ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 64 ความหมายของการเลือก
……
……
ใช้ค่ายกลที่โจวตู๋ฟูทิ้งไว้สำแดงอำนาจที่แท้จริงของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ เพื่อต่อกรกับซางสิงโจว นี่เป็นแผนการของเฉินฉางเซิง
ค่ำคืนนั้น ณ ห้องศิลาในพระราชวังหลี แผนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสมเหตุสมผล
แต่ในแผนการนั้น ในเวลานี้รอบด้านของโจวหลิงควรถูกจัดวางโดยค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีเรียบร้อยแล้ว
กระบี่ขึ้นชื่อกว่าพันเล่มที่กลับคืนสู่ทุ่งหญ้าจะกลายเป็นความสมดุลกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งสี่ เพื่อเป็นการรับประกันว่าสวนโจวจะไม่แตกสลายไป
หากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นรูปธรรมได้ตามแผนการนั้น เขามีโอกาสถึงเจ็ดส่วนในการที่จะเอาชนะอาจารย์ของตนได้
น่าเสียดายที่กระบี่ทั้งหมดของเขาถูกซางสิงโจวชิงไปแล้ว และโอกาสที่จะได้รับชัยชนะก็ลดลงอย่างมาก
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ หากปราศจากการกดทับของเจตนากระบี่นับพันที่โชกโชน แสงที่เปล่งประกายออกมาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นั้นอาจทำให้สวนโจวล่มสลายก่อนที่จะเอาชนะซางสิงโจวเสียด้วยซ้ำ
เพียงครู่เดียวเท่านั้นซางสิงโจวก็เข้าใจเจตนาของเฉินฉางเซิง รวมถึงสถานการณ์ ณ ตอนนี้ด้วย
ดังนั้นเขาไม่มีทางล่าถอย นับประสาอะไรกับยอมแพ้
เขาจะต้องยืนหยัดจนถึงตอนสุดท้าย หรือแม้แต่จะแตะต้องค่ายกลกักกันของสวนโจว
เฉินฉางเซิงสามารถใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เปิดการโจมตี จนกระทั่งเอาชนะเขาได้ แต่สวนโจวอาจจะล่มสลายก่อนนั้นก็ได้
มิฉะนั้นเฉินฉางเซิงจะต้องนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งสี่ออกไปจากสวนโจวให้เร็วที่สุด
แต่เมื่อกลับเข้าสู่โลกที่แท้จริง ด้วยไม่มีค่ายกลกักกันของสวนโจวจึงไม่อาจแสดงพลังของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้ และยิ่งไม่มีกระบี่แล้ว……เฉินฉางเซิงจะเอาชนะเขาได้อย่างไร
ยังคงเป็นโจทย์การเลือกคำตอบที่ถูกต้อง
ซางสิงโจวมองไปยังเฉินฉางเซิง
แสงที่สาดออกมาจากท้องฟ้าถูกจับไว้ด้วยฝ่ามือของเขา ลมและเมฆยังคงเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่เช่นนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นเหมือนโจทย์การเลือกคำตอบที่ถูกต้อง
นี่มันช่างน่าเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน
“เหตุใดจึงเอาแต่ให้ข้าเลือก”
เฉินฉางเซิงโกรธเข้าจริง ๆ หรืออาจจะเพียงหงุดหงิด เสียงเขาลอยไปไกลตามสายลม
สีหน้าของซางสิงโจวช่างเฉยเมย และไม่ได้ใส่ใจที่จะตอบคำถามเขา
จางเมืองซีหนิงจนถึงเมืองหลวง ตั้งแต่สิบขวบจวบจนกระทั่งตอนนี้ เขาทำโจทย์การเลือกเช่นนี้มามากเกินไป ซึ่งมันน่าเบื่อนัก
เขาอยากถามอาจารย์ของตนเสียจริงว่าเขาทำแบบนี้มาโดยตลอด น่ารำคาญหรือไม่
แต่สุดท้ายเขาก็มิได้เอ่ยถามออกไป เพราะรู้ดีว่าทำไปก็คงไม่เกิดประโยชน์
เช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านไปนี้ เขาเคยชินแล้วที่จะลงมือทำมากกว่าที่จะพูด
ไม่ว่าจะลงมือตัดสินใจเลือกอันใด
หรือว่า ไม่เลือกอันใด
ใช่ ในวันนี้เขาไม่ต้องการเลือกอีกต่อไปแล้ว
ดวงตาของเขาสดใสมาก เช่นเดียวกับกระบี่แสงจันทร์ในเมืองสวินหยาง
ดวงจิตของเขาหายไปในอากาศและตกลงบนอาภรณ์ของซางสิงโจว พยายามที่จะแย่งชิงการควบคุมฝักกระบี่ซ่อนคมกลับคืนมา
แม้จะไม่สามารถทำได้ อย่างน้อยขอเพียงได้เชื่อมต่อกับเหล่ากระบี่ในฝักกระบี่อีกครั้งก็พอ
เขาเชื่อว่าขอเพียงให้ดวงจิตเหล่านั้นรับรู้ได้ถึงดวงจิตของตน ก็จะสามารถทำตามปณิธานของตนได้ และหลุดออกมาจากฝักกระบี่ กลับคืนสู่ผืนแผ่นดินนี้
แต่เขาก็ล้มเหลว
สีหน้าของเขาซีดขาวกว่าเดิม ราวกับหิมะในทุ่งรกร้างนี้
โลหิตสดทะลักออกมาจากมุมปากเขา มันเหมือนลูกบ๊วยฤดูหนาวที่เงียบเหงาในทุ่งหิมะ
มือขวาของซางสิงโจวยังคงควบคุมท้องฟ้าเอาไว้
สายลมพัดอาภรณ์ มองเห็นมือขวาของเขาที่กุมฝักกระบี่เอาไว้
สายตาของเฉินฉางเซิงจับจ้องไปที่นั่น
“เมื่อต้องเลือก เรามักจะมองเห็นความกล้าหาญที่แท้จริง สติปัญญารวมถึงนิสัยใจคอของคนหนึ่งคนได้อย่างชัดเจน”
ซางสิงโจวมองเขาก่อนเอ่ย “วันนี้ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเจ้ามาก เพราะแม้แต่ความกล้าในการตัดสินใจเลือกเจ้ายังไม่มีเลย”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ในเมื่อไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนพ่ายแพ้ เหตุใดข้าจึงต้องเลือกด้วย”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “เนื่องจากนั่นคือชะตาชีวิตของเจ้า”
หลายปีก่อนในวัดเก่าเมืองซีหนิง เขาเคยพูดประโยคหนึ่งกับเฉินฉางเซิง
เจ้ามีโรค รักษาไม่ได้ นั่นคือชะตาชีวิตของเจ้า
มาวันนี้เขาก็ยังเอ่ยคำพูดที่คล้าย ๆ กัน
จะเลือกทางไหนก็ล้วนพ่ายแพ้ นั่นคือชะตาชีวิตของเจ้า
เฉินฉางเซิงมองไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ห่างไกล เป็นเวลานานที่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ซางสิงโจวมองไปยังเขา ไม่ได้เอ่ยเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เฉินฉางเซิงถอนสายตากลับมา เขามองซางสิงโจวก่อนเอ่ยว่า “แต่โรคของข้านั้นรักษาหายแล้ว”
ใช่ อาการป่วยของเขาได้รับการรักษาแล้ว
เขายังมีชีวิตอยู่
ดังนั้น ชะตาชีวิตอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง
เช่นนั้นการเลือกก็มีความหมาย
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ
……
……
ทั้งในและนอกสำนักฝึกหลวงเงียบยิ่งนัก
ในตรอกไป่ฮวาเต็มไปด้วยผู้คน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใด ไม่มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจใด ๆ ทั้งสิ้น
สีหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและวิตกกังวล
ในเวลานี้ทุกคนล้วนทราบดีว่าซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงกำลังต่อสู้อยู่ที่สวนโจว
ผู้คนมองไม่เห็นแสงกระบี่และก็ไม่ได้ยินเสียงกระบี่เช่นกัน ไม่มีใครรู้เรื่องราวอย่างละเอียด
แต่สำหรับหวังผ้อและเซี่ยงอ๋องที่เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ช่องว่างนี้ไม่อาจปิดกั้นข้อมูลทั้งหมดได้
ในสำนักฝึกหลวงเหตุใดแม้แต่เจตนากระบี่ก็รับรู้ไม่ได้
สีหน้าของเซี่ยงอ๋องกึ่งหัวเราะกึ่งร้องไห้ มองอารมณ์แท้จริงไม่ออก สองมือที่โอบไขมันหน้าท้องนั้นลูบไปมาอยู่ตลอดเวลา
หวังผ้อนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม
ลำพังขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของถังซานสือลิ่วนั้นไม่มีทางรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในสวนโจว แต่เขามักสังเกตุการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของหวังผ้ออยู่เสมอ
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ สายตาของเขาทอดผ่านหน้าต่างมองไปที่หน้าของหวังผ้อ
นี่เป็นแหล่งข้อมูลเดียวของเขาในตอนนี้
เมื่อเห็นสีหน้าของหวังผ้อ เขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก สีหน้าเขาซีดลงเล็กน้อย
บนพื้นยังมีถ้วยหรูเหยาเทียนสีเขียวที่แตกเป็นเสี่ยงตกอยู่ รวมทั้งคราบน้ำและใบชาด้วย
ในมือของเขาถือกาน้ำชาอยู่ น้ำชาในกานั้นเย็นลงแล้ว
เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นมาและเทชาเย็นกว่าครึ่งหม้อเข้าปาก แต่เขาก็ยังไม่สามารถสงบใจที่เต้นรัวได้ เขาไม่สามารถดับไฟในใจได้เลย
เขารีบวิ่งไปที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยม ซูม่ออวี่ไม่สามารถหยุดเขาได้และปล่อยให้เขาวิ่งไปยังประตูของสำนักฝึกหลวง
ราชาแห่งหลิงไห่และคนอื่น ๆ ต่างแปลกใจว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร
ราชสำนักได้ร่วมกันตัดสินให้สำนักฝึกหลวงปิดประตู มีเพียงหวังจือเช่อ ซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงเท่านั้นที่อยู่ด้านในนั้น
ทหารม้าของสำนักฝึกหลวง รวมถึงทหารม้าเกราะเหล็กล้วนเฝ้าอยู่รอบด้าน ผู้แข็งแกร่งที่บำเพ็ญพรตนับไม่ถ้วนรวมตัวกันหนาแน่นราวกับเมฆา ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งระดับหวังผ้อและเซี่ยงอ๋องอีกด้วย
ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะเข้าไปยังสำนักฝึกหลวงในเวลานี้ได้
ถังซานสือลิ่วไม่ได้สนใจสายตาที่ไร้ความปรานีและเจตนาห้ามปรามตักเตือนเลย เขาชิงสบถก่นดาออกมาก่อนที่เหล่าท่านอ๋องเหล่านั้นจะเอ่ยปาก
“หุบปากให้หมด”
“ที่นี่คือสำนักฝึกหลวง ข้าคือผู้คุมกฎสำนัก เมื่อเฉินฉางเซิงไม่อยู่ ข้าก็มีอำนาจมากที่สุด”
“ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้เนื่องจากข้าไม่เห็นด้วย ข้าจะเข้าไปเองต้องให้ใครเห็นด้วยหรือ”
……
……
ในตรอกไป่ฮวาเต็มไปด้วยความโกลาหล เจตนากระบี่เริ่มปลดปล่อยออกมา มีแม้กระทั่งลูกศรหน้าไม้สองสามลูกที่พุ่งผ่านท้องฟ้า
หวังจือเช่อหันไปมองรอบทะเลสาบและมองเห็นถังซานสือลิ่ว
แน่นอนว่าถังซานสือลิ่วเดาได้ทันทีว่าเขาคือหวังจือเช่อ แต่กลับไม่ได้เดินไปแสดงความเคารพและถามเขาตรง ๆ ว่า “จะเข้าไปในสวนโจวได้อย่างไร”
หลายปีที่ผ่านมาหวังจือเช่อไม่เคยพบเจอใครที่ทราบดีถึงสถานะของเขาแต่กลับไม่สนใจเลยสักนิดอย่างนี้มาก่อน เขาอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ จากนั้นก็รู้สึกว่านี่มันช่างน่าสนใจยิ่งนัก
เขาแบมือออกให้เห็นศิลาสีดำก้อนนั้น ก่อนเอ่ย “เข้าทางประตูนี้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยขึ้น “ให้ข้า”
คำขอของเขาช่างกระชับและชัดเจน
นั่นทำให้หวังจือเช่อชะงักไปครู่หนึ่งก่อนได้สติ
“เพราะเหตุใด”
“ในเมื่อสวนโจวเป็นของเฉินฉางเซิง ดังนั้นของสิ่งนี้ก็ต้องเป็นของเขา”
“เขามอบมันให้ข้า และเดิมทีสิ่งนี้มันก็เป็นของข้า”
คราวนี้เป็นถังซานสือลิ่วที่ชะงักอยู่ชั่วครู่ก่อนได้สติ
“เดิมทีเป็นของท่าน นั่นหมายความว่าตอนนี้ไม่ใช่ของท่านแล้ว แล้วตอนนี้ท่านอายุเท่าไหร่กัน เขาให้ท่านท่านก็เอาหรือ”
หวังจือเช่อไม่เคยพบเจอคนที่ไร้เหตุผลเยี่ยงนี้มาก่อน ไม่นานเขาก็คาดเดาถึงที่มาของเด็กผู้นี้ได้
เขาเอ่ยขึ้น “แม้แต่ท่านปู่ของเจ้าก็ไม่บังอาจพูดจาเยี่ยงนี้กับข้า”
“ไร้สาระ นอกจากจักรพรรดิไท่จงแล้ว ผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นท่าน”
ถังซานสือลิ่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนเอ่ย “เพียงแต่วันนี้ข้าอยากยินดีกับท่าน”
หวังจือเช่อเอ่ยถาม “เรื่องใดกัน”
“ยินดีด้วยที่นอกจากจักรพรรดิไท่จงแล้ว ในที่สุดก็เจอคนที่กล้าเอาคืนท่านแล้ว”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่เขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “หากท่านไม่ยอมมอบของสิ่งนี้ให้กับข้า ข้าจะผรุสวาทมารดาท่านแน่”
หวังจือเช่อเลิกคิ้วก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าคือผู้ตัดสินในการต่อสู้ครั้งนี้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ท่านคือคนที่ซางสิงโจวเชิญมา ข้าไม่เชื่อใจท่าน”
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ท่านสมเด็จใต้เท้าสังฆราชเชื่อใจข้า”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “เกี่ยวอะไรกับข้ากัน”
หวังจือเช่อเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่ให้เจ้า เจ้าจะทำอะไรได้”
คำตอบของถังซานสือลิ่วก็ยังคงง่ายและตรงไปตรงมา
กระบี่เวิ่นสุ่ยออกจากฝัก ผิวทะเลสาบเกิดใบไม้สีเหลืองทองกว่าหมื่นใบ
สีหน้าของหวังจือเช่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย
มิใช่เพราะ ถังซานสือลิ่วออกกระบี่
แต่เป็นเพราะ ถังซานสือลิ่ว
ฆ่าตัวตาย