ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 54 สิ่งที่มนุษย์เกรงกลัวที่สุดคือความไร้เดียงสา
ทุกคนไม่ได้ส่งเสียงระเบิดหัวเราะออกมา ไม่มีเสียงใดดังขึ้นเป็นเวลานาน ความรู้สึกช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
ทันใดนั้น กระรอกตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด มันวิ่งผ่านกิ่งไม้ริมถนนเสิน ดึงดูดสายตาของนายกองนางท่านของกองทัพอวี่หลิน ทำให้เขาคลายปืนเหล็กในมืออย่างไม่รู้ตัว ปืนเหล็กนั้นตกลงบนหลังเท้าของเพื่อนนายกองด้วยกันอย่างหนัก เกิดเสียงดังขึ้นที่น่าอึดอัด
“ไอหยา”
สถานการณ์ที่ตึงเครียดนั้นถูกทำลายลง ในที่สุดผู้คนก็ได้สติกลับมา สีหน้าของพวกเขาบ่งบอกว่าเรื่องนี้ช่างเหลวไหล
เกิดความโกลาหลขึ้น
ข้อเสนอของเฉินฉางเซิงช่างเหลวไหลสิ้นดี
เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงบัลลังก์ของต้าโจว อนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การบันทึกในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ และความเป็นความตายของคนนับหมื่นนับพัน
เขาต้องการจะต่อสู้กับอาจารย์ของตนเพื่อตัดสินเช่นนั้นหรือ
ในปีนั้นที่ลั่วหยาง การต่อสู้ของโจวตู๋ฟูและราชามารได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของประวัติศาสตร์ไปแล้ว แต่นั่นคือสงครามภายนอก หากเอ่ยว่าการต่อสู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนสามารถแก้ไขได้โดยวิธีการที่ง่ายดายเช่นนี้ อย่างนั้นเหตุใดจึงได้สูญเสียลูกหลานของราชสำนักไปมากมายในสวนร้อยหญ้ากันเล่า และเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเหตุใดสำนักฝึกหลวงจึงเปลี่ยนเป็นสุสานร้างได้เล่า
“นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
หวังจือเช่อมองไปที่เฉินฉางเซิงและเอ่ยโดยไร้เจตนาเยาะเย้ย แต่มีน้ำเสียงปลอบประโลมอยู่ในนั้น
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อต้องเห็นแก่ไพร่ฟ้าใต้หล้าเป็นหลัก และเพื่อไม่ให้ผู้คนต้องมาล้มตายมากมายแลจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีอำนาจถดถอยลง อย่างนั้นพวกเรามาสู้กันเพื่อตัดสินแพ้ชนะ สุดท้ายไม่ว่าเขาตายหรือว่าข้าตาย ทุกคนล้วนยังมีชีวิตอยู่ นี่มิใช่หนทางที่ดีที่สุดหรอกหรือ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เหล่าฝูงชนก็ค่อย ๆ เงียบลง
ทุกคนมองไปยังหมอกควันและภัสมธุลีสายนั้นที่ค่อย ๆ ดำเนินมาทางทิศใต้ รวมถึงหมอกควันและภัสมธุลีอีกสายหนึ่งที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา รับรู้ได้ถึงเจตนาสังหารที่แอบซ่อนและยังไม่ได้ปะทุ ต่างพากันเงียบไม่พูดจา
ความรู้สึกเหลวไหลที่ได้ยินข้อเสนอของเฉินฉางเซิงเมื่อครู่นั้น พลันจืดจางเบาบางลงไปมาก ถึงแม้ว่าจะยังฟังดูเหลวไหล แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลเช่นกัน
ที่สำคัญก็คือเฉินฉางเซิงเอ่ยได้ถูกต้องนัก ไม่ว่าเป็นเขาที่ตายหรือซางสิงโจวที่ตาย มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขากันเล่า
พวกเขายังมีชีวิตอยู่และเมืองหลวงก็จะไม่เป็นอะไร นี่มิใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดหรอกหรือ
สายตาของหวังจือเช่อมืดครึ้มลงไปมาก “เรื่องใหญ่ในใต้หล้ามิใช่เรื่องเด็กเล่น นี่มิใช่แค่เรื่องที่เด็กน้อยมาทะเลาะกัน”
ใช้การต่อสู้ฉากหนึ่งมาตัดสินอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ช่างเหลวไหลสิ้นดี
เฉินฉางเซิงมองไปยังหวังจือเช่อ ก่อนเอ่ยว่า “ตั้งแต่ยามเล็ก เขาได้อ่านหนังสือมาแล้วมากมาย ในหนังสือนั้นได้เขียนเอาไว้ถึงแผนการกลับกลอกที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย แต่เมื่อมองลึกเข้าไปเรื่องเหล่านั้นจะต่างอะไรกับเรื่องราวของบรรดาเด็กในเมืองซีหนิงเล่า การแย่งชิงกันเพื่อแย่งลูกกวาด ปลาหรือว่าใต้หล้า หรืออาจเป็นเพียงค่าน้ำหนักของบทความในบทบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งเท่านั้นเอง”
หวังจือเช่อเงียบไปครู่ใหญ่
ก่อนหน้าที่เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือจะมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการร่ำเรียนคัมภีร์ลัทธิเต๋า เขาเป็นอัจฉริยะที่มีความเชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ลัทธิเต๋าตั้งแต่ต้นแล้ว
คัมภีร์ที่เขาอ่านผ่านตานั้นไม่น้อยกว่าเฉินฉางเซิงแน่นอน แต่จนกระทั่งวันนี้เขาเองเพิ่งจะเริ่มคิดถึงเนื้อหาบางส่วนจากมุมอื่น
การบริหารปกครองประเทศนั้นราวกับต้มปลานั่นเอง เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่ามันเป็นการพูดถึงเรื่องความละเอียดรอบคอบ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจก็ได้
กลุ่มขุนพลที่ตั้งตัวเป็นใหญ่แย่งชิงความเผด็จการนั่นคือเด็กที่ทะเลาะกัน อย่าเอ่ยว่าพระราชวังนองเลือด ต้องทราบก่อนว่าหากฆ่าปลานั้นอย่างไรก็ต้องหลั่งโลหิต
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ข้ายอมรับในความคิดของท่าน บางทีมันอาจจะสมเหตุสมผล แต่อาจารย์ของท่านจะไม่มีทางเห็นด้วยเป็นแน่”
ยามที่เฉินฉางเซิงและหวังจือเช่อเอ่ย ซางสิงโจวยังคงรักษาอาการสงบ
เขายืนอยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายค่ายกลเลย เขาเพียงแค่มองไปที่ไกล ๆ ด้วยความสงบนิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
เฉินฉางเซิงทราบดีว่าที่หวังจือเช่อเอ่ยมานั้นไม่ผิด
เขาแจ้งแก่ใจกว่าใครทั้งหมดในความคิดของซางสิงโจว
ซางสิงโจวคือบุคคลที่รอบคอบที่สุดและมีประสบการณ์มากมาย สามารถจัดการวางแผนได้อย่างคล่องแคล่วและถี่ถ้วน
เรื่องใดก็ตามที่เขาทำล้วนมีการวางแผนอย่างแยบยลแล้วจึงค่อยลงมือทำ หากไม่มีความมั่นใจอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็จะไม่มีทางลงมือทำ แม้แต่ลงมือแล้วก็จะไม่มีทางทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้
ด้วยเหตุนั้นบรรดาขุนนางที่สร้างคุณูปการเหล่านั้นบนหอหลิงเยียนล้วนสิ้นชีวิตลงในมือของเขา บนโลกใบนี้กลับมีเพียงไม่กี่คนนักที่ทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของนักพรตจี้
ดังนั้นภายในช่วงระยะเวลาหลายปีหลังจากคดีฆาตกรรมของสำนักฝึกหลวงจบลง แม้แต่จักรพรรดินีเทียนไห่เองก็ไม่มีทางหาร่องรอยของเขาเจอ
บุคคลอย่างซางสิงโจวนั้นไม่มีทางนำแต้มต่อทั้งหมดมาวางไว้ในการต่อสู้เพียงฉากหนึ่งแน่นอน
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในครั้งนี้เขาต้องเป็นผู้ได้รับชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากสิ่งที่เขาต้องการก็คือผลงานยิ่งใหญ่ไปชั่วกาลนาน และตราบใดที่เป็นสงครามแล้ว ก็ล้วนมีความบังเอิญที่มิอาจควบคุมได้
เฉินฉางเซิงจะโน้มน้าวเขาได้อย่างไรเล่า
“เมื่อข้าได้เห็นอู๋เต้าจื่อดำเนินออกมาจากบนกำแพงศิลา ก็เริ่มนึกถึงเรื่องนี้ว่าควรจะทำอย่างไร”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงก็หันไปสบตาสวีโหย่วหรง
และในเวลานั้นเอง เขาก็ทราบได้ทันทีว่าหวังจือเช่อจะปรากฏตัว และนางนั้นจะต้องพ่ายแพ้แก่อาจารย์ของตน
เขามองไปทางหวังจือเช่อ ก่อนเอ่ยต่อว่า “หลังจากนั้น ข้าก็นึกถึงวิธีการอะไรได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สายตานับไม่ถ้วนทอดตกลงบนร่างเขา
ซางสิงโจวเองก็หันกลับมามองเขาเช่นกัน ราวกับอยากทราบว่าเขานั้นคิดวิธีการอันใดออก
“ข้าทราบดีว่ามันยากที่ข้าจะโน้มน้าวให้อาจารย์ยอมรับในข้อเสนอของข้า ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับหวังจือเช่อว่า “แต่ท่านสามารถทำได้ ”
ซางสิงโจวเชิญหวังจือเช่อมายังเมืองหลวง ด้วยประสงค์ให้เขาโน้มน้าวสวีโหย่วหรงมิให้ทำพฤติกรรมที่ก่อให้ความดีและความชั่วพังพินาศลงพร้อมกัน
เฉินฉางเซิงมิได้ทำสิ่งใด เขาเพียงแต่กำลังรอคอยการปรากฏตัวของหวังจือเช่อ
เขาคาดหวังว่าหวังจือเช่อจะสามารถโน้มน้าวให้ซางสิงโจวยอมรับในข้อเสนอของเขาได้
ใช่แล้ว บุคคลที่สามารถโน้มน้าวซางสิงโจวได้มีเพียงหวังจือเช่อเท่านั้น
“และในเมื่อนี่คือการต่อสู้ ก็คงจะต้องมีสักท่านหนึ่งที่เป็นผู้ตัดสิน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ทั่วทั้งดินแดนนี้มีเพียงท่านที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมาเป็นผู้ตัดสิน เพราะชื่อเสียงและความนิยมของท่านสูงส่งเพียงพอ คนทุกผู้ล้วนเชื่อมั่นในความตรงไปตรงมาของท่าน”
หวังจือเช่อเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าก็รอคอยให้ข้าปรากฏตัวจริง ๆ”
ในที่สุดทุกคนต่างก็เข้าใจในคำพูดของเฉินฉางเซิง เข้าใจในการเตรียมการของเขาแล้ว
สวีโหย่วหรงลักลอบเข้าวังกลางดึก เฉินหลิวอ๋องเดินทางไปลั่วหยางยามค่ำคืน ในขณะที่ทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังตึงเครียดอย่างหาใดเทียบได้ เขากลับเอาแต่ฝึกวิถีกระบี่อยู่ในห้องศิลาของพระราชวังหลีอย่างเงียบ ๆ
เหตุใดกันเล่า เนื่องจากเขาต้องการเตรียมการต่อสู้ เนื่องจากเขาเองกำลังรอคอยให้ซางสิงโจวเอ่ยเชิญหวังจือเช่อ ให้ออกมานั่นเอง
ที่แท้เขาก็กำลังรอคอยการปรากฏตัวของหวังจือเช่อ
ที่แท้เขาก็อยู่ที่นี่เพื่อรอคอยหวังจือเช่อมาโดยตลอด
แต่เขาถือเอาอะไรมาตัดสินว่าหวังจือเช่อจะช่วยเหลือเขาเล่า
เพราะชื่อเสียงและความยุติธรรมของหวังจือเช่อน่ะหรือ
หวังจือเช่อมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยว่า “ความสัมพันธ์ของข้าและอาจารย์ของเจ้าไม่ดีนัก”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาลงมาก
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ข้าทราบ แต่ในเมื่อท่านมาแล้ว นั่นหมายถึงความสัมพันธ์ของพวกท่านนั้นไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่ข้าได้จินตนาการไว้ในตอนแรก”
เหล่าขุนพลลือชื่อและขุนนางมีผลงานในหอหลิงเยียน เกือบทุกคนล้วนตายด้วยน้ำมือของซางสิงโจว
ซางสิงโจวคือกระบี่ไร้รูปร่างและน่ากลัวที่สุดของจักรพรรดิไท่จง
ความสัมพันธ์ของหวังจือเช่อและจักรพรรดิไท่จงไม่ดีนัก และเขายังเป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งในรูปภาพในหอหลิงเยียนอีกด้วย
หากว่ากันตามหลักการแล้ว เขาควรจะโกรธเกลียดในตัวซางสิงโจวเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงเองก็คิดเช่นนั้น
แต่เมื่อเขาพบว่าหวังจือเช่อตอบรับคำเชิญของซางสิงโจวมายังเมืองหลวง เขาก็เริ่มพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนอย่างละเอียดอีกครั้ง
เขาย้อนนึกไปถึงในปีนั้นที่ตนถูกราชามารไล่ล่าสังหาร ทันใดนั้นหวังจือเช่อก็ปรากฏตัวขึ้น
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “เจ้าผิดแล้ว ที่ข้ามาเมืองหลวงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอาจารย์ของเจ้า”
ย้อนกลับไปที่ประโยคนั้นในตอนแรกอีกครั้ง
ไพร่ฟ้าใต้หล้า
เฉินฉางเซิงประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้ผิดหวัง
เนื่องจากการโน้มน้าวใจที่ว่า แท้จริงแล้วยังคงหมายถึงกองทัพ
ขอเพียงหวังจือเช่อยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเขา เช่นนั้นแล้วซางสิงโจวก็ต้องเห็นด้วยในข้อเสนอของเขาแน่
หากไม่อย่างนั้นซางสิงโจวคงมีราคาที่ต้องจ่ายมากขึ้นแน่ และเป็นราคาที่หากมองในมุมความเป็นเหตุเป็นผลแล้วไม่มีทางรับได้แน่
คำถามก็คือ แม้ว่าหวังจือเช่อจะถูกเขาโน้มน้าวได้แล้ว และไม่ได้สนับสนุนซางสิงโจวอีกต่อไป แต่จะมีเหตุผลใดที่จะมาช่วยเขากัน
ยังคงเป็นเพราะไพร่ฟ้าใต้หล้าหรือ
เห็นได้ชัดว่ายังคงไม่ใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักมากนัก แต่เฉินฉางเซิงไม่อยากเอ่ยคำนี้
จำนวนการปรากฏขึ้นของคำนี้ในวันนี้นั้นมากพอแล้ว เยอะมากเสียจนเขาเองยังรู้สึกอึดอัด
เขามองไปที่หวังจือเช่อ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เนื่องจาก……อู๋เต้าจื่อจะต้องตาย”