ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 60 เคลื่อนไหวราวกระบี่
ย้อนกลับไปครานั้นในเมืองจักรพรรดิไป๋ตี้ เปี๋ยยั่งหงปลูกฝังประสบการณ์การรบระหว่างตนและทูตสวรรค์เซิ่งกวงเข้าสู่ความคิดของเฉินฉางเซิงผ่านจุดแดงที่ศาลาหวันโสวเมืองซีหนิง ในนั้นมันมีสาระสำคัญของวิธีการปล่อยหมัดที่เขาใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของชีวิต
ก่อนหน้านั้น เปี๋ยยั่งหงไม่มีความเคยชินที่จะใช้หมัดในการต่อสู้
ในการต่อสู่ที่สุสานเทียนซูนั้น เขาเห็นจักรพรรดินีเทียนไห่ใช้หมัดของนางแสดงพลังที่สามารถทำลายฟ้าดินได้ด้วยตาตนเอง จึงเกิดแรงบันดาลใจและเกิดวิถีหมัดชุดนี้
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขายอมจำนนต่อจักรพรรดินีเทียนไห่ แต่ทัศนคติของการเรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งกลับแสดงถึงความไม่เกรงกลัวอย่างแท้จริง
หมัดที่ไร้ความกลัว มีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้
เมื่อเฉินฉางเซิงปล่อยหมัด อากาศในรัศมีหลายร้อยลี้ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เกิดเป็นพายุเฮอริเคนขึ้น
ป่าล้มลงไปด้านหลังของเขาเป็นแนว แสดงถึงความกลัวของพวกมัน
ซางสิงโจวไม่ได้หลบหมัดที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวนี้
แต่เขารับเอาหมัดอันนี้ไว้
เกิดเสียงดังปัง เศษหญ้า ละอองน้ำและโคลนปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังแสงอาทิตย์
ป่าค่อย ๆ กลับมาเป็นตรงเหมือนเดิมและลมก็ค่อย ๆ หายไป
เมื่อถูกบดขยี้ด้วยพลังแห่งความหวาดกลัว พื้นดินที่เคยอ่อนนุ่มก็จมลงและหนักขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
หมัดของเฉินฉางเซิงอยู่บนฝ่ามือของเขา แต่ไม่สามารถบุกเข้าไปได้อีก
หากตอนนี้ฝักกระบี่ซ่อนคมยังคงอยู่ เขาคงคิดวิธีโจมตีขั้นรุนแรงต่อซางสิงโจวได้หลายกระบวนท่าแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่มีแม้กระทั่งกระบี่
โชคดีที่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถออกกระบี่ได้
อุณหภูมิที่ขอบทุ่งหญ้าก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พืชน้ำในบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นสีเหลือง
เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่สันดาปที่รุนแรงและเฉียบขาดที่สุด
ปราณแท้ที่แท้จริงในร่างกายของเขาเริ่มเผาไหม้อย่างรุนแรง และแขนขวาที่กลายร่างเป็นกระบี่พุ่งไปยังซางสิงโจว
สีหน้าของซางสิงโจวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขายังคงเฉยชา
เขาเปรียบเสมือนภูเขาใหญ่ที่สูงตระหง่าน ให้ความรู้สึกที่ยากจะเขย่าให้มันสั่นไหว
พลังที่ทรงพลังมากพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
หมัดของเฉินฉางเซิงไม่สามารถเข้าไปได้แม้แต่ชุ่นเดียว
พลังอันยิ่งใหญ่นั้นมีความพิเศษ ไม่เหมือนเกิดจากละอองดาว แต่กลับดูรุนแรงดุเดือดราวกับมีอุณหภูมิความร้อนที่แท้จริง
จากเค้าลางที่ปรากฏ ดูเหมือนว่าเฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่สันดาประดมปราณแท้
เฉินฉางเซิงราวกับคาดเดาได้ถึงสิ่งใดและประหลาดใจ
แต่เขายังไม่ทันได้ครุ่นคิด เนื่องจากการโต้ตอบของซางสิงโจวมาถึงแล้ว
เหมือนกับคราที่อยู่ยอดเขาหุบเขาอัสดงอย่างนั้น
มือขวาของซางสิงโจวดูเหมือนจะตกลงแบบสุ่มตามอำเภอใจ ราวใบไม้ร่วงเข้าสู่ลม ไม่สามารถจับทางได้เลย
เฉินฉางเซิงยังคงหลบไม่พ้น
มือขวาของซางสิงโจววางลงบนทรวงอกเขาอย่างแผ่วเบานัก แต่กลับมีพลังที่เทียบได้กับชั้นฟ้าและดิน
บนพื้นที่แข็งแกร่งและเพิ่งจมลงนั้นปรากฏร่องลึกมากขึ้นมาสองแห่ง
เฉินฉางเซิงถอยร่นกลับไปที่ริมร่องลึกนั้น น่องขาเขากระแทกเข้ากับพื้นและลอยขึ้นไป
เขาเหมือนก้อนหินที่ถูกขว้างโดยคนที่แข็งแกร่ง แหวกอากาศ บังเกิดจุดดำเล็ก ๆ บนท้องฟ้า
สายตาของซางสิงโจวขยับตามและมองไปไกลหลายลี้
ด้วยเหตุอันใดไม่รู้ เขาไม่มีความสุข และก็ไม่ได้เฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นสายลมก็มาถึง เขากลายร่างเป็นควันสีเขียวและไปจากที่นั่น
……
เฉินฉางเซิงลอยออกไปหลายลี้ เขาหกคะเมนตีลังกาอยู่ในน้ำ หน้าทิ่มลงไป มองดูราวกับซากศพ
ทันใดนั้นเขาก็พลิกตัวลุกขึ้นมา ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่กลับเร่งรุดเดินตรงไปข้างหน้า
เขาวิ่งเร็วราวกับอาชา ละอองน้ำติดตามไปเป็นสาย แขนขวาเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีใครสามารถรับมือกับสองฝ่ามือของซางสิงโจวได้ แม้ว่าเขาจะกดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในสวนโจวแล้วก็ตาม
เฉินฉางเซิงยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ยังสามารถวิ่งได้ นอกจากร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมือทั้งสองข้างของซางสิงโจวยังไม่ได้ออกแรงเต็มที่ด้วยซ้ำ
ในช่วงเวลาสุดท้ายที่มือทั้งสองข้างของซางสิงโจวโจมตีลงไปทั้งสองครั้ง เขาล้วนใช้แขนป้องไว้ระดับอกตน
ไม่มีกระบี่ แต่ยังคงต้องใช้กระบี่
ก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มใช้เพลงกระบี่สันดาป เขาได้เลือกใช้เพลงกระบี่โง่งม
กระบี่ปกป้องเล่มแรกในใต้หล้า
และเขาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงฝ่ามือราวใบไม้ร่วงของซางสิงโจวได้เลย แต่สามารถเลือกจุดที่จะถูกโจมตีได้
นอกจากนี้เขายังสามารถเลือกวิธีปลดพลังอย่างไรหลังจากถูกโจมตี
เขายังใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาหนึ่งครั้งในอากาศ
ดังนั้นเขารู้ว่าเขาจะตกลงที่นี่
ที่นี่คือทุ่งหญ้าทีพระอาทิตย์ไม่เคยตกดินและเป็นที่ที่เขาประสงค์จะมา
หลังจากมั่นใจว่าไม่สามารถใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาสลัดซางสิงโจวให้หลุดได้ เขาก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการณ์ต่อไปทันที
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเค้าจะประสบความสำเร็จแล้ว
เสียงร้องและเสียงเสียดสีของขวากหนามที่หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ในทุ่งหญ้า ราวกับกำลังเฉลิมฉลองให้กับเขา
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมังกรคะนองน้ำซึ่งได้กลิ่นลมปราณของเขา จึงมาต้อนรับ
เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายไม่นานก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของซางสิงโจว
นอกเหนือจากความหวาดกลัวแล้ว เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายยังคงพุ่งเข้ามาอย่างกล้าหาญ
มังกรคะนองน้ำกว่าสิบตัวแหวกว่ายไปมาไม่หยุดท่ามกลางวัชพืชน้ำ ลบเลือนร่องรอยที่เฉินฉางเซิงทิ้งไว้
มังกรคะนองน้ำนำพาลมปราณเน่าเหม็น ลอยล่องไปทางซางสิงโจวที่อยู่ห่างไปไม่กี่ลี้อย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมีจุดดำปรากฏขึ้น น่าจะเป็นนกแร้งสีเทาที่กำลังเร่งรุดมา
เชื่อว่าเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง สัตว์ประหลาดที่ราวกับคลื่นน้ำ ก็จะปกคลุมทุ่งหญ้านี้ไปทั้งหมด
แต่นี่มิใช่เจตนาของเฉินฉางเซิง
เขาเสี่ยงอันตรายจากการที่จะถูกซางสิงโจวพบเข้า ตะโกนออกไปว่า “ถอยไป”
……
……
ซางสิงโจวยืนอยู่บนกิ่งต้นอ้อที่อยู่โดดเดี่ยวกิ่งหนึ่ง ขึ้นและลงตามลมอย่างแผ่วเบา
เขาฟังเสียงแผ่วเบาที่ลอยมาตามน้ำ รับรู้ได้ถึงลมปราณเหล่านั้นที่แอบซ่อนอยู่ในทุ่งหญ้า เลิกคิ้วเอ่ยว่า “สัตว์ร้าย ตายซะเถอะ”
ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นราวกับฟ้าผ่า ดังก้องไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า
มันคือเสียงของเฉินฉางเซิง
คิ้วของซางสิงโจวที่เลิกขึ้นค่อยๆ คลายลง
เขาประหลาดใจเล็กน้อย
……
……
ไม่มีสัตว์ประหลาดใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเฉินฉางเซิง
เนื่องจากเขาคือเจ้าของสวนโจว ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นผู้ช่วยให้โลกนี้รอดพ้นจากอันตราย
ความจงรักภักดีที่เหล่าสัตว์ประหลาดมีต่อเขานั้นออกมาจากจิตวิญญาณและสัญชาตญาณของพวกมัน
หลังได้ยินคำสั่งของเขา แม้แต่หมาป่าเวหาที่ดุร้ายและดื้อด้านที่สุดก็ยังล่าถอยไปอย่างเงียบ ๆ
ด้านหน้าสุสานโจว สัตว์ประหลาดยักษ์และยักษ์ล้มภูเขากำลังจ้องกันและกัน มันเริ่มกดตัวก้มลง
ทุ่งหญ้ากลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงร้องของแมลงและเสียงน้ำไหลแผ่วเบา
เท้าของเฉินฉางเซิงเหยียบลงบนพื้น
หญ้าสีขาวเป็นทาง มีน้ำค้างแข็งดั่งเดิม วัดเก่านั้นยังคงอยู่
เขาพุ่งเข้าไปในวัด นั่งลงเบื้องหลังของรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์
ลมหายใจของเขาหนักขึ้น สีหน้าซีดลง
เขาหยิบเข็มสีทองออกมาจากนิ้วของเขาและแทงเข้าไปที่คอของเขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็หลับตาและเริ่มทำสมาธิ
ซางสิงโจวที่กดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ลงแล้วมิใช่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพานพบในชาตินี้ แต่กลับเป็นคนที่ให้แรงกดดันเขามากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นตอนแรกที่พบจูลั่วหรือตอนพบราชามารที่เทือกเขาหานซาน ล้วนไม่เหมือนในวันนี้ที่เขายากจะรับได้
ตั้งแต่หุบเขาอัสดงจนถึงวัดเก่านี้ ใช้เวลาไม่นานนัก ประมือกันเพียงแค่สองหน แต่เขากลับเหน็ดเหนื่อยอย่างถึงที่สุด
นี่คงเป็นความกดดันทางจิตใจที่ศิษย์ต้องพบเจอเมื่อท้าประลองอาจารย์กระมัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขานั้นจะสามารถทนได้นานเพียงใด และก็ไม่รู้ว่าเขานั้นจะสามารถทนได้ถึงที่ใด
จู่ ๆ เฉินฉางเซิงก็ลืมตาขึ้น
ซางสิงโจวมาถึงยังด้านนอกวัด