ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 69 กล้าถามอีกหรือว่ากระบี่อยู่หนใด
หวังผ้อมีคิ้วที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก
ให้ถูกก็คือลักษณะเด่นอยู่ที่ตำแหน่งที่อยู่เชื่อมกันระหว่างหัวคิ้ว
ระหว่างคิ้วกับตาของเขาค่อนข้างใกล้กัน ผนวกกับหางคิ้วที่คล้อยต่ำลง มองดูแล้วกระจอกยิ่งนัก
เมื่อเขาเลิกคิ้วขึ้น คิ้วของเขาก็จะเกิดแยกกับดวงตา
เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการแยกฟ้าและดินเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน หางคิ้วของเขายังเหมือนกับปืนเหล็กที่ถูกเลิกขึ้น ชี้ตรงไปยังท้องฟ้า โอ่อ่าหาใดเทียบได้
สรุปก็คือกระจอก
และยามที่เขาเลิกคิ้วนั้น บ่าทั้งสองข้างก็ยกสูงขึ้น
เมื่อเทียบกับคิ้วทั้งสองข้างแล้วไหล่ทั้งสองข้างของเค้ามีชื่อเสียงกว่ามาก เนื่องจากค้อมต่ำมานาน จึงง่ายต่อการสังเกตุเห็น
อธิเช่นเมื่อเขาขยับไหล่ ก็หมายความว่าเขาจะออกกระบี่นั่นเอง
เหมือนกับตอนนี้ ในตรอกไป๋ฮวา จู่ๆ ก็มีเจตนากระบี่ที่หนาวเน็บเสียดกระดูกดำปรากฏขึ้น และพุ่งทะลวงขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ครอบพื้นปฐพี
ธนูเซิ่งกวงกว่าร้อยสายและอาวุธทั้งหลายที่อยู่ในมือของผู้แข็งแกร่งแห่งราชสำนักล้วนพุ่งตรงไปยังหวังผ้อ
เซี่ยงอ๋องสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองข้างไม่ได้จับอยู่ที่ไขมันที่เอวอีกต่อไป
หวังผ้อไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เขามองไปในสำนักฝึกหลวงอย่างเงียบเฉียบ
เขาก็เหมือนกับเซี่ยงอ๋อง ทราบว่าตอนนี้คนที่แสดงวิชาสุริยันแผดเผาไม่ใช่เฉินฉางเซิง
เช่นนั้นย่อมต้องเป็นซางสิงโจว
ซางสิงโจวและจักรพรรดิไท่จงมีความสัมพันธ์เช่นใดกันแน่
หรือว่าเขาจะเป็นหนึ่งในราชนิกุลตระกูลเฉิน
หวังผ้อไม่ได้ขบคิดปัญหาข้อนี้
แต่กำลังคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นที่บรรพบุรุษซ่อนงำไว้อย่างยากลำบาก
ในเรื่องราวความทรงจำเหล่านั้น นอกเสียจากคำสี่คำที่สะดุดตา แต่เต็มไปด้วยโลหิตที่ว่า “บ้านแตกคนสูญ” แล้ว ยังมีภาพลมฝนที่น่าสังเวชอีกด้วย
ในภาพเหล่านั้น มีชายหนุ่มอารมณ์ขุ่นมัวอยู่คนหนึ่ง ตามการตัดสินของบรรพบุรุษตระกูลหวัง ชายหนุ่มนั้นต่างหากที่เป็นผู้บงการในการรื้อค้นบ้านและยึดทรัพย์ เขาน่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือว่าหลังจากเรื่องนั้น ก็ไม่สามารถหาสถานะของเด็กหนุ่มผู้นั้นได้
สุดท้ายเด็กหนุ่มผู้นั้นก็นำความทุกขเวทนามากมายไปจากตระกูลหวัง
หวังผ้อไม่เคยพบจักรพรรดิไท่จง แต่จักรพรรดิไท่จงยังคงเป็นศัตรูของเขา เนื่องจากนี่คือความแค้นระหว่างตระกูล
เด็กหนุ่มในตอนนั้นย่อมต้องเป็นศัตรูของเขา
เขาคิดว่าบุคคลนั้นได้หายตัวไปในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว ทว่าวันนี้เขาได้พบความเป็นไปได้ว่าบุคคลนั้นอาจยังมีชีวิตอยู่
บรรยากาศภายนอกสำนักฝึกหลวงตึงเครียดอย่างยิ่ง
หวังโปมองไปยังประตูสำนักฝึกหลวง โดยไม่พูดจา
ในที่สุดไหล่ทั้งสองข้างของเขาก็งุ้มลงอีกครั้ง
ขณะเดียวกันคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น
ราวกับเกิดเสียงถอนใจนับพันดังขึ้นในตรอกไป่ฮวา
มิใช่เพราะความเสียใจ แต่เป็นเพราะความโล่งใจ
……
……
วิชาสุริยันแผดเผาเป็นวิชาบำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่ง ทั้งยังอัศจรรย์ลึกล้ำ
วิชาเต๋านับพันบนโลกนี้ รากฐานล้วนอยู่บนพื้นฐานของละอองดาวที่กลายเป็นปราณแท้
มีเพียงวิชาสุริยันแผดเผา ที่รวบรวมไปมิใช่ละอองดาวแต่เป็นเพลิงสุริยัน
เพลิงสุริยันมิได้อ่อนนุ่มเหมือนละอองดาว แต่ในด้านพลานุภาพกลับเหนือล้ำกว่ามาก
แต่เป็นเพราะเนื่องจากความรุนแรงที่ร้อนระอุเกินไป ผู้บำเพ็ญพรตจึงไม่สามารถเก็บรวบรวมได้ จึงแปลงสิ่งนี้เป็นปราณแท้
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จุติ เผ่ามนุษย์เริ่มต้นบำเพ็ญพรต หลายหมื่นปีมานี้ มีเพียงตระกูลเฉินที่สามารถฝึกวิชานี้ได้ เนื่องจากมีวงล้อชีวิตวิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นพิธีเข้าสู่วิถีพรตหรือว่าหนังสือประวัติศาสตร์ ล้วนมองสิ่งนี้ว่าเป็นความโปรดปราณของวิถีสวรรค์ที่มีต่อตระกูลเฉิน ดังนั้นไม่ว่าจะความโกลาหลบนโลก ตระกูลเฉินในเมืองเทียนเหลียงหรือทั้งดินแดน ต่างล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา ราวกับสวรรค์นั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์
พันปีมานี้ ตระกูลเฉินทั้งตระกูลปรากฏผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน อย่างเช่นเฉินเสวียนป้า เด็กหนุ่มที่เก่งกาจผู้นั้นหรือจักรพรรดิไท่จง
แน่นอนว่ายังมีใต้เท้าฉู่อ๋องที่เล่าลือกันว่าฉลาด องอาจและห้าวหาญ
จนกระทั่งตอนนี้ ผู้มีฝีมือแห่งตระกูลเฉินก็ยังคงปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย ในตอนนี้ในตรอกไป่ฮวา เหล่าท่านอ๋องกว่าสิบคนนั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง เซี่ยงอ๋องผู้เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไหนจะเหล่าลูกหลานของตระกูลที่กระจายไปแต่ละเมืองทั่วทั้งใต้หล้า เป็นพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
เพียงแต่หลายปีมานี้ ก่อนหน้านั้นมีจักรพรรดินีเทียนไห่ ต่อมาก็มีซางสิงโจว พลังนี้ยังคงไม่ได้แสดงพลานุภาพที่แท้จริงออกมา
เพียงแต่เหตุใดซางสิงโจวถึงต้องฝึกวิชาสุริยันแผดเผา หรือเขาจะมีเชื้อสายราชวงศ์ เขาและจักรพรรดิไท่จงมีความสัมพันธ์กันแบบใดกัน
คำถามเหล่านี้แวบผ่านใจของเฉินฉางเซิง และก็หายไปในเวลาไม่นาน
ในสวนโจวเขานั้นก็เคยคาดเดา เพียงได้รับการพิสูจน์ในเวลานี้เท่านั้น
และซางสิงโจวก็ดำเนินมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง
มือทั้งสองข้างของเขา จับกระบี่พุ่งตรงเข้าไปฟันเหนือศีรษะของเขา
กระบี่นี้ง่ายดายนัก ไม่มีวิถีกระบี่อะไร และไม่ลึกซึ้ง เพียงแค่ฟาดฟันไปทื่อๆ
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบเส้นผมดำดกหนาของเขา และสะท้อนแสงทันที
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบแขนเปลือยเปล่าทั้งสองข้างของเขา และสะท้อนแสงทันที
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบคมกระบี่ที่เขากุมอยู่ และสะท้อนแสงทันที
เขาเป็นเหมือนเทพมาจุติ
กระบี่ที่เขาถือในมือ ราวกับสะบั้นทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งโลกา
แรกเริ่มที่ท้องฟ้า
บนท้องฟ้าสีฟ้าครามนั้นราวกับปรากฏเส้นเสมือนจริงและไม่จริงบนท้องฟ้า
เจตนาดาบไร้ใครเทียบพร้อมแสงแสบตา ตกลงมาที่ศีรษะของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงไม่ทราบว่าเขาจะสามารถรับมือได้หรือไม่
เขาประหวั่นพรั่นพรึง เขาหรี่ตาเพราะแสงกระบี่ที่แสบตา
มักล้วนมีการเชื่อมโยงกันท่ามกลางการขยับของผู้คน
เมื่อหลับตาลง มือของเขาก็กุมแน่นโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็กระชับด้ามกระบี่
ด้ามกระบี่นั้นแข็งเล็กน้อย เนื่องจากซ่อนอยู่ในต้นไม้มาหลายปี ผิวของมันเหนียวลื่น โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะตะไคร้หรือว่าคราบโคลน
ความรู้สึกนี้ไม่แปลกเลย เนื่องจากเขาจับกระบี่มานับไม่ถ้วน พูดได้ไม่เต็มปากว่าคุ้นเคย แต่ก็เขามั่นใจว่าตนนั้นไม่เคยจับกระบี่เล่มนี้
กระบี่ในสระกระบี่นั้นมีมากมาย เขาไม่อาจคุ้นเคยกับทุกเล่มได้ และไม่ทราบถึงชื่อและที่มาของกระบี่นี้
แต่เขาทราบดีว่าสิ่งที่ตนจับนั้นตรง แข็งแกร่งและแหลมคมมาก
เป็นกระบี่
ก็ดีแล้ว
……
……
เมื่อกระบี่และกระบี่ปะทะกัน
ราวกับว่าอากาศเย็นทางใต้จากทุ่งหิมะที่หนาวจัดพบกับคลื่นความร้อนจากทะเลตะวันตก
ฟ้าร้องดังสนั่น
น้ำในทะเลสาบสั่นไหวเป็นเกลียวคลื่น คลุ้มคลั่งเป็นน้ำตกไหลกลับ และตกลงมาราวสายฝนกระหน่ำ ชะล้างสรรพสิ่งระหว่างสวรรค์และโลกจากมุมที่แตกต่าง
ต้นไม้เก่าที่ลำต้นหนาใหญ่กว่าสิบต้นค่อยๆ ล้มลงเสียงดังครืดคราด
ระหว่างเศษไม้และกิ่งไม้ที่ผัดปลิว มองเห็นพื้นดินที่จมลงไปได้อย่างรางๆ
บนกำแพงของสวนร้อยหญ้า ปรากฏร่องรอยลึกบ้างตื้นบ้างหลายรอย
ไม่ไกลออกไป วังหลวงเองก็เกิดค่ายกลขึ้นอย่างอัตโนมัติ แสงสว่างตกลง ทำให้ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์
ในสายตาของหวังจือเช่อสิ่งนี้คล้ายกับภาพวาดล่าสุดของอู๋เต้าจื่อ ปลายพู่กันเรียบง่าย แม้จะดูหยาบ แต่การใช้สีกลับเข้ม
อาทิเช่นสีแดงดั่งโลหิตและสนิม
ฝุ่นควันล่วงหล่นลงมา
เฉินฉางเฉิงคุกเข่าริมทะเลสาบ เลือดไหลออกจากมุมปาก
ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ในมือของเขาไม่มีกระบี่อีกต่อไป
กระบี่ตกลงบนพื้นหญ้าไกลออกไป ปักเอียงๆอยู่ ราวกับเหมือนธงที่ทรุดโทรม หรือแผ่นป้ายอนุสรณ์
กระบี่เล่มนั้นยังคงขยับไม่หยุด เกิดเสียงวึ้งเบาๆ ไม่ใช่เสียงกรีดร้อง แฝงเพียงความรู้สึกโศกเศร้า
ซางสิงโจวปรากฎตัวตรงหน้าเฉินฉางเซิง
เขาเองก็ยากจะทำลายกระบี่ปกป้องเล่มนั้นที่ซูหลีมอบไว้ให้แก่เฉินฉางเซิง
แต่เขามีวิชาสุริยันแผดเผา
เขายังคงกดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของตนลงอยู่ภายใต้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่อาศัยวิชาสุริยันแผดเผาจึงมีพลังยากจินตนาการและไม่มีวันหมดไป
วิชากระบี่จะเก่งกว่านี้เพียงใด ก็ไม่อาจรับพลังการกดดันเยี่ยงนี้ได้ และยังเป็นเวลานานถึงเพียงนี้
ภายในช่วงเวลานี้ การสูญเสียปราณแท้และสิ่งที่ต้องแลกมาของซางสิงโจวนั้นมากกว่าเฉินฉางเซิงนัก
แต่เฉินฉางเซิงไม่มีกระบี่แล้ว
ซางสิงโจวมองเขาด้วยสีหน้าเฉยชา ก่อนจะยกกระบี่ในมือขึ้นมา
เขาไม่เชื่อว่าลูกศิษย์ของตนจะยังโชคดีเช่นนี้ อยู่ดีๆ จะได้กระบี่จากต้นไม้ต้นหนึ่งน่ะหรือ
ที่น่าแปลกใจก็คือ บนสีหน้าของเฉินฉางเซิงนั้นมองไม่เห็นความกังวลใจใดๆ แววตายังคงสงบนิ่งเช่นนั้น ราวกับน้ำในทะเลสาบก็มิปาน
จากนั้น เขาก็ยื่นมือไปในทะเลสาบ และหยิบกระบี่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง