึงเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก กว่านานจึงได้สติกลับมา พลางเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นชีวิตของเจ้าก็เปลี่ยนไปเพราะนาง”
สวีโหย่วหรงยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “อาจจะ”
……
……
จะมีหรือไม่มีจักรพรรดินีเทียนไห่ สวีโหย่วหรงที่มีโลหิตหงส์สวรรค์ก็ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะ สามารถบรรลุความสำเร็จในวันนี้ได้
แต่ผู้ใดก็ล้วนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสตรีที่ทั่วทั้งดินแดนเคยให้สมญานามว่าทรราชนั้นได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตผู้คนมาแล้วหลายคนนัก
ม่ออวี่ก็คือคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดี
หากไม่มีจักรพรรดินีเทียนไห่ เด็กกำพร้าที่ถูกไล่ล่าผู้นี้จะกลายเป็นหญิงสาวที่มีอำนาจมากที่สุดได้เยี่ยงไร
เมื่อมองไปที่โคมไฟสีส้มกว่าสิบดวงกำลังส่องแสงอบอุ่นที่แขวนอยู่หน้าลานนั้น เฉินฉางเซิงก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาจากเมืองซีหนิงมาที่เมืองหลวง เขารู้จักม่ออวี่มานานแล้ว แต่คืนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่สวนส้มจี๊ดในตำนาน
เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณที่แข็งแกร่งจากการก่อตัวในสวนส้มจี๊ด และก็สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณของผู้เฝ้าดูหรือเหล่าทหารที่ซ่อนอยู่ในยามค่ำคืนโดยรอบเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า ต่อให้กำลังจะเข้าพิธีมงคลสมรสกับคุณชายผู้นั้น แต่ยังคงมีหลายคนไม่ยินดีที่จะเห็นม่ออวี่กลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง พวกเขายังคงมีความระมัดระวังและเต็มไปด้วยเจตนาที่เป็นศัตรูต่อนางอย่างแรงกล้า
เฉินฉางเซิงไม่ได้ปกปิดการมาถึงของตนเลย เขากางร่มสีเหลืองทองดำเนินมายังหน้าประตู
ประตูสวนส้มจี๊ดเปิดแล้ว หลังจากนั้นก็ปิดลง เสียงเอี๊ยดอ๊าดสองเสียง หิมะโปรยปราย
หลังจากประตูสวนปิดลง ในค่ำคืนจู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เงาร่างสิบกว่าคนกระแทกเข้ากับลมหิมะ หลังจากนั้นก็หลบหนีไปทุกทิศทางของเมืองหลวง
หลังจากที่ท่านใต้เท้าสังฆราชได้เดินทางออกจากจวนขุนพลเทพตงอวี้ ไปยังสวนส้มจี๊ด
ข่าวนี้ก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวงในระยะเวลาอันสั้น และแน่นอนว่าก็ต้องได้ยินไปถึงจวนอ๋องเหล่านั้นที่อยู่สองข้างทางของถนนไท่ผิง
ณ จวนอ๋องที่ไม่สะดุดตาที่สุด และมีสถานที่ตั้งเลวร้ายย่ำแย่ที่สุด หลัวหยางอ๋องเดินวนเป็นหนูติดจั่นราวกับมดบนหม้อไฟ หน้าต่างของห้องหนังสือเปิดกว้าง และมีเกล็ดหิมะปลิวเข้ามาเป็นระยะ ๆ ยังคงไม่สามารถทำให้เหงื่อบนใบหน้าอ้วนๆ นั้น ไหลน้อยลงได้เลย
ทันใดนั้นเขาก็หยุดมองไปที่สตรีคนหนึ่ง และพูดอย่างขมขื่น “จะทำอะไรดีเล่า ข้าจะทำอย่างไรกันดี”
สตรีคนนั้นงงงวย และเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน นี่แสดงว่า ท่านใต้เท้าสังฆราชให้ความสำคัญกับพระชายาอ๋องยิ่งนัก นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง”
หลัวหยางอ๋องเหลือบมองนางอย่างขมขื่น และเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าก็รู้ว่าหรือว่านั่นคือชายาอ๋อง … ”
“โอ สวรรค์” หญิงผู้นั้นเพิ่งจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร นางเอ่ยด้วยท่าทางตกใจ: “ท่านหึงหรือนี่”
หลัวหยางอ๋องส่งเสียงเหอะในลำคออยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยคำใดให้เข้าใจแต่ความหมายนั้นชัดเจนยิ่งนัก
หากหญิงผู้นี้มิใช่ท่านป้าแท้ๆ ของเขา ที่เดินทางไกลมาจากหรูโจวตั้งใจมาจัดการงานมงคลสมรสให้ตน เขาคงไม่กล้าเปิดเผยเจตนานี้ออกมาแม้แต่เพียงนิด
ลุ้นกล่าวกันว่าท่านอ๋องบ้านตระกูลเฉิน ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่เขากลับเป็นคนที่ไร้อนาคตที่สุดคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายเล่า…กลับเป็นถึงใต้เท้าสังฆราช
หญิงผู้นั้นพูดด้วยอารมณ์มีโทสะ “ผู้ใดก็ล้วนทราบดีว่าใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ท่านกำลังคิดเลื่อนเปื้อนสิ่งใดกันเล่า หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของพระชายาอ๋อง ท่านใต้เท้าสังฆราชจะตกปากรับคำกลับมาเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้ได้อย่างไร หากไม่มีความสัมพันธ์อันนี้ฝ่าบาทคงไม่มอบหมายให้ท่านไปอยู่ยังวัดไท่ฉางที่สำคัญเยี่ยงนั้นหรอก”
หลัวหยางอ๋องเมื่อได้ฟัง ก็ลืมความหึงหวงไปในทันที แต่เหงื่อกาฬเมื่อครู่ที่เพิ่งหยุดไปก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “คนของตระกูลเทียนหายทั้งยังมีบรรดาอ๋องเหล่านั้นล้วนจดจ้องไปยังตำแหน่งนั้น ข้าไหนเลยจะทราบได้ว่าฝ่าบาทจะมอบหมายให้ข้าไป ต้องผิดใจกับคนตั้งมากมาย จะทำอย่างไรดีเล่า”
……
……
เฉินฉางเซิงมองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นหิมะที่ยังคงลอยอยู่
เขาใส่ใจเรื่องความสะอาด แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมสตรีถึงยินดีอาบน้ำในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้
มิเสียแรงที่เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงที่สุดของตระกูลเทียนไห่ ม่ออวี่ที่เพิ่งออกจากห้องอาบน้ำ ไร้ซึ่งแป้งและเครื่องประทินโฉมใดบนใบหน้าของนาง แต่นางยังคงดูงดงามและกินใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดเกี่ยวกับเมืองหลวงในช่วงสองปีที่ผ่านมา ก็คงเป็นการกลับมาของม่ออวี่นั่นเอง
ท่านอ๋องแห่งตระกูลเฉินที่เกลียดชังจักรพรรดินีเทียนไห่ สาเหตุที่ไม่ได้โจมตีนางนั้น ก็ด้วยเหตุผลหลายประการ
ชะตากรรมของตระกูลม่อในราชวงศ์ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง เรื่องนี้ได้รับความเห็นใจจากเหล่าขุนนางเก่าหลายคน
ที่สำคัญกว่าคือนางถูกเรียกตัวกลับวังโดยตัวฝ่าบาทพระองค์เอง
อย่างไรก็ตามซางสิงโจวเห็นแก่หน้าของปู่ที่ตายไปของนาง นั่นคือนักวิชาการที่มีชื่อเสียงท่านนั้น จึงแสดงความยอมรับอย่างเงียบๆ
อีกเหตุผลสำคัญคือ นางกำลังจะอภิเษกกับท่านชายสกุลอ๋องตระกูลเฉิน ซึ่งถือเป็นอ๋องที่ตาขาว ไร้ประโยชน์และไร้ซึ่งอำนาจคุกคามที่สุด
“ข้ายังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเจ้าถึงอยากออกเรือนกับเขา”
คำถามของเฉินฉางเซิงยังเป็นข้อสงสัยของทุกคนในเมืองหลวงเช่นกัน
ไม่ว่าจะมองม่ออวี่อย่างไร จะรักหรือเกลียด นางยังคงเป็นแม่นางม่ออยู่ดี
ทุกคนต่างรู้สึกว่า ท่านอ๋องผู้นั้นไม่คู่ควรกับนาง
“เขาไม่ดีอย่างไรกัน ซื่อตรงโดยนิสัย ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน ข้ารู้จักเขามาแต่เล็ก ที่สำคัญก็คือ เขายินดีที่จะเชื่อข้าอย่างไร้เงื่อนไข”
ม่ออวี่นั่งอยู่บนเตียง เช็ดผมที่ชื้นเล็กน้อยด้วยผ้าฝ้ายนุ่มๆ และตอบกลับอย่างไม่จริงจังๆ ว่า “ตอนนั้นเมื่อเมืองหลวงยุ่งเหยิง เขาพาบริวารกลุ่มที่พี่น้องยัดเยียดให้มาที่สวนส้มจี๊ด บอกกล่าวกับผู้คนว่าต้องการให้เขาปกป้อง แต่จริงๆ แล้วกลับต้องการมาปกป้องข้า ความห่วงใยนี้ต้องตอบแทน”
เฉินฉางเซิงทราบเรื่องนี้ และคนทั้งหมดในเมืองหลวงก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงคืนนั้นในสุสานเทียนซู ท่านอ๋องสิบกว่าท่าน เสี่ยงอันตรายและแบ่งกำลังกันโจมตีหน่วยต่างๆ มีเพียงหลัวหยางอ๋องผู้นี้ ที่นำผู้มีฝีมือกลุ่มหนึ่งเข้ามาวุ่นวายในเมืองหลวง ไม่กล้าลงมือทำเรื่องใด คนผู้เดียวก็ไม่กล้าสังหาร คิดเพียงอยากไปยังสวนส้มจี๊ด แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือเขากลับหลงทางเสียเอง
นี่มิใช่เรื่องน่าสรรเสริญ นี่มิใช่จุดอ่อนที่น่าหัวเราะ หรือแม้แต่เรื่องตลก
ในสายตาหลายคน หลัวหยางอ๋องนั้นคือเรื่องตลก
เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าอ๋องผู้นี้ช่างเหลวแหลกเกินไป ช่างไม่เหมาะสมกับเลย
“อะไรหรือความเหมาะสมเล่า เขาดีกับข้าก็พอแล้ว”
ม่ออวี่จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ นางเอ่ย “ต่อไปเจ้าดีกับเขาหน่อย อย่าทำตัวไม่เกรงใจอย่างนั้น”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าเอ่ยเตือนในฐานะเพื่อนเสียสองสามประโยค ในเมื่อเข้าไม่เห็นด้วย ต่อไปแน่นอนว่าก็คงไม่เอ่ยแล้ว”
ม่ออวี่ถลึงตาใส่เขาเสียที ก่อนเอ่ย “ข้าหมายถึงเรื่องในจวนหลูหลิง ท่านดูสิว่าทำให้เขาตกใจถึงเพียงใด รู้ทั้งรู้ว่าเขาขี้ขลาด”
เฉินฉางเซิงเองยังไม่ทราบว่าเหตุใดวันนั้นในจวนหลูหลิงจึงได้ทำตัวไม่เกรงใจหลัวหยางอ๋องถึงเพียงนั้น
“เขาเพียงมาส่งข้อความแทนอาจารย์ของพวกท่านสุดท้ายกลับไม่ได้พบจุดจบที่ดีเลยช่างโชคร้ายเสียจริง”
ม่ออวี่เอ่ย “เรื่องนี้ท่านทำไม่ถูก”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ต่อไปจะไม่มีเรื่องอย่างนี้อีกแล้ว”
ม่ออวี่เห็นว่าเขาตอบรับแล้ว แต่นางกลับไม่รู้สึกยินดีเท่าที่ควร จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านมานี่สิ”
เฉินฉางเซิงตกใจเล็กน้อย ก่อนถาม “ทำอะไรกัน”
ม่ออวี่เอ่ย “ข้าจะนอนกอดท่าน”