ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 62 พวกเราล้วนเคยสังหาร
ตอนที่ 62 พวกเราล้วนเคยสังหาร
อวี๋เหรินมิได้หยิบสร้อยศิลาไข่มุกเส้นนั้นขึ้นมา ถึงแม้เขาจะทราบว่านั่นคือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
สวีโหย่วหรง ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเขา นั่นก็เป็นเพราะเฉินฉางเซิงมักจะเอ่ยถึงตน
แต่เขาไม่มีหนทางที่จะเข้าสู่สวนโจวได้เลย
เขาทราบดีว่าเฉินฉางเซิงไม่ประสงค์ที่จะเห็นตนปรากฏตัวแน่นอน
หากต้องพบเจอกับอันตรายที่ไม่สามารถแก้ไขได้จริง ๆ เขาต้องออกมาจากสวนโจวเป็นแน่
……
……
ถนนหญ้าขาวทอดยาวเป็นแนวตรง หากเดินบนนั้นจะพบเจอการเปลี่ยนแปลงสั้น ๆ ของสี่ฤดูกาลที่ผันผ่าน
ใช้เวลาไม่มากนัก เฉินฉางเซิงก็ผ่านไปครบแล้วทั้งผลิร้อนร่วงหนาว บุกทะลวงเข้าสู่พายุหิมะที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
เขาวิ่งเข้าหาพายุหิมะนั้นอย่างต่อเนื่อง สีหน้าซีดขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก
วัดหลังนั้นที่อยู่ลึกเข้าไปในพายุหิมะกลายเป็นเพียงจุดสีดำที่เล็กมาก มันกำลังลุกไหม้
สิบลี้ห่างออกไปจากถนนร้อยหญ้ามีวัดหนึ่งแห่ง อีกร้อยลี้ก็มีวัด อีกพันลี้ก็มีวัดเช่นกัน
เฉินฉางเซิงและซางสิงโจวพบเจอกันถึงสามหน และพวกเขาก็อยู่ในวัดทั้งสามแห่งนี้
ไม่ว่าเขาจะหลบซ่อนตัวในวัดหรือไม่ ก็คงต้องถูกพบเข้าอยู่ดี
หรืออาจเป็นเพราะสถานที่ที่อาจารย์และศิษย์ใช้ชีวิตด้วยกันมานาน ก็คือวัดเก่าในเมืองซีหนิง
การพบและการต่อสู้สั้น ๆ ที่แสนอันตรายทั้งสามครั้ง ทำให้บาดแผลของเฉินฉางเซิงร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมมาก
สัตว์ปีศาจที่ค่อนข้างไร้สติปัญญา แต่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานนั้น อดไม่ได้ที่จะปรากฏตัวออกมาด้วยอยากช่วยเหลือเฉินฉางเซิง ก็ถูกวิถีกระบี่ของซางสิงโจวจัดการเสียจนกลายเป็นผุยผง
ทะเลหญ้าช่วงนั้นถูกโลหิตของสัตว์อาบจนเป็นสีแดงชุ่ม ภาพนั้นแลดูเหม็นคาวยิ่งนัก
แม้ว่าสถานการณ์จะอันตรายเยี่ยงนี้ เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่จากสวนโจวไป
การจากไปอย่างตั้งใจ กักขังซางสิงโจวไว้เสียในสวนโจวนั้นมิใช่ทางเลือก เพราะนั่นมิใช่การต่อสู้
และเมื่อเขาเปิดช่องว่าง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้
ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงพยายามที่จะไม่ใช้กฎเกณฑ์ของสวนโจวในการหมุนเปลี่ยนช่องว่าง
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การเตรียมการทุกอย่างที่เขาทำเพื่อจะโจมตีซางสิงโจวนั้น ทั้งหมดล้วนอยู่ด้านในสวนโจว
แต่ละวันคืนในพระราชวังหลีที่ได้ขบคิดอย่างเงียบ ๆ เขามีการเตรียมการไว้มากมาย
แต่ทุกกลวิธีเหล่านั้นล้วนอยู่บนพื้นฐานของการที่เขาสามารถออกกระบี่ได้
เขาเพิ่งจะเข้ามาในสวนโจว แต่กระบี่ทั้งหมดกลับไม่มีเสียแล้ว อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า
หากเขาหนีไปอย่างนี้ แล้วมันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่กัน
หรืออาจจะพูดได้ว่าแล้วเขาจะหนีไปที่ไหนกัน
หิมะที่โปรยปรายลงมากลางทะเลหญ้าก็มืดครึ้มลงเล็กน้อย
นั่นเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของแสงจากท้องฟ้า
เงามืดขนาดยักษ์ปกคลุมถนนและป่ารกร้างที่อยู่เบื้องหน้าไปเสียหมด
เฉินฉางเซิงทะลุออกมาจากพายุหิมะราวกับควันสายหนึ่ง เขาพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของเงามืดนั้น
สุสานโจวอยู่ที่นั่น
……
……
พื้นรองเท้าทิ้งรอยกดไว้เล็กน้อยบนพื้นผิวศิลาเขียวที่หยาบกร้าน และสามารถเห็นรอยแตกคล้ายใยแมงมุมจาง ๆ ที่ขอบนั้น
ลมหนาวที่กรีดร้องทำให้เสื้อคลุมปลิวไสว มันเป็นเส้นตรงราวกับแสงของมีด
เฉินฉางเซิงบินต่อไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักก็มาถึงใจกลางของสุสานโจว สิ้นสุดทางเดินของสุสานที่คุ้นเคย
ที่นี่เคยมีต้นไม้สีเขียวที่มีชื่อว่า วังถง
เขาและสวีโหย่วหรงเผชิญหน้ากับมหาวิหคปีกทองที่ถูกปลุกขึ้นโดยหนานเค่อ ทั้งยังมีคลื่นอสูรที่น่ากลัวอีก
สระกระบี่ตื่นแล้ว
หมื่นกระบี่เป็นมังกร
เรื่องราวในอดีตผ่านไปมินานนัก แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับผ่านไปนับทศวรรษ
มหาวิหคปีกทองรับเอาส่วนที่ดีที่สุดของฟ้าดินเอาไว้ในดินแดนของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ รอคอยให้พวกมันสุกงอมอย่างแท้จริง
หนานเค่อฟังเสียงของกระบี่ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ในทุกคืน ณ เทือกเขาหลีซาน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ
เหล่าบรรดาสัตว์ปีศาจทั้งหลายมีชีวิตที่งดงามมาหลายปี ไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้ไปจะสามารถดำเนินชีวิตเช่นนี้ต่อไปได้อีกหรือไม่
ในวันนี้คู่ต่อสู้ของเขามีเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อพูดถึงระดับความน่าเกรงกลัวแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่นัก หรืออาจจะน่ากลัวกว่าเสียด้วยซ้ำ
เศษกรวดศิลาที่อยู่ขอบแท่นบูชานั้นถูกลมพัดเสียจนปลิดปลิว และเมื่อกระทบเข้ากับขอบรองเท้าจึงหยุดลง
ซางสิงโจวมองไปทางสุสานโจว ในที่สุดสีหน้าของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเตรียมอะไรไว้บ้างที่นี่”
เขาเอ่ยกับเฉินฉางเซิง “แต่ก็อย่างที่ข้าได้พูดไว้ในตอนแรก ไม่มีปาฏิหาริย์”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าคิดว่า เมื่อปรากฏบุคคลที่เหมือนโจวตู๋ฟูเช่นนี้ภายใต้โลกแห่งดวงดาว มันก็คือปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง”
ไม่ว่าคนรุ่นหลังจะมองโจวตู๋ฟูอย่างไร หลายคนก็จะเห็นด้วยกับความคิดของเขา
ผู้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้โลกแห่งดวงดาว บุกตะลุยทั่วใต้หล้าไร้คู่ต่อสู้ แน่นอนว่าก็คือปาฏิหาริย์
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซางสิงโจวเงียบไปชั่วคณะ จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดหวังจือเช่อที่ไม่ได้ชื่นชอบในตัวข้า แต่กลับยินดีที่จะมาช่วยข้าในเรื่องนี้”
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยว่า “และเจ้าทราบอีกหรือไม่ ว่าเหตุใดเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในยุคนั้นของพวกเราที่รบราชิงดีกันเองภายใน วางอุบายหลอกหลวงทำร้ายกันและกัน แต่เมื่อต้องร่วมกันเผชิญหน้าศัตรู หรืออาจจะพูดได้ว่าถูกบังคับจนถึงที่สุด กลับแสดงปณิธานเดียวกันในการเผชิญหน้ากับภายนอกได้”
เฉินฉางเซิงตอบ “เนื่องจากประสบการณ์ที่พวกท่านมีร่วมกัน”
ซางสิงโจวเอ่ยอย่างนิ่งเฉย “ใช่แล้ว เพราะพวกเราเคยมีศัตรูคนเดียวกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ในอดีตข้าเข้าใจมาตลอดว่าคือเผ่ามาร”
ซางสิงโจวเอ่ย “แน่นอนว่าการมีอยู่ของเผ่ามารคือเหตุผลของความกลมเกลียว แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือคนผู้นั้น”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”
ซางสิงโจวเอ่ย “เนื่องจากคนผู้นั้นทำให้พวกเราแจ้งใจในตนเอง แจ้งใจในกันและกัน ตั้งแต่นั้นมาเราจึงตรงไปตรงมาและวางใจกันได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “แจ้งใจว่าพวกท่านประสงค์สิ่งใดกันแน่”
ซางสิงโจวเอ่ย “ในขณะเดียวกันก็แจ้งใจว่าความคิดที่แท้จริงของพวกเรานั้นน่าเกลียดและอัปลักษณ์เพียงใด เพราะนั่นเป็นเรื่องที่น่าอับอายนัก”
เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว เขาทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
ซางสิงโจวเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าเองก็เคยสังหารโจว แต่เมื่อเทียบกับพวกเราในอดีตแล้ว นั่นเป็นเพียงการละเล่นแบบเด็ก ๆ”
คนที่เฉินฉางเซิงประสงค์จะสังหารก็คือโจวทง
ในตอนนั้นผู้ที่คนเหล่านั้นประสงค์จะสังหารคือโจวตู๋ฟู
“หากเอ่ยว่าเขาคือปาฏิหาริย์ เช่นนั้นพวกเราที่ลงมือสังหารเขาก็มิใช่ปาฏิหาริย์ที่แท้จริงยิ่งกว่าหรือ”
แววตาของซางสิงโจวเย็นชายิ่งนัก ราวกับกำลังมองคนตายคนหนึ่งอยู่
หลายปีก่อน คนผู้นั้นถูกพวกเขาสังหารเสียสิ้น นับประสาอะไรกับเฉินฉางเซิง
พันปีมานี้ เรื่องลึกลับซับซ้อนที่โด่งดังที่สุด กินเวลายาวนานที่สุด ก็ได้รับคำตอบแล้วในวินาทีนี้
หัวข้อสนทนาที่ไม่เคยหายไปในโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมที่หลายคนคาดเดานั้น ในที่สุดก็ได้รับการพิสูจน์และยืนยันแล้วในเวลานี้
นี่เป็นความลับที่ลึกลับซับซ้อนที่สุดบนโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินฉางเซิงกลับสงบยิ่งนัก
เขามองไปที่ซางสิงโจวก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดท่านจึงแน่ใจนักว่าเขาสิ้นแล้ว”
ที่นี่คือสุสานของโจวตู๋ฟู
เขายืนอยู่เบื้องหน้าประตูสุสานแล้วเอ่ยถามคำถามนี้
รู้สึกราวกับกำลังถามแทนคนผู้นั้นที่อยู่ด้านในสุสาน
ลมหนาวพัดเอาทรายและกรวดในป่ารกร้างปลิวว่อน พลันทำให้เกิดเสียงที่ให้ความรู้สึกคล้ายเวลา
ดวงตาของซางสิงโจวหรี่ลง