ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 67 สุภาพบุรุษซ่อนอาวุธ รอเวลาเคลื่อนไหว
ลมหนาวเบาบางพัดใบไม้แห้งบนต้นไม้ ในป่าเงียบสนิท
เปลือกต้นไม้ เศษไม้รวมถึงเกล็ดหิมะค่อยๆ ร่วงหล่น
มีเพียงเจตนากระบี่ที่หลงเหลือเหล่านั้น ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในลมหนาวไม่จางหาย
ราวกับเขม่าดินปืนที่ไม่จางไปหลังจากเสียงประทัดเงียบสงบ แสดงให้เห็นว่าต้องเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้เป็นแน่
เมื่อเห็นว่าเฉินฉางเซิงกำลังจะตาย สถานการณ์การกลับตาลปัตร
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกระบี่ในมือของเขา
เขามองไปยังซางสิงโจวนิ่ง ไม่พูดอะไร แต่นี่มิได้หมายความว่าเขาไม่สงบนิ่ง แต่เขามีความมั่นใจ
ขอเพียงมีกระบี่ในมือ จะกลัวไปใย
ในฐานะผู้สืบทอดของซูหลี สามารถเรียกได้ว่าพรสวรรค์ในการใช้วิถีกระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นน่าตะลึงไปทั้งดินแดน
หลายปีก่อน เขามีกระบี่ในอ้อมอก เอาชนะศัตรูนับไม่ถ้วน ทั้งยังสามารถบุกตะลุยในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเพียงลำพัง ไม่รู้มีผู้ชมมากเท่าใดที่ตื่นตระหนกไป
หลายปีต่อมา เขาได้เรียนรู้เพลงกระบี่ประสานรวมที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังได้เรียนรู้ความชอบธรรมที่แท้จริงของวิถีกระบี่จากเทือกเขาหลีซาน อาศัยพลังของตนเพียงคนเดียวในการวางค่ายกลสถานศึกษาหนานซีในเมืองจักรพรรดิ เอาชนะราชามารไว้ได้ และช่วยจักรพรรดิไป๋ตี้ ในที่สุดการบำเพ็ญวิถีพรตกระบี่ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง และกลายเป็นปรมาจารย์ด้านวิถีพรตที่ได้รับการยอมรับไปทั่วทั้งดินแดน
ต่อให้ตอนนี้เขาจะยังหนุ่ม แต่ตามหลักการแล้วก็ยากที่จะใช้คำว่าปรมาจารย์
วิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานทั้งหมด
ซางสิงโจวเตรียมพร้อมมานานแล้ว และในช่วงเริ่มต้นของการต่อสู้เขาก็ลอบนำกระบี่ทั้งหมดมาครอบครองไว้ เล่นงานเสียจนเขาไร้ทางตอบโต้ในสวนโจว
จนตอนนี้ที่กระบี่ปรากฏในมือของของเฉินฉางเซิง
แม้แต่ปรมาจารย์ด้านกระบี่ ก็มิอาจใช้กระบี่เพียงเล่มเดียวสังหารรอบด้านได้ตามอำเภอใจ
เห็นได้ชัดว่าดาบเล่มนี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็สามารถเชื่อมโยงกับจิตใจเขาได้
สายตาของซางสิงโจวไม่วอกแวก จับจ้องไปยังกระบี่เล่มนั้น
ไม่รู้ว่ากระบี่เล่มนั้นผ่านประสบการณ์มามากมายเท่าไหร่แล้ว ทั้งยังซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ต้นนั้นมาไม่รู้กี่ปี เดิมทีก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณ ราวกับเป็นท่อนเหล็กธรรมดาๆ ท่อนหนึ่ง
หากมิใช่เพราะว่าต้นไม้ต้นนั้นถูกเฉินฉางเซิงชนเสียจนหักโค่น เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดค้นพบมัน
ในวันนี้เฉินฉางเซิงดึงมันออกมาจากโพรงต้นไม้
แทบจะมองไม่เห็นฝุ่นหรือคราบสกปรกบนผิวกระบี่ มันสว่างเจิดจ้าราวกับขัดล้างมาเรียบร้อย ฉายแววแหลมคม เจตนากระบี่ลึกลับน่าสะพรึงกลัว
เฉกเช่นเดียวกับไข่มุกล้ำค่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษฝุ่นเป็นเวลาหลายปี ราวนกับหงส์ที่ไม่ได้กรีดร้องมาเป็นเวลานาน ที่ในที่สุดแล้วมันก็สาดแสงยิ่งใหญ่ โดดเด่นจนผู้คนตกตะลึง
ซางสิงโจวเลิกคิ้วเล็กน้อย
อายุของกระบี่เล่มนี้ยาวนานยิ่งนัก มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นกระบี่ที่ออกมาจากสระกระบี่
แต่ทุกคนล้วนทราบดีว่ากระบี่ลือชื่อยุคก่อนเหล่านั้นที่เฉินฉางเซิงนำออกมาจากในสวนโจวนั้น ล้วนซ่อนอยู่ในฝักกระบี่ซ่อนคม
ฝักกระบี่ฝักนั้น อยู่ในแขนเสื้อของเขาในตอนนี้
เช่นนั้นกระบี่เล่มนี้มาจากที่ใดกันเล่า
หรือเฉินฉางเซิงจะทราบล่วงหน้าว่าเขาจะสามารถควบคุมกระบี่ซ่อนคมได้ จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า แล้วนำกระบี่เล่มนี้ซ่อนไว้ในต้นไม้
ไม่สิ หากมองจากปฏิกิริยาของเฉินฉางเซิงแล้ว เขาน่าจะไม่ทราบล่วงหน้าว่าในต้นไม้ตอนนี้มีกระบี่เล่มนี้อยู่
เมื่อพิจารณาจากคราบตะไคร้น้ำที่หลงเหลืออยู่บนกระบี่ กระบี่เล่มนี้น่าจะแอบซ่อนอยู่ในต้นไม้ต้นนี้มาหลายปีแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเฉินฉางเซิง ต่อให้เฮยเผาจะร่วมมือกับหวังจือเช่อ และมีสวีโหย่วหรงคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้า ก็มิอาจคาดเดาถึงสถานการณ์ในวันนี้ล่วงหน้าได้
และหากเฉินฉางเซิงทราบล่วงหน้า ก็อาจจะมีวิธีการที่ดีกว่าในการรับมือ คงไม่ถึงกับถูกบังคับจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
หรือว่ากระบี่นี้จะไม่ได้มาจากสระกระบี่ แต่เป็นอาจารย์หรือนักเรียนคนใดในสำนักฝึกหลวงในอดีตซ่อนเอาไว้ในต้นไม้นี้
ซางสิงโจวกำลังนึกถึงคนที่ซ่อนกระบี่ อาจจะเป็นผู้ติดตามของตนในปีนั้น ในใจก็ยิ่งสับสน
กระบี่เล่มนั้นแอบซ่อนอยู่ในต้นไม้มาหลายปี โดยไม่ถูกผู้ใดพบเห็น แต่ในวันนี้เฉินฉางเซิงเพียงยื่นมือก็สามารถหยิบมันออกมาได้แล้ว ในช่วงเวลาที่เขาต้องการกระบี่มากที่สุด
นี่คือเรื่องบังเอิญ หรือว่าเป็นจังหวะโอกาส หรือโชคชะ
……
……
ริมทะเลสาบของสำนักฝึกหลวง รวมถึงสวนร้อยหญ้าข้างกำแพงฝั่งนั้นล้วนเงียบสงบมาก
สวีโหย่วหรงวางธนูไม้ถงในมือลง
อวี๋เหรินยืนอยู่ข้างโต๊ะศิลา โดยมีไม้เท้าประคอง
หวังจือเช่อหดนิ้วกลับมา
พวกเขาล้วนมองไปที่ภาพลึกในป่าลึก เงียบขรึมไม่พูดจา สีหน้าอารมณ์แตกต่างกันออกไป
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น แต่พวกเขาเข้าใจถึงความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
ภายในสวนโจวนั้น เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ถึงสูญเสียกระบี่ทั้งหมดไป จึงเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
และภายในระยะเวลาที่อันตรายที่สุดนั้น เฉินฉางเซิงกลับหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากต้นไม้ที่หักโค่น สถานการณ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่…เหตุใดต้นไม้ต้นนั้นจึงมีกระบี่อยู่กันเล่า
ถังซานสือลิ่วสามารถขยับได้ แต่กลับไม่ขยับเขยื้อน
เนื่องจากเฉินฉางเซิง หลุดพ้นจากสถานการณ์อันตรายแล้ว และเนื่องด้วยอารมณ์ของเขาในตอนนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก
เขามักรู้สึกราวกับว่าเรื่องนี้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตนอยู่เสมอ แต่กลับคิดถึงสาเหตุของมันไม่ได้
……
……
ในตรอกไป่ฮวา ก็สามารถได้ยินเสียงกระบี่ที่ดังติดต่อกันนั้นได้
เสียงทะเลาะอื้ออึงที่เกิดขึ้นเนื่องจากถังซานสือลิ่วบุกทะลวงเข้าไปในสำนักฝึกหลวงเงียบลงไป การเผชิญหน้าและความเป็นไปได้ที่จะขัดแย้งก็หายไปด้วย
ผู้คนมองข้ามไปอย่างตื่นตระหนกและเป็นกังวล
หวังผ้อลืมตามองไปทางสำนักฝึกหลวง เขาประหลาดใจนิดหน่อย และปลื้มใจเป็นอย่างมาก
เซี่ยงอ๋องกลับหลับตาลง ในระยะเวลาที่แสนสั้นนี้เขาราวกับแก่ขึ้นไปหลายปี
……
……
ซางสิงโจวมองไปที่เฉินฉางเซิงก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือว่าในนั้นมีกระบี่”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ไม่รู้”
เมื่อมองกระบี่ในมือ เขาก็บังเกิดความรู้สึกคุ้นเคย หรืออาจจะเอ่ยว่าชิดใกล้เลยก็ว่าได้”
ราวกับเคยเป็นเพื่อนร่วมเรียน สหายร่วมรบ หรือเพื่อนร่วมทาง
ดังนั้นเขาจึงทราบถึงที่มาของกระบี่นี้
กระบี่เล่มนี้เคยเป็นกระบี่เล่มหนึ่งในสระกระบี่ เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบกับเขามาก่อน
ในเวลานั้นดาบหมื่นเล่มราวกับมังกร เป็นชิ้นส่วนหนึ่งของเกล็ดมังกร
เพียงแต่มันหายไปหลายปีแล้ว
ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่
แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่เล่า
มีเสียงหัวเราะออกมาจากริมทะเลสาบ
“ฮ่าๆ ”
เสียงหัวเราะนั้นดูร่าเริงเป็นพิเศษ ทั้งยังรู้สึกสาแก่ใจอย่างถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือความลำพองใจที่น่าหมั่นไส้
“ข้าเอง สุดท้ายก็ยังต้องเป็นข้าไง”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยติดๆ กัน อารมณ์ที่แสดงบนสีหน้ากำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด
หวังจือเช่อชะงักไป ในใจคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร
ถังซานสือลิ่วตะโกนต่อทั่วทั้งดินแดน
“กระบี่เล่มนี้เป็นข้าที่แอบซ่อนไว้ที่นี่เองในตอนนั้น”
เฉินฉางเซิงชะงักไป ในที่สุดเขาก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตเรื่องนั้นขึ้นมาได้ เค้าเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
……
……