ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 51 ชื่อของนาง
วันนี้เป็นวันที่ห่านแดงปรากฏตัวในเมืองหลวงมากที่สุดในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ห่านแดงบินข้ามท้องฟ้าเป็นครั้งคราว แลทิ้งร่องรอยไว้ด้วยตลอดทาง
ข่าวที่น่าตกใจเหล่านั้นแพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่งตามร่องรอยเหล่านี้
สำนักเทียนเต้า สำนักการศึกษากลาง และจวนเซี่ยงอ๋อง
ร่องรอยเหล่านั้นเปิดเผยปณิธานที่ยิ่งใหญ่และเลือดเย็นของพระราชวังหลีออกมา ทั้งยังแสดงถึงทัศนคติของท่านสังฆราชหนุ่มด้วย
ทันใดนั้นเสียงร้องที่น่าสยดสยองของนกหลายตัวก็ดังขึ้น และห่านแดงก็บินไปรอบ ๆ
ท้องฟ้าพลันมืดลงในทันที
ผู้คนบนท้องถนนต่างมองขึ้นไปและเห็นเงาขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าของเมืองหลวง
เมฆม้วนตัวและบิดเบี้ยวเหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำและเงามืดก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของพวกมัน
ปรากฏเทือกเขาสีดำยาวกว่าสิบลี้บนท้องฟ้า
ในบางครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ตก พื้นผิวของภูเขาสีดำจะสะท้อนแสงจ้า เฉกเช่นเดียวกับกระจก
อากาศเย็นลงอย่างฉับพลัน เกล็ดหิมะโปรยปราย ดูเหมือนว่าเมืองหลวงจะกลับเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอีกครั้ง
เมื่อมองไปที่ภาพนี้ ผู้คนต่างนึกถึงความกลัวที่บรรพบุรุษของพวกเขาถูกมังกรยักษ์ครอบงำ และพวกเขาก็หวาดกลัวอย่างมาก
……
……
เงาขนาดมหึมานั้นลอยไปยังสุสานเทียนซู มองดูเหมือนจะเชื่องช้าแต่แท้จริงแล้วมันเร็วมาก
สีของแม่น้ำรอบ ๆ สุสานเทียนซูเริ่มมืดลง ผู้คนต่างรู้สึกหนาวขึ้นมาก
เงานั้นไม่ได้ดำเนินจากประตูหลักไปยังสุสานเทียนซู และก็ไม่ได้ไปที่ประตูทางทิศใต้ แต่มันข้ามแม่น้ำโดยตรง ผ่านป่าต้นส้มสีเขียวผืนนั้น ลอยผ่านลานเล็ก ๆ ที่มีเนื้อตากแห้งอยู่ครึ่งหนึ่ง ผ่านบ่อน้ำใส และในที่สุดก็ปกคลุมสุสานเทียนซูทั้งหมดไว้
มีชายผู้หนึ่งอยู่ภายใต้เงานี้
เขามีใบหน้าที่งดงาม แววตาสะอาดบริสุทธิ์ และมองดูสดชื่นมาก
เขาสวมเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ และถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ลมปราณของเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
เขาคือการอวตารของความเชื่อ เป็นความดีงามในโลกมนุษย์ คือใต้เท้าสังฆราชของยุคสมัยนี้
ไม่กี่คนที่เคยเห็นเฉินฉางเซิงเยี่ยงนี้
หญิงสาวจากสำนักฝึกหลวงต่างอ้าปากค้างและตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
สวีโหย่วหรงเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อประเมินเขา ปรากฏรอยยิ้มในแววตาที่เย็นชานั้น
……
……
ซางสิงโจวหันกลับไปมองเฉินฉางเซิง
สายตาของเขาจ้องมองไปยังเหล่ากระบี่มากมายในค่ายกลกระบี่ ราวกับมันแหลมคมขึ้นมาก ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็เอาแต่จ้องเฉินฉางเซิงเขม็ง
ในปีนั้นเฉินฉางเซิงดำเนินสู่สุสานเทียนซูโดยไม่ให้จักรพรรดินีเทียนไห่ทราบ เขาเดินไปยังด้านบนยอดของสุสานเทียนซู เดินสวนกันไปโดยไม่แม้แต่ชำเลืองมอง
หลังจากนั้นเขาก็ไม่พบลูกศิษย์ผู้นี้ของตนอีก แม้ว่าพวกเขาจะเคยร่วมมือกันในเมืองจักรพรรดิ และสามปีก่อนนั้นจะเคยสนทนากันในสำนักฝึกหลวง แต่ในตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น จะนับว่ามองก็ไม่ได้ แต่เป็นไม่แยแสเสียมากกว่า
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญเฉินฉางเซิงตรง ๆ
แววตาของเขาลึกล้ำและคลุมเครือยิ่งนัก ราวกับเทือกเขาบนสุสานเมฆที่ไม่สามารถมองเห็นความจริงได้เลย
แต่ในบางครั้งก็ยังคงมีแสงตะวันสาดส่องอยู่
นั่นคือสีหน้าของความชื่นชม
และนี่เป็นครั้งแรกด้วย
เขาคิดว่าในวันนี้เฉินฉางเซิงทำได้ดีมาก
เมื่อสุสานเทียนซูตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พระราชวังหลีโจมตีสายฟ้าผ่า แต่ภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นก็สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดของเมืองหลวงไว้ได้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเวลาหรือความแข็งแกร่งของวิธีการ ล้วนแสดงให้เห็นว่าเฉินฉางเซิงนั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ในอีกแง่หนึ่ง การจัดการของเขาในวันนี้ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานเลยด้วยซ้ำ
เรื่องราวเหล่านี้มองดูแล้วเหมือนจะง่ายดายแต่ที่จริงแล้วช่างยากนัก
หลายวันมานี้เฉินฉางเซิงเอาแต่เงียบไม่แสดงท่าที ราวกับวางตนอยู่เหนือเรื่องราวเหล่านี้ แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลยจริง ๆ
สายตามากมายนับไม่ถวนจ้องมองมายังพระราชวังหลี
ซางสิงโจวเอาแต่มองมาที่เขา
หวังจือเช่อก็กำลังมองเขาอยู่
อู๋เต้าจื่อก็คือดวงตาของพวกเขา
แต่เฉินฉางเซิงก็ปิดบังพวกเขาทั้งหมดได้สำเร็จ ดูจากสถานการณ์แล้ว แม้แต่สวีโหย่วหรงเองก็คงไม่ล่วงรู้ความคิดของเขาเช่นกัน
……
……
ขณะซางสิงโจวมองไปยังเฉินฉางเซิงด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ชื่นชมเป็นครั้งแรก หวังจือเช่อกำลังมองไปยังเงาผืนนั้นที่กำลังปกคลุมสุสานเทียนซูอยู่
ไม่รู้ว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องใดในอดีต สีหน้าปรากฏแววตาย้อนรำลึกขึ้น
จู่ ๆ เงาผืนนั้นก็หายไป กลายเป็นพายุหิมะเต็มท้องนภา
ท่ามกลางพายุหิมะนั้นปรากฏร่างของหญิงสาวชุดดำขึ้น
นางมีสีหน้าเฉยเมย รูปร่างหน้าตางดงามราวกับภาพวาด กระโปรงสีดำนั้นเปล่งประกายลมปราณที่หนาวเหน็บออกมามากมาย
นางนับว่ามีบทบาทสำคัญนักในการทำลายเทือกเขาชะล้างมาร จวนผิงอ๋อง รุกรานสำนักเทียนเต้า และการควบคุมเมืองหลวงของพระราชวังหลีในวันนี้
ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์มังกรน้ำแข็ง แม้ว่านางจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ วิถีพรตและจิตวิญญาณมิอาจรวมกฎของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่นับจากนางกำเนิดมา ร่างมังกรของนางมีคุณลักษณะศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถข้ามความแตกต่างของระดับต่าง ๆ หรืออาจจะเอ่ยได้ว่านับตั้งแต่นางเกิดมาก็ถูกลิขิตให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านของสกุลถังยังคงให้ความเคารพนักพรตเฒ่าผู้นั้นในอารามฉางชุนว่าเป็นผู้แข็งแกร่งศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้น แต่หากเอ่ยถึงพลังการต่อสู้ที่บริสุทธิ์แล้ว ยังมิอาจเทียบชั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเยี่ยงนาง ในส่วนของการทำลายล้างแล้วทั้งดินแดนนั้นมิอาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้ นอกเสียจากว่าสวีโหย่วหรงและชิวซานจวินจะตื่นตัวขึ้นมาได้เป็นครั้งที่สาม
เดิมทีเผ่าพันธุ์มังกรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นในอดีตเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยมีจักรพรรดิไท่จงเป็นผู้นำคงไม่บังคับให้พวกมันลั่นวาจาคำสาบานแห่งดวงดาวด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งใหญ่ และสาบานว่าจะไม่รุกรานแผ่นดินใหญ่อีก
หากแต่สัญญาฉบับนั้นมิได้มีชื่อของนางปรากฏอยู่
เนื่องจากในตอนนั้นนางถูกกักขังอยู่ภายใต้สะพานอุดรใหม่ ยังเล็กมาก และนางยังไม่มีแม้กระทั่งชื่อเล่นเสียด้วยซ้ำ
คนที่กักขังนางไว้ใต้สะพานอุดรก็คือ หวังจือเช่อ
……
……
“จูซา ไม่พบกันนานเลยนะ”
หวังจือเช่อมองไปยังหญิงสาวชุดดำด้วยรอยยิ้มก่อนเอ่ยว่า
จูซาคือชื่อเล่นของนาง หรือเป็นชื่อของนางในร่างมนุษย์
หรือแม้แต่ชื่อนี้ยังเป็นชื่อที่หวังจือเช่อตั้งขึ้นมา หลังจากนั้นจึงถูกเหล่าฉินจ้งเรียกเสียจนเคยชินแล้ว
เมื่อได้ฟังคำนี้ มองไปยังปัญญาชนผู้นั้นที่ดูเหมือนกาลเวลาจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย สีหน้าของหญิงชุดดำก็ซีดเผือด
นางเคยจินตนาการถึงสถานการณ์ที่ต้องพบเจอกันอีกมาหลายต่อหลายครั้ง แลเอาแต่คิดว่าจะแก้แค้นอย่างไร ด้วยความเคียดแค้นที่มีอยู่เต็มอก
แต่นางไม่คาดคิดว่าเมื่อต้องพบเจอกันอีกหลังระยะเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ตนนั้นจะยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ถูกอีกฝ่ายกักขังไว้ใต้พิภพหลายร้อยปี แม้แต่ชื่อของตนเองก็ยังคงเป็นอีกฝ่ายที่ตั้งให้……
ความทรงจำนั้นฝังลึกเข้าไปในจิตใจ ยากที่จะลืมเลือนได้ มากมายเสียจนทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ
ต่อให้เป็นนางก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บและหวั่นเกรงยิ่งนัก
ร่างกายของนางสั่นเทา เศษน้ำแข็งในอาภรณ์ชุดดำของนางกระทบกัน เกิดเป็นเสียงดังไพเราะ
นางในเวลานี้ มองดูแล้วเหมือนกับเด็กสาวที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง
นางสามารถทำลายเทือกเขาได้ สามารถทำลายเมืองเมืองหนึ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง ทั้งยังสามารถพลิกกลับสถานการณ์ทั่วทั้งเมืองหลวงได้
แต่หวังจือเช่อเพียงเอ่ยว่า “ไม่พบกันนาน” แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ก็ทำให้นางหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ สูญเสียพลังการทำลายล้างไปหมดสิ้น
แม่น้ำแห่งกาลเวลายังคงไหลบ่าสองฝากฝั่ง แม่น้ำก็ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนไหลไม่ถึงก้นบึ้งและกลายเป็นเหว
คนอย่างหวังจือเช่อนี้ สามารถใช้คำว่า ลึกล้ำยากคาดเดา ห้าคำนี้มานิยามได้เลย
เฉินฉางเซิงดำเนินไปเบื้องหน้าหญิงสาวชุดดำ บดบังสายตาของหวังจือเช่อไว้เสีย
หวังจือเช่อมองเขานิ่ง ๆ แววตายังคงลึกล้ำยากคาดเดา
เฉินฉางเซิงมองเขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “นางมิได้ชื่อจูซา”
หวังจือเช่อเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่คิดเยี่ยงนั้น”
สวีโหย่วหรงเดินเข้ามา มองไปที่เขาก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจึงว่าท่านนี่ช่างเลอะเลือนเสียจริง”