ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 70 ทุกหนแห่ง
ในทะเลสาบสามารถจับปลาได้เพราะมีปลา แต่ในทะเลสาบไม่มีกระบี่
แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้ลูบ แต่ยื่นมือไปจับโดยตรง
นี่คือกริยาที่ง่ายดายและทรงพลัง แสดงว่าเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่ากระบี่อยู่ที่ใด
เขาพลันหยิบกระบี่ออกมาจากในสระราวกับเล่นกล
จากนั้นก็พุ่งไปแทงซางสิงโจว
เกลียวน้ำกระเซ็นตามแนวกระบี่ พลันเกิดแสงกระบี่ตามมา จากด้านนอกสู่ดานในสาดส่องเจิดจ้าหาใดเทียบ
ริมทะเลสาบสว่างขึ้น การกระเซ็นเหล่านั้นราวกับต้นไม้สีเงินและดวงดาว
แสงดาวสว่างขึ้นสิบกว่าดวง ร่างกายของเขาหายไปตามเส้นดวงดาว
ซางสิงโจวเหยียบดวงดาวจากไป ไกลถึงสิบกว่าจั้งในพริบตา
พลันเกิดเสียงดังฉึก
บนอาภรณ์ของเขาปรากฏรอยแยก
โลหิตไหลซึมออกมาจากด้านใน ราวกับมีการวาดกลีบเหมยสีเข้มบนอาภรณ์นักพรตสีเขียวนั้น
“ท่านอาจารย์ ยอมแพ้เถิด”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อซางสิงโจว
น้ำในทะเลสาบหยดลงตามปลายกระบี่ในมือเขา หยดลงบนหิน เกิดเป็นเสียงติ๋งๆ ราวกับกำลังเร่งรัด
ซางสิงโจวไม่ได้ตอบ
เขากุมกระบี่สองมือขึ้นเหนือศีรษะ
สองแขนเปล่าเปลือยเปล่งประกายใต้ดวงอาทิตย์ ราวกับรูปปั้นแสดงพลังออกมา
ยังคงไม่มีกลอุบายกระบี่ใด ไม่มีความลึกซึ้งใด มีเพียงการฟาดฟันอย่างง่ายๆ
เกิดเสียงดังฉับ กระบี่แหวกอากาศอย่างรุนแรง พลันเกิดพลุละลานตา
ลมปราณที่ร้อนระอุและรุนแรง เปล่งประกายออกมาจากร่างของซางสิงโจวและดวงอาทิตย์
โลหิตบนอาภรณ์นักพรตระเหยกลายเป็นควันสีเขียวในทันที
คราบน้ำบนกระบี่ของเฉินฉางเซิงกลายเป็นควัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แสงกระบี่งดงามเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้สาดแสงไปยังซางสิงโจว
เฉินฉางเซิงทราบดี ซางสิงโจวจะไม่มีทางตอบโต้กระบี่ของตนแน่ ดังนั้นต่อให้กระบี่ของเขาเร็วแค่ไหนก็ไม่มีความหมายใด
เขาทำได้เพียงตอบโต้กระบี่กลับไป
ตึง!
สองกระบี่ปะทะกันอีกครั้ง
เสียงฟ้าร้องดังก้องจากทะเลสาบทะลุผ่านกำแพงสำนักฝึกหลวงมาถึงเมืองหลวง
เกิดเป็นพายุฝนอีกครั้ง กำแพงล้มเป็นแถบ ลมพายุที่บ้าคลั่งกรีดร้อง ก้อนหินริมตลิ่งกระจัดกระจาย น้ำในทะเลสาบท่วมไปทุกหนแห่ง
บนพื้นหญ้ามีแอ่งน้ำสิบกว่าแห่งทั้งเล็กใหญ่ปรากฏขึ้น
พวกเขามาถึงเบื้องหน้าหอตำราด้านหลังสนามหญ้า
บันไดหินที่ขึ้นไปยังหอตำรานั้นเต็มไปด้วยใยแมงมุม
เฉินฉางเซิงนอนอยู่ด้านใน มือสองข้างยันพื้นเตรียมลุกขึ้น
กระบี่ที่เขาเก็บขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบ บินหายไปอีกครั้ง
กระบี่โง่งมของเขาไม่ได้หักพัง แต่ก็ไม่สามารถรับกระบี่ที่บ้าอำนาจของซางสิงโจวได้
ลมที่หลงเหลือพัดเอาอาภรณ์นักพรต เกิดเป็นเสียงลมพัดไหว เกิดเป็นรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วน
ซางสิงโจวเดินไปทางหอตำรา
เฉินฉางเซิงไม่ได้หันไป มือขวาตกลงจุดที่บันไดแตกหัก หลังจากนั้นก็ดึงออกไปด้านนอก
ตามมาพร้อมเสียงเสียดสีจากโลหะและหินแตกละเอียด กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา
ท่าทางของเขาดูเป็นธรรมชาติราวกับเตรียมการไว้ล่วงหน้า หรือฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วน
ต่อให้เป็นภาพที่ไม่คาดคิดเพียงใด ปรากฏตัวบ่อยครั้งเข้า ก็ยากจะทำให้ผู้คนหวาดกลัว
สีหน้าของซางสิงโจวไม่เปลี่ยนแปลง
เฉินฉางเซิงยืนขึ้น มองไปที่เขาก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านอาจารย์ ยอมแพ้เถิด”
ซางสิงโจวยังคงไม่พูดไม่จา เดินไปข้างหน้าอยากเคร่งครึม มือทั้งสองจับกระบี่นักพรตกวัดไกว
ดวงอาทิตย์สาดแสงมายังด้ามกระบี่และแขนที่เปลือยเปล่าคู่นั้น
ความมีลวดลายบนกระบี่เป็นระเบียบ กล้ามเนื้อบนแขนชัดเจน
รสชาติลมปราณของสิ่งมีชีวิตและความตายต่างก็ร้อนแรงพอกัน ดั่งสุราร้อนแรงที่ทำให้ผู้คนมอมเมาและหวาดกลัว
เกิดเสียงดังปัง ฝุ่นควันพัดโหม
ปรากฏร่องน้ำลึกเบื้องหน้าหอตำราอยู่มากมาย
พื้นที่มืดสนิทและสว่างสลับกันอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็พังครืน
ท่ามกลางชั้นตำราที่ล้มครืน ก็เต็มไปด้วยตำราโบราณที่บินว่อนไปมา
เขาเคยนอนดูดาวที่นี่ทุกคืน
ลั่วลั่วเองก็เคยอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาหลายคืนนัก
แต่เวลาที่อาจารย์ของเขาอยู่ที่นี่นั้นมากกว่าเขามาก
หน้าต่างแตกละเอียด
เฉินฉางเซิงตกลงไปในน้ำพุหน้าสำนักฝึกหลวง ทั้งร่างเปียกโชก
ในปากของรูปปั้นสิงโตศักดิ์สิทธิ์แลบลิ้นอัปลักษณ์ออกมา มันกำลังพ่นน้ำเช่นกัน
น้ำพุที่เรียวเล็กราวนิ้วมือตกลงบนศีรษะของเขา มองดูแล้วตลกนัก
ที่นี่ห่างจากประตูสำนักฝึกหลวงไม่ไกล สามารถได้ยินเสียงลมหายใจที่ร้อนรนหรือเสียงอุทานด้วยความตกใจ
หวังผ้อ เซี่ยงอ๋อง จงซานอ๋องรวมถึงผู้แข็งแกร่งอย่างราชันย์แห่งหลิงไห่นี้ เพียงใช้หู “มอง” ก็สามารถมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นด้านในสำนักฝึกหลวงได้
เงาร่างใหญ่ยักษ์ค่อยๆ บดบังท้องฟ้าไว้
ซางสิงโจวมิได้ให้โอกาสเฉินฉางเซิงในการหอบหายใจใดๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ที่ไกลออกไปกว่าสิบจั้ง หวังจือเช่อและถังซานสือลิ่วปรากฏตัวขึ้นบนพื้นหญ้า
อวี๋เหรินน่าจะยังอยู่ในสวนร้อยหญ้า
สวีโหย่วหรงปรากฏตัวในอีกด้านหนึ่งของป่า ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ขยับเล็กน้อย
มังกรดำในเวลานี้ไปอยู่ที่ใดกัน
“ข้าสงสัยนัก”
หวังจือเช่อมองไปยังเฉินฉางเซิงที่เดินออกมาจากด้านในของน้ำพุ ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่นี่ยังมีกระบี่อีกหรือ ซ่อนมันไว้ที่ใดกัน”
รูปปั้นสิงโตศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่นัก พ่นน้ำมหาศาลทว่าน้ำในสระกลับตื้นเขิน
บรรดาอาจารย์ในสำนักฝึกหลวงและนักเรียนต่างก็เดินผ่านที่นี่บ่อยๆ ยากมากที่จะไม่ค้นพบกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในนั้น
ถังซานซือลิ่วไม่ได้พูดอะไร เขาใช้ท่าทางในการตอบคำถามนี้
เขาเขย่งเท้าพลางยื่นมือเข้าไปในปากของรูปปั้นสิงโตศิลานั้น สายน้ำสาดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง เขาหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากด้านใน
เมื่อเห็นภาพนี้ สวีโหย่วหรงก็คิดเชื่อมโยงไปถึงสิ่งหนึ่ง รู้สึกอยากอาเจียนยิ่งนัก ก่อนยกมือขึ้นมาปิดปาก
หวังจือเช่อทอดถอนใจ “เช่นนี้ก็ได้หรือ”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้ว “เหตุใดจะไม่ได้กัน”
หวังจือเช่อหายใจยาว “เดิมข้านึกว่ามีเล่มนั้นเพียงเล่มเดียว”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ผิดแล้ว ข้าซ่อนกระบี่ไว้ที่นี่มากมาย”
หวังจือเช่อเอ่ยถาม “มีกี่เล่มกันแน่”
“ทั่วทุกหนแห่ง”
ถังซานสือลิ่วอ้าสองแขนตน หลับตาลง อย่างเคลิบเคลิ้ม
“ขอเพียงอยู่ในสำนักฝึกหลวง เขาจะไม่มีทางพ่ายแพ้”
……
……
น้ำพุแตกหักทันที หางของสิงโตหินหักออก ปากแผลที่แตกหักเรียบลื่นมาก
กระบี่ของซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงปะทะกันอีกครั้ง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้กินเวลานาน ไม่หยุดยั้ง
เสียงกระบี่ฟาดฟันดังไปทั่วสำนักฝึกหลวงทุกหนแห่ง บางครั้งก็เกิดเสียงคำรามน่าหวาดกลัว
ไม่สามารถมองเห็นเงาร่างของอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองได้
บางครั้งก็มีกระบี่บินร่อนออกมาจากด้านในป่า บางครั้งก็บินออกมาจากในหอตำรา เอียงเสียบเข้าไปบนพื้นหญ้าและด้านนั้นของกำแพงปรักหักพัง สั่นไหวเล็กน้อย
ในช่วงนี้ ไม่รู้ว่าเขาหากระบี่เจอกี่เล่มกันแน่ จากนั้นก็ถูกซางสิงโจวโจมตีจนจากไปเสีย
ทันใดนั้น เสียงกระบี่ก็หยุดลง
สำนักฝึกหลวงเงียบลงอย่างน่าประหลาด
ที่ๆ เงียบที่สุดก็คือสิ่งปลูกสร้างทางตะวันตก
หากมองจากรูปแบบของสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างแล้ว น่าจะเป็นหอเทศน์ของลัทธิเต๋า กำแพงทาเป็นสีชาดแดงโดดเด่น
มีต้นเฟิ่งปลูกอยู่สองแถวรอบนอกอาคาร อาจเป็นเพราะค่ายกล ไม่ว่าจะฤดูใดก็ล้วนเป็นสีชาดแดง
บนอาภรณ์นักพรตเต็มไปด้วยรูพรุ่นถี่ยิบ ไหนจะเจตนากระบี่ที่หลงเหลือนั่นอีก
โลหิตไหลจากภายในอย่างต่อเนื่อง ดูน่ากลัวยิ่ง
ซางสิงโจวบาดเจ็บสาหัส
อาการบาดเจ็บของเฉินฉางเซิงนั้นร้ายแรงกว่า ใบหน้าของเขาซีดขาว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยโลหิต มือของเขาสั่นเล็กน้อย
“เจ้ายังมีกระบี่อีกหรือไม่”
ซางสิงโจวถาม
เฉินฉางเซิงหยิบกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกมาจากกระถางข้างกาย “นี่คือเล่มสุดท้าย”
……
……