ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 57 ก่อนปะทะ
สำนักฝึกหลวงเงียบยิ่งนัก เงียบราวกับสุสานแห่งหนึ่ง
บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ ทั้งยังกุลีพวกนั้นได้จากไปแล้ว ในที่สุดซูม่ออวี๋และถังซานสือลิ่วก็เดินออกประตูไปเป็นคนสุดท้าย
ซูม่อวอี๋หันกายไปมองกำแพงสำนักฝึกหลวงที่ถูกเถาวัลย์เขียวเลื้อยปกคลุม ก่อนเอ่ยอย่างทุกข์ใจว่า “เขาเตรียมจะสู้อย่างไรกันนะ”
สายตาของถังซานสือลิ่วทอดมองไปยังส่วนลึกของสำนักฝึกหลวง เขาเงียบไม่พูดจา
นี่เป็นคำถามที่ทุกคนล้วนอยากทราบ
หน้าสุสานเทียนซูถนนเสิน
สายตานับไม่ถ้วนทอดตกลงบนร่างของเฉินฉางเซิง
เสียงก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาดังขึ้น สวีโหย่วหรงเดินมาอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิง
ไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ล้ำหน้า และก็ไม่มีเจตนาที่จะถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว
เคียงไหล่เขาพอดี
เมื่อเห็นภาพนี้ ไม่มีผู้ใดประหลาดใจ และก็ไม่ได้รู้สึกทึ่ง แต่สีหน้ากลับดูผ่อนคลายขึ้นมาก
นับตั้งแต่วินาทีที่เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมาว่าต้องการประลองกับซางสิงโจว หลายคนก็เริ่มจินตนาการถึงภาพนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือความสามารถในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนมิอาจเทียบซางสิงโจว ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องเผชิญหน้าตรง ๆ
ความยุติธรรมที่แข็งทื่อนั่นแหละที่เป็นความไม่ยุติธรรมอย่างแท้จริง แม้แต่ศัตรูของเขาก็ไม่มีทางเอ่ยข้อเสนอเช่นนี้แน่นอน
เขาร่วมมือกับสวีโหย่วหรง เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดีว่า วิชาสองกระบี่ประสานพลังของพวกเขานั้นมีพลังที่ยากจะจินตนาการได้ หรือแม้แต่สามารถทำลายขีดจำกัดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผู้ใดถือหางว่าพวกเขาสามารถเอาชนะซางสิงโจวได้
วิชาสองกระบี่ประสานพลังของพวกเขาเคยโจมตีอู๋ฉยงปี้เสียจนล่าถอย ณ เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เคยถล่มผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนเซิ่งกวงที่มาจากต่างดินแดน
แต่ในวันนี้คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือซางสิงโจว ผู้แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนอย่างที่ไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้ง
พลังขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของซางสิงโจวเหนือกว่าอู๋ฉยงปี้มากนัก ครั้งหนึ่งเขาเคยฉีกปีกของผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนเซิ่งกวงผู้หนึ่งกลางอากาศ
หากเป็นไปตามการคาดเดาของสวีโหย่วหรงนั้น ซางสิงโจวมีการบาดเจ็บภายใน ยังคงได้เปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฉินฉางเซิงและนางแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เฉินฉางเซิงได้เอ่ยคำกล่าวที่เกินความคาดหมายของผู้คนออกมา
“นี่เป็นเรื่องระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์อย่างพวกเรา ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถแก้ไขกันเองได้”
เขามองไปยังสวีโหย่วหรงยามเอ่ย ทั้งยังเอ่ยต่อหวังผ้อและพรรคกระบี่หลีซาน รวมถึงผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นในสำนักฝึกหลวงด้วย
เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้ ทุกคนในที่นั้นต่างก็ส่งเสียงอื้ออึง ต่างคิดว่าจะต่อสู้ได้อย่างไรเล่า
สวีโหย่วหรงเองก็ประหลาดใจมาก นางมองเขาอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของนางปรากฏร่องรอยของความผิดหวังออกมาเล็กน้อย
ตรงกันข้าม ไม่นานซางสิงโจวก็เข้าใจในเจตนาของเขา ก่อนเอ่ยออกมาอย่างเฉยชาว่า “ตกลง”
หวังจือเช่อราวกับคาดเดาได้ถึงสิ่งที่เฉินฉางเซิงวางแผนไว้ พลางเลิกคิ้วก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่เห็นต่าง ”
ในเวลานี้ข่าวล่าสุดจากในเมืองหลวงได้ส่งมาถึงแล้ว สำนักฝึกหลวงได้รับการล้างบางแล้ว
เมื่อได้ยินข่าวสารนี้ ผู้คนเข้าใจไปเองว่าเข้าในได้ถึงสิ่งใดแล้ว
สำนักฝึกหลวงในตอนนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการต่อสู้ในวันนี้
แต่ในวินาทีต่อมาผู้คนถึงตระหนักได้ว่ายังคงไม่เข้าใจว่าเฉินฉางเซิงเตรียมตัวจะสู้อย่างไร
……
……
ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปสำนักฝึกหลวง ซางสิงโจวได้ไปยังวังหลวง
ทั้งสองสถานที่อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ระหว่างทางมีกำแพงวังเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยลายพร้อย
ปรากฎการณ์ท้องฟ้าที่ผิดแปลกค่อย ๆ เลือนหายไป ท้องฟ้ายังคงมีหิมะโปรยปรายลงมาเล็กน้อย
ซางสิงโจวยืนอยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่ มองไปยังตำหนักที่สูงตระหง่านและยิ่งใหญ่อย่างเงียบ ๆ
เกร็ดหิมะตกลงมาบนขมับและอาภรณ์ของเขา มันมิได้ละลายหายไปแต่เกาะติดอยู่เช่นนั้น ราวกลับกลายเป็นสิ่งใดที่ไม่เสมือนจริงอย่างนั้น
เหล่าขันทีและนางกำนัลกว่าสิบคนคุกเข่าอยู่บนทางเดินหรือข้างบันไดหินที่อยู่ข้างประตู ต่างก้มหน้าลง ไม่กล้าเอ่ยคำใด สั่นเทาไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงอยู่ในตำหนัก
ซางสิงโจวมองไปที่นั้นอย่างเงียบ ๆ มองอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปในตำหนัก ก่อนหมุนตัวจากไป
ไม่มีผู้ใดทราบว่าในเวลานี้สีหน้าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เมื่อฟังคำกระซิบจากหลินกงกงเฒ่ารายงาน นิ้วมือของอวี๋เหรินที่กุมม้วนหนังสือเอาไว้ซีดลงเล็กน้อย
เมื่อยามที่ซางสิงโจวยืนอยู่ด้านนอกนั้น เขาเอาแต่มองหนังสือเล่มหนึ่ง
เขาจดจ่อยิ่งนัก ดังนั้นศีรษะจึงก้มต่ำมาก
ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าแท้ที่จริงเขาแทบจะไม่ได้อ่านเนื้อหาข้างในนั้นเลย
และก็ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขาได้เลย
ค่ายกลที่ปกป้องตำหนักนั้นได้หายไปแล้ว ลมหนาวเย็นอ่อน ๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่าง มันพัดเปิดหน้าหนังสือเกิดเสียงดังซ่า ๆ
ในวังหลวงเงียบเชียบยิ่งนัก ราวกับภูเขาที่เงียบเหงาท่ามกลางสายหมอกที่ยังไม่ตื่นขึ้นมาอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในตำหนักนั้นเกิดเสียงน้ำดังขึ้น
ติดตามมาด้วยเสียงของหลินกงกงเฒ่าที่ดังขึ้นเพราะความเจ็บปวด
“ฝ่าบาท ใช้ผ้าร้อนประคบดวงตาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
……
……
ด้านนอกสำนักฝึกหลวงเต็มไปด้วยผู้คน
สถานการณ์เช่นนี้เคยปรากฏขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต
หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อย เหล่าผู้คนที่ว่างงานซึ่งอยู่เต็มเมืองหลวงโอมล้อมสำนักฝึกหลวงในครานั้น
นักพรตซือหยวนและราชันย์แห่งหลิงไห่ได้แสดงวิทยายุทธผ่านทุกสำนัก ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนเอาแต่ท้าทายสำนักฝึกหลวงอย่างต่อเนื่อง
หลังจากการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู สำนักฝึกหลวงถูกทหารม้าของราชสำนักโอบล้อมอยู่ถึงสามวัน
แต่วันนี้แตกต่างออกไปจากหลายครั้งก่อน เพราะด้านนอกของสำนักฝึกหลวงในเวลานี้ช่างเงียบยิ่งนัก
อย่าว่าแต่เสียงทะเลาะวิวาทหรือเสียงก่นด่า แม้แต่เสียงอภิปรายก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเวลานี้เงียบถึงเพียงนี้
ตั้งแต่ราชนิกุลท่านอ๋องทั้งหลายไปจนถึงผู้แข็งแกร่งที่บำเพ็ญพรต เหล่าประชาชนทั่วไป ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่การต่อสู้ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ฉากนั้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
การต่อสู้ฉากนี้ยังมิได้เริ่มต้นขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่มันได้ถูกเขียนลงในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์แล้ว
อาจกล่าวได้ว่านี่จะเป็นการสืบเนื่องหลังจากการต่อสู้ของโจวตู๋ฟูและราชามารแล้ว เป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดฉากหนึ่ง
การสอบใหญ่ที่สามารถดึงดูดความสนใจของทั่วทั้งดินแดนได้ในปีก่อน ๆ นั้น ไม่ได้รับการสนใจอีกต่อไป
ผู้เข้าสอบเหล่านั้นและบรรดาอาจารย์จากสำนักการศึกษากลางยังคงอยู่ด้านในโลกใบไม้คราม ไม่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติใด ๆ เลย
ใบไม้สีครามกระถางนั้นถูกวางไว้ในบางห้องของโรงน้ำชาบางแห่งด้านนอกสำนักฝึกหลวง
ถังซานสือลิ่วไม่แม้แต่จะมองมันด้วยซ้ำ
เขากำลังมองไปด้านนอกของโรงน้ำชา
ถนนทุกสายรอบด้านของวังหลวงล้วนถูกบังคับใช้กฎอัยการศึกแล้ว
ด้านในตรอกไป่ฮวาเต็มไปด้วยผู้คน
เขามองเห็นหวังผ้อ มองเห็นเซี่ยงอ๋อง มองเห็นจงซานอ๋อง มองเห็นหญิงชราจากตระกูลมู่เต้อที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อใด มองเห็นราชันย์แห่งหลิงไห่ที่เร่งรีบดำเนินมาจากสำนักเทียนเต้า และมองเห็นนักพรตซือหยวนที่เร่งรุดเดินทางมาจากถนนไท่ผิง แต่กลับไม่เห็นสวีโหย่วหรง
……
……
สวีโหย่วหรงไปยังสวนส้มจี๊ด
สีหน้าของหลัวหยางอ๋องซีดขาว เขาเอาแต่เดินเตร่ไปมาในห้องตลอดเวลา ปากก็พึมพำไม่หยุด “นี่จะทำอย่างไรดีเล่า จะทำอย่างไรกันดี……”
ม่ออวี่เองก็กังวลใจ เมื่อมองไปที่ท่าทางของเขาในใจกลับยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งกว่า นางเอ่ยถาม “เขากำลังคิดสิ่งใดกันแน่”
สวีโหย่วหรงตอบเสียงเบาว่า “ข้าไม่ทราบ”
ม่ออวี่เอ่ยอย่างยุ่งยากใจว่า “อย่างนั้นก็ควรจะอยู่บ้านนั้นเพื่อเฝ้าดู จะมาหาข้าที่นี่ทำไม”
สวีโหย่วหรงมองไปที่นางก่อนเอ่ยว่า “ข้ามาเพื่อเตือนสติท่าน ว่าท่านควรทำสิ่งใดตามสัญญาของข้าและฝ่าบาท”
ม่ออวี่ขมวดคิ้วก่อนเอ่ยว่า “ต่อให้เขาทราบดีว่าเขามีความเป็นได้สูงมากว่าจะแพ้น่ะหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “หากเขาแพ้ ก็ลงมือได้เลย”
ม่ออวี่ตกตะลึง พลางรอบคิดในใจว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดต่อจากเหนียงเหนียง
……
……
ด้านในตึกเล็กนั้นไม่มีฤดูกาล
อุณหภูมิในห้องนั้นต่ำยิ่งนัก ราวกับอยู่ในช่วงวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวก็มิปาน
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง หลับตาลง
บนโต๊ะมีแมลงปอไม้ไผ่วางอยู่ทั้งยังมีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์
มังกรดำยืนอยู่เบื้องหลังของเขา มันเอาแต่แผ่กระจายลมปราณมังกรออกมาไม่หยุด
บนพื้นนั้นไม่ได้เกิดเกล็ดน้ำแข็งขึ้น เนื่องจากความหนาวเหน็บทั้งหมดนั้นล้วนตกลงบนกายของเขาอย่างแม่นยำหาใดเทียบได้
——อุณหภูมิต่ำนั้นสามารถซ่อมแซมบาดแผลที่ละเอียดอ่อนที่สุด สามารถทำให้ร่างกายรักษาเอาไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง และสามารถทำให้ดวงจิตสงบนิ่งยิ่งขึ้น
ภายในห้องศิลาของพระราชวังหลีนั้น เขาสงบใจฝึกกระบี่มาหลายวันรวมทั้งเตรียมการมามากมายนัก
แต่เขาทราบดีว่าแม้จะเตรียมการมากมายกว่านี้ก็คงไม่เพียงพอหากต้องการเอาชนะคนอย่างอาจารย์ผู้นี้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาลืมตาขึ้นพลางหยิบไม้เท้ากายสิทธิ์เดินออกไปด้านนอกประตู และเดินไปยังห้องหนึ่งที่ชั้นหนึ่ง
เขาเก็บอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างดี ก่อนเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกเพื่อหยิบชุดเดี่ยวนั้นออกมา
ห้องห้องนี้เป็นของเจ๋อซิ่ว อาภรณ์ชุดนี้ก็เป็นของเจ๋อซิ่วเช่นกัน
อาภรณ์นี้ด้านหน้าสั้นมาก แขนเสื้อสั้นกว่า เหมาะสำหรับการต่อสู้ และยิ่งเหมาะมากหากจะต้องสู้สุดใจ
หลังจากทำเรื่องเหล่านี้แล้ว เขาก็เดินออกไปจากตึกเล็ก
ซางสิงโจวยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบแล้ว
หวังจือเช่ออยู่ไม่ไกล
เฉินฉางเซิงยื่นมือโยนของสิ่งหนึ่งออกไป
หวังจือเช่อยื่นมือออกไปรับ เขามองดูมันก่อนจะถอนหายใจ
มันคือหินดำ