ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 61 ไม่กล้าเอ่ย
ลมหายใจของเฉินฉางเซิงเริ่มราบรื่น ระยะห่างลมหายใจยาว แต่มิได้หายไปทั้งหมด ดูแล้วเหมือนปกติมาก
คล้ายกับหินในลำธารและปลาที่ว่ายวนรอบก้อนหิน มีการเคลื่อนไหว แต่มิได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ใด
เขาหันไปมองท้องฟ้าด้านนอกวัดชั่วครู่
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม ริ้วเมฆกระจายปกคลุมเต็มท้องฟ้า งดงามยิ่งนัก
มีจุดดำบนท้องฟ้า ซึ่งน่าจะเป็นนกอินทรีสีเทาที่มีหน้าที่เฝ้ามอง
ตามการบัญชาของเขา สัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนแอบซ่อนอยู่ มิได้เข้าใกล้ถนนหญ้าขาว
เขาทราบดีว่าอาจารย์นั้นแข็งแกร่งและน่าเกรงขามเพียงใด หากให้สัตว์ปีศาจโจมตี แม้ว่าจะสามารถยื้อเวลาให้เขาได้สักพัก ทำให้เขาได้เปรียบเล็กน้อย แต่เหล่าสัตว์ปีศาจนั้นต้องแลกมาด้วยสิ่งที่ยิ่งใหญ่นัก แม้กระทั่งทะเลหญ้าอาจอาบไปด้วยโลหิตเลยก็ได้ และก็เหมือนที่เขาเคยกล่าวเอาไว้ที่สุสานเทียนซูนั้น ในเมื่อเป็นเรื่องระหว่างอาจารย์และศิษย์ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรจัดการกันเองระหว่างอาจารย์และศิษย์ เหตุใดต้องลากทั้งดินแดนมาเกี่ยวข้องด้วย
ซางสิงโจวเห็นด้วยกับคำขอร้องของเขา และเก็บเอาของทุกอย่างที่เคยให้เขาไปทั้งหมด
ถึงขั้นเอ่ยว่าพรสวรรค์ของตนนั้นเทียบเฉินฉางเซิงมิได้ ดังนั้นต้องเพิ่มเข้าไปอีกสิบปี
เขาช่างไม่หวาดหวั่นทั้งยังสงบนิ่งนัก
ศิษย์และอาจารย์ทั้งสองอาศัยความสามารถเข้าต่อสู่ นี่จึงถือเป็นความยุติธรรมอย่างแท้จริง
เพียงแต่มีบางเรื่องที่เฉินฉางเซิงมิเข้าใจ
เขาคือร่างกายที่ไร้ราคี การชำระกระดูกและบำเพ็ญพรตขั้นทะลวงอเวจีล้วนอยู่ในกระบวนการที่สมบูรณ์ที่สุด ขณะอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวยิ่งคือจุดลมปราณตลอดขั้นหนึ่งร้อยแปดจุด แม้ไม่มีเวลาหล่อหลอม ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่ง แต่ความแตกต่างระหว่างตนกับอาจารย์นั้นเหตุใดจึงได้มากถึงเพียงนี้
นี่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับความถ่อมตนและความมั่นใจ ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก
ในด้านสติปัญญาและตรรกะ เขาล้วนยอมรับความเป็นจริงนี้ไม่ได้
วิชาฝ่ามือของซางสิงโจวนั้นลึกลับและมหัศจรรย์ แต่พลังนั้นเล่า
พลังที่อยู่ภายใต้ดินแดนนั้น แต่สามารถทำลายขีดจำกัดสูงสุดของกฎเกณฑ์นั้นคืออะไรกันแน่
เฉินฉางเซิงมองไปท้องฟ้าด้านนอกวัด เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้
ดวงอาทิตย์หมุนวนรอบที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลอย่างช้า ๆ แสงปรากฏบนท้องฟ้า เข้ามาในระยะสายตาของเขา
ดวงสุริยาสีแดงนั้นไม่แสบตา และไม่มีอุณหภูมิที่แท้จริง
ดวงสุริยาในสวนโจวนั้นเป็นของปลอม
ในโลกด้านนอกเป็นดวงสุริยาที่แท้จริง
ดวงสุริยานั้นมีพลังความร้อนที่ยากจะจินตนาการได้ เปล่งประกายสาดแสงออกมาอย่างไม่จบไม่สิ้น
เฉินฉางเซิงเข้าใจในทันที
ซางสิงโจวดำเนินวิถีพรตนับหมื่นพัน รากฐานของแก่นแท้ไม่ใช่ละอองดาวดั้งเดิมของสำนักฝึกหลวง แต่เป็นวิชาสุริยันแผดเผา
แต่นั่นมิได้มีเพียงราชนิกุลตระกูลเฉินเท่านั้นหรือที่จะสามารถบำเพ็ญพรตได้
ทันใดนั้น ผมสีดำตรงขมับของเฉินฉางเซิงก็ม้วนขึ้นเล็กน้อย
อุณหภูมิโดยรอบเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวไฟสีฟ้าอ่อนพวยพุ่งออกมาจากขอบโต๊ะเครื่องหอม
ราวกับในวัดเก่าทรุดโทรมแห่งนี้มีดวงสุริยาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย มือซ้ายโจมตีไปด้านซ้าย ในเวลาเดียวกันเท้าทั้งสองข้างก็เตะเทวรูป มันทะลุกำแพงด้านหลังของวิหารที่พังทลายทันที
เกิดเสียงดังปัง เขากลายเป็นเงาเรือนราง หายไปในทะเลหญ้าที่อยู่สองข้างทางของถนนหญ้าขาว
วัดเก่าเริ่มเผาไหม้
ซางสิงโจวเดินออกมาจากทะเลเพลิง มองไปยังทิศทางที่เขาหายไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ในช่วงเวลาวิกฤติก่อนหน้านี้ เขาและเฉินฉางเซิงประมือกันอีกครั้ง
สถานการณ์ในครั้งนี้กับสองครั้งก่อนหน้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ค่อยได้เปรียบนัก
เรื่องจริงข้อนี้ทำให้อารมณ์ของเขาแปลกไปเล็กน้อย ตามมาด้วยความรู้สึกกังวลนิดหน่อย
ในวัดเก่าที่ปรักหักพังอยู่ในทะเลเพลิงเกิดเสียงสิ่งของแตกหัก
ดูเหมือนในอากาศจะมีเสียงการปะทะกันหลงเหลืออยู่ในอากาศ
ราวเด็กซุกซนกำลังเล่นกับลูกปัดหิน
……
……
กุญแจกระทบกันเกิดเสียงดังกังวาล
หลินกงกงผู้เฒ่าปิดประตูและหันไปมองเงาร่างของฮ่องเต้ สีหน้าบ่งบอกถึงอาการประหม่า
อวี๋เหรินใช้ไม้คำยันเลิกเถาวัลย์สีเขียวออก มายังสวนร้อยหญ้า
นี่เป็นการออกจากวังครั้งแรกของเขาในรอบสามปี
ในสวนร้อยหญ้านั้นมีคนอื่นอยู่
อาวรณ์สีขาวปลิวไสว ผู้นั้นคือสวีโหย่วหรง
หวังจือเช่อเฝ้าอยู่ในสำนักฝึกหลวง ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้
แน่นอนว่าผู้ที่กังวลเกี่ยวกับเฉินฉางเซิงที่สุด จะต้องอยู่ใกล้สำนักฝึกหลวงที่สุด เพื่อพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาได้เสมอ
สวนร้อยหญ้าและสำนักฝึกหลวงนั้นห่างกันเพียงกำแพงกั้น
เมื่อมองไปที่สวีโหย่วหรง หลินกงกงผู้เฒ่านึกถึงบทสนทนาในคืนนั้นระหว่างนางและฝ่าบาท นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในวันนี้ ปรากฏความขุ่นเคืองในแววตา
อวี๋เหรินมองไปที่นางและยิ้มออกมาก ก่อนส่งสัญญาณให้นางนั่งลง
ในป่าที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มองไม่เห็นต้นอ่อนสีเขียวมากนัก
โต๊ะหินและม้านั่งหินเย็นเฉียบ
สวีโหย่วหรงกล่าวว่า “จักรพรรดินีเหนียงเหนียงถูกฝังอยู่ที่นี่”
อวี๋เหรินมองไปที่หญ้าเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
จู่ ๆ สวีโหย่วหรงก็เอ่ยขึ้น “ตัวอักษรอวี๋เหรินทั้งสองคำเมื่อรวมกันก็คืออักษรคำว่าสวี”
ชื่อของอวี๋เหรินมิใช่จักรพรรดิองค์ก่อนประทานให้ และก็มิใช่จักรพรรดินีเหนียงเหนียงอีกเช่นกัน แต่เป็นซางสิงโจวที่ตั้งให้
นี่เป็นสิ่งที่นางเพิ่งจะคิดได้ไม่นานนัก เนื่องจากช่วงนี้นางเริ่มนึกถึงรายละเอียดการหมั้นที่ผ่านมา
ในตอนแรกนั้น การหมั้นที่ไท่ไจ๋และซางสิงโจวกำหนดไม่ได้ระบุว่านางต้องหมั้นกับผู้ใด ขอเพียงเป็นลูกศิษย์ของซางสิงโจวก็เป็นพอ
หากมองจากชื่อของอวี๋เหริน เป็นไปได้มากว่าตัวเลือกที่ซางสิงโจวจะเลือกต้องเป็นเขา
อวี๋เหรินมิได้ปฏิเสธในตอนแรก
ณ วัดเก่าเมืองซีหนิง เขาปฏิเสธงานหมั้นนี้ ดังนั้นอาจารย์จึงได้เลือกเฉินฉางเซิง
สวีโหย่วหรงเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใด”
การมีหงส์สวรรค์แท้จริงเป็นภรรยานั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อราชบัลลังก์
ไม่ต้องพูดถึงว่าในเวลานั้น นางถูกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ต้องใจ
อวี๋เหรินชี้ที่ดวงตาของตน จากนั้นไปที่ไม้ค้ำยันที่วางอยู่บนโต๊ะหิน
สวีโหย่วหรงกล่าวว่า “ฝ่าบาท ความคิดของท่านนี้ไม่ถูกต้อง”
อวี๋เหรินแสดงท่าทีเพื่อเอ่ย “แต่ไม่สามารถผูกสัมพันธ์ได้ ไม่เช่นนั้นหากอีกฝ่ายไม่พอใจ อยากถอนหมั้นจะทำอย่างไร”
สวีโหย่วหรงเอ่ยเสียงเย็นชา “ก็เหมือนกับเรื่องทั้งหมด ทุกอย่างที่ท่านไม่ประสงค์ ก็จะถึงคราท่าน”
นี่คือความไม่พอใจที่สุดที่นางมีต่อวัดเก่าเมืองซีหนิง
ยิ่งนางให้ความสำคัญกับเฉินฉางเซิงเท่าใด ก็ยิ่งไม่พอใจเท่านั้น
ทุกครั้งที่นึกถึงชีวิตของเขาในหลายปีที่ผ่านมา นางก็ยิ่งรู้สึกสงสาร
สีหน้าของอวี๋เหรินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“หากท่านรู้สึกผิดต่อเขาจริง ๆ ทางที่ดีที่สุดก็รีบแสดงออกมา”
สวีโหย่วหรงมองเขาก่อนเอ่ยอย่างเฉยชา “ไม่เช่นนั้นวันนี้หากเขาตาย ต่อให้ท่านร้องไห้คร่ำครวญเพียงใด ข้าคงเข้าใจได้เพียงว่านั่นคือการเสแสร้ง”
อวี๋เหรินยังคงไม่เข้าใจ
ในตอนนี้เฉินฉางเซิงและซางสิงโจวอยู่ในสวนโจว
หากอยากเข้าสู่สวนโจวต้องผ่านทางหินดำนั่นเท่านั้น
ในตอนนี้หินดำอยู่ในมือของหวังจือเช่อ
เพื่อให้มั่นใจว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยุติธรรม หวังจือเช่อไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าสู่สวนโจวทั้งนั้น
เว้นแต่ซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงจะออกมาเอง
แม้ว่าพวกเขาอยากจะช่วยเฉินฉางเซิงแค่ไหน แต่จะทำได้อย่างไรเล่า
“แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์คือทางผ่าน ในปีนั้นโจวตู๋ฟูได้เปลี่ยนสุสานเทียนซูให้กลายเป็นสุสานที่สิบสาม ต่อมาสุสานเทียนซูก็ถูกเขาจัดวางในสวนโจว ข้าสงสัยว่าสุสานเทียนซูเหล่านี้และป้ายศิลานั่นจะมีคุณสมบัติเดียวกันหรือไม่”
สวีโหย่วหรงถอดไข่มุกศิลาออกมา และวางไว้ตรงหน้าอวี๋เหริน
เมื่อเห็นไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ด อวี๋เหรินก็ตกตะลึง
บทสนทนาในวังหลวงคืนนั้น เขาทราบได้ทันทีว่าสวีโหย่วหรงชอบศิษย์น้องของตนเป็นอย่างมาก
แต่จวบจนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้ทราบว่าแท้จริงศิษย์น้องของตนก็ชื่นชอบนางมากเช่นกัน
แววตาของอวี๋เหรินอ่อนโยนลงทันทีเมื่อสบตานาง
เขาหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและวางไว้ตรงหน้าสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงเปิดกล่องนั้น พบว่าด้านในคือบ๊วยเคลือบน้ำตาล
นางไม่เข้าใจ แต่ก็หยิบเข้าปากไปลูกหนึ่ง
เปรี้ยวเล็กน้อย หวานนิดหน่อย
นี่คือไมตรีจิตหรือคำสัญญากันนะ