ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 74 ความหมายของการต่อสู้
……
……
กระบี่ที่ราวกับพายุฝนมุ่งเป้าไปยังอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองคนที่อยู่ด้านบนของซากปรักหักพัง
ลมหยุดแล้ว ก้อนหินก็ไม่ได้กลิ้งอีกต่อไป แน่นอนว่าไม่มีเสียงใด ทั้งหมดในที่นั้นเงียบนัก
ทุกคนที่อยู่ด้านในตรอกไป๋ฮวาต่างสังเกตได้ถึงความเงียบนี้ และทราบได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นด้านในนั้น
แน่นอนว่าความเป็นความตายต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง
ด้านในสำนักฝึกหลวง เจตนาสังหารที่เกิดขึ้นอย่างสะเทือนฟ้าดิน ทำให้จิตใจของผู้คนทั้งหมดล้วนหวาดหวั่น
ทันใดนั้นเสียงพิณก็ดังขึ้น และสายจำนวนนับไม่ถ้วนก็ขาดลง
ด้านหน้าสำนักฝึกหลวงมีการยิงลูกศรหน้าไม้แบบสุ่ม และแสงศักดิ์สิทธิ์สาดแสงสว่างบนท้องฟ้าที่มืดมน
เสียงหวีดหวิวของการแหวกอากาศและเสียงอู้อี้ของการได้รับบาดเจ็บจากลูกศรดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
หลังจากสถานการณ์ที่วุ่นวายถูกควบคุมเอาไว้ได้อีกครั้ง ด้านในตรอกก็ปรากฏร่องรอยโลหิตมากมาย และหวังผ้อก็หายไปแล้ว
สีหน้าของราชันย์แห่งหลิงไห่ซีดขาวอย่างประหลาด เนื่องจากเขากังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับสมเด็จท่านใต้เท้าสังฆราช
หากไม่ใช่ว่าด้านในของสำนักฝึกหลวงเกิดเรื่องขึ้น หากมิใช่เพราะสมเด็จท่านใต้เท้าสังฆราชประสบกับอันตราย เหตุใดหวังผ้อจึงได้ชิงลงมือในช่วงเวลาที่น่าหวั่นเกรงนี้ ทั้งยังบุกเข้าไปในสำนักฝึกหลวง
ด้านหน้าหอเฟิงเกิดเจตนากระบี่ที่หนาวเหน็บอย่างถึงที่สุดขึ้น
สายลมอ่อนพัดต้นชิวเฟิงให้ปลิวไหว หวังผ้อปรากฏตัวเบื้องหน้าซากปรักหักพัง
เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า ก็สามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณและเจตนากระบี่ของวิถีพรตที่ยังคงหลงเหลือในอากาศ เขาเข้าใจสถานการณ์ภาพรวมได้อย่างรวดเร็ว
“คนอัศจรรย์แห่งยุค ต้องจำทนเยี่ยงนี้เชียวหรือ”
คำเอ่ยของหวังผ้อดุจราวกระบี่ แหลมคมอย่างหาใดเทียบได้ ลมหนาวที่เพิ่งสัมผัสได้จากเจตนาของกระบี่ถูกตัดขาดลงในทันที
ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบอย่างรำพึงรำพัน “ใช่ น่าอายยิ่งนัก”
สิ่งที่เขาพูดนั้นช่างจริงจังและจริงใจ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังพิจารณาถึงชื่อเสียงของซางซิงโจวอยู่
สวีโหย่วหรงไม่ได้เอ่ยคำใด
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่นางเดินมาอยู่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง
ใกล้นัก ห่างเพียงไม่กี่ก้าว
นี่เป็นการกระทำที่เสี่ยงยิ่งนัก
มองไม่ชัดถึงอารมณ์บนใบหน้านาง เนื่องจากนางก้มหน้าลงจึงมองเห็นเพียงขนตาที่กระพริบอยู่เท่านั้น
ขนตาถูกแสงสาดส่องเสียจนพร่างพราว ราวกับใบของต้นแปะก๊วย
แสงที่มาจากใต้ตาของนาง นั่นคือโลหิตบริสุทธิ์ของหงส์ที่กำลังลุกไหม้อยู่
นางพร้อมที่จะลงมือตลอดเวลา
อาจจะช่วยเฉินฉางเซิง
หรืออาจจะเดินไปสู่ความตายพร้อมกับเฉินฉางเซิง
เมฆบนท้องฟ้าสลายไป ร่างมังกรที่ราวกับเทือกเขานั้นกำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ และเงามืดก็หนาแน่นขึ้นเช่นกัน
ในเวลาต่อมาเงานั้นไม่หนาแน่นอีกต่อไป เนื่องจากนางมองเห็นภาพนั้นชัดเจนแล้ว ทั้งยังรู้สึกหวาดหวั่น
อวี๋เหรินอยู่ที่แห่งใดกัน
หวังผ้อไม่ได้เอ่ยผิด และที่ถังซานสือลิ่วเอ่ยก็เป็นความจริง
หากมองจากสถานของซางสิงโจวแล้ว เขาคงจะผิดหวังอย่างมาก และนี่ก็เป็นเรื่องราวที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเขาก็เป็นอาจารย์ของเฉินฉางเซิง นี่ก็ช่างน่าขายหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
หวังจือเช่อคือคนที่เขาเชิญให้มายังเมืองหลวง แต่กลับไม่สนับสนุนเขา ทั้งยังเอ่ย “หากเจ้าลงมือ เจ้ารู้ดีว่าข้าจะทำอย่างไรต่อไป”
ซางสิงโจวไม่จำเป็นต้องกลัวหวังจือเช่อ แม้ว่าหวังจือเช่ออาจจะร่วมมือกับหวังผ้อก็ตาม
เซี่ยงอ๋องและบรรดาท่านอ๋องตระกูลเฉินล้วนสนับสนุนเขา เช่นเดียวกับผู้มีฝีมือเหล่านั้นในวังหลวงรวมถึงอำนาจทางการทหารอีก
สงครามการต่อสู้ครั้งนี้มีเรื่องดี ๆ ให้ดูแน่นอน ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงอันตรายไปหน่อย
เขาอยากเปลี่ยนใจเสียจริง จากนั้นก็สังหารเฉินฉางเซิงเสีย
ขณะที่หวังจือเช่อเอ่ยว่า เขาแพ้แล้ว เขาหลับตาลงมองเห็นอนาคตมากมาย
นั่นคืออนาคตที่แตกต่างกัน จากการที่เขาได้เลือกในสิ่งที่แตกต่างกันเช่นกัน
ในนั้นมีอนาคตที่ดูเหมือนจะงดงามที่สุด ดังนั้นเขาจึงคาดเดาอยู่ห้าครั้ง มีสี่ครั้งที่เขาทำซ้ำทั้งขบวนการได้อย่างงดงามและประสบความสำเร็จ
อนาคตนั้นก็เริ่มต้นจากการเลือกของเขาเช่นกัน
——นิ้วของเขาค่อย ๆ ออกแรงเล็กน้อย
ศีรษะของเฉินฉางเซิงจะตกลงสู่พื้นดินเหมือนกับผลไม้ที่สุกงอมที่สุดแล้วอย่างนั้น หลังจากนั้นก็เละแหลกละเอียด
สิ่งที่ตามมาจะเป็นการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดฉากหนึ่ง เขาอาจจะพ่ายแพ้หรืออาจจะชนะ แต่ถึงอย่างไรก็จะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต
ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร ในช่วงเวลาที่ร้ายแรงที่สุดของการต่อสู้เขาจะออกตัวยอมแพ้ ยอมรับโทษต่อฮ่องเต้หนุ่มผู้นั้นเสีย และขออำลาไปอยู่ที่ลั่วหยาง
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พระราชวังหลีจะไร้ผู้ปกครอง ความขัดแย้งภายในจะเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับแรงกดดันจากภายนอก เขาน่าจะสามารถแย่งชิงอำนาจของสำนักฝึกหลวงได้อย่างง่ายดาย
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาจะปล่อยให้เฉินหลิวอ๋องตาย
เพียงไม่กี่ปี จงซานอ๋องจะหันมาต่อต้านเขา และพลทหารม้าด่านยงกวนจะล่องไปทางใต้
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะกลับจากลั่วหยาง
หากไม่กลับ จงซานอ๋องจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ดีและเจรจาเรื่องราวในตอนแรกกับฮ่องเต้หนุ่มให้ชัดเจน เอาเรื่องเก่านั้นโยนไว้เบื้องหลังเสีย
มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียว ที่จะทำให้อาจารย์และลูกศิษย์รวมใจเป็นหนึ่ง และสามารถทำให้ใต้หล้ารวมใจเป็นหนึ่งได้
เมื่อเวลาผันผ่านไป ทั้งใต้หล้ารวมใจกันเป็นหนึ่ง พสกนิกรนับหมื่นกลับใจเป็นหนึ่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์จะรุ่งโรจน์ และนั่นก็จะถึงวันยกพลขึ้นเหนือ
ทหารหาญหลายล้านคน ยกทัพเข้ามาในเมือง
เมืองนั้นคือเมืองใด
แน่นอนว่าคือเมืองเสวี่ยเหล่า
……
……
นั่นคือผลลัพธ์การคาดเดาของซางสิงโจว
คืออนาคตที่สวยงามอย่างหาใดเทียบได้
และเพื่ออนาคตอันสมบูรณ์แบบนี้ เขายินดีที่จะละทิ้งทุกสิ่งอุทิศทุกอย่าง
“แม้ว่าทำเช่นนี้แล้วจะเหม็นเน่าไปอีกหมื่นปีน่ะหรือ”
หวังจือเช่อเอ่ยถาม
“เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ข้าแอบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง หากไม่ใช่เพราะแรงกดดันของเทียนไห่ บางทีจวบจนถึงวันนี้ข้าก็คงไม่ออกหน้ามาแน่”
ซางสิงโจวเอ่ยขึ้นว่า ”ข้าไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีชื่อเสียงในหน้าประวัติศาสตร์สีเขียวหรือไม่ แล้วข้าจะสนใจเรื่องที่จะหลงเหลือชื่อเสียงที่ดีหรือไม่ดีไว้น่ะหรือ”
หวังจือเช่อไม่ได้เอ่ยอะไร เนื่องจากเขารู้ดีว่าซางสิงโจวเป็นคนแบบนี้
หวังผ้อก็ไม่ได้เอ่ยคำใด มือขวากุมกระบี่แน่น
เจตนาสังหารของซางสิงโจวที่มีต่อเฉินฉางเซิงนั้นจริงแท้ถึงเพียงนี้
มือของเขาก็ยังอยู่บนคอหอยของเฉินฉางเซิง
จะมีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาได้อีกเล่า
ทันใดนั้น กำแพงสำนักฝึกหลวงที่อยู่ด้านหลังหอเฟิงก็พังทลายลงมา ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่ว ไม่นานก็ปรากฏร่างของอวี๋เหรินขึ้นมา
ซางสิงโจวมองไปที่เขานิ่ง
อวี่เหรินส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ดูเคร่งขรึมนัก
ซางสิงโจวเข้าใจเจตนาของเขา
อวี๋เหรินเอ่ยกับซางสิงโจวว่า “การคาดเดาของท่านไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้”
หากท่านสังหารศิษย์น้อง อย่างนั้นข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านตลอดกาล
หากอาจารย์และศิษย์ใต้หล้าไม่รวมใจกันเป็นหนึ่ง พสกนิกรนับหมื่นจะกลับใจได้อย่างไร และแน่นอนว่าคงไม่มีภาพสุดท้ายนั้น
ซางสิงโจวไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
เนื่องจากเขามั่นใจมาก
ซางสิงโจวมั่นใจมากว่า ขอเพียงมีเวลาเพียงพอ อวี๋เหรินจะต้องเข้าใจในความทุกข์ระทมของตนเป็นแน่
เพียงแต่เหตุใดเขายังไม่ลงมือกัน
หรือเพราะว่าใครบางคนแสดงออกอย่างเงียบเชียบเกินไปหรือ
คนผู้นั้นกำลังจะตายแล้ว
ตายเพราะความละอาย
เขามีเหตุผลมากเพียงพอที่จะโกรธเกรี้ยว
เขาสามารถผรุสวาทคำหยาบคายออกมาได้
เขาสามารถใจกว้างและห้าวหาญได้
เขาสามารถถ่มน้ำลายใส่หน้าซางสิงโจวได้
แต่เขากลับไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
เมื่อซางสิงโจวและหวังจือเช่อสนทนากันนั้น เขาก็เพียงแค่รับฟังอยู่เงียบ ๆ อย่างนั้น ราวกับกำลังดื่มด่ำละครฉากหนึ่ง
ห่างกันเพียงแค่หนึ่งแขนกั้น
ทุกคนในที่นั้นล้วนรู้สึกว่าซางสิงโจวจะต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน แต่เหตุใดเขาจึงได้สงบนิ่งถึงเพียงนี้
ซางสิงโจวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้านึกอยู่แล้วใช่หรือไม่”
“ข้ารู้จักท่านดี หากทั้งโลกนี้คิดว่าท่านผิด ท่านจะต้องคิดว่าโลกนี้มีปัญหาแน่นอน แต่ท่านไม่ได้คิดถึงตนเองเลย”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “คนที่ถูกต้องเสมอตลอดกาลเยี่ยงท่านนี้ จะยอมรับความผิดพลาดของตนได้อย่างไร”
ซางสิงโจวเอ่ยถาม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องจัดการต่อสู้ในวันนี้ขึ้นด้วย”
หากไม่สนใจว่าผลการแข่งขันในวันนี้เป็นอย่างไร ซางสิงโจวก็คงจะไม่รักษาสัญญาก่อนหน้าเป็นแน่ แล้วอย่างนั้นมันจะมีความหมายอะไรเล่า
หากเฉินฉางเซิงคาดเดาล่วงหน้าได้ถึงจุดนี้ เหตุใดจึงต้องสิ้นเปลืองพละกำลังและสติปัญญามากมายถึงเพียงนี้ เพื่อบีบบังคับให้ซางสิงโจวยอมรับข้อเรียกร้องของตน และปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้
“แน่นอนว่าต้องมีความหมาย เนื่องจากมีเพียงวิธีนี้ที่จะช่วยให้ท่านมองเห็นตนเองได้อย่างชัดเจน”
เฉินฉางเซิงมองไปยังซางสิงโจวก่อนเอ่ย “ท่านลองคิดดู ท่านในยามนี้อัปลักษณ์และไม่น่าดูเพียงใดกัน”
ดวงตาของเขาบริสุทธิ์และสุกสกาวราวกับกระจกบานหนึ่งที่สะท้อนใบหน้าหนึ่งออกมา
ใบหน้านั้นช่างโรยรา เต็มไปด้วยร่องรอยของโลหิต ทั้งยังมีและความภาคภูมิใจและความดุร้ายจากการกล่อมจิตตนเอง
ซางสิงโจวมองไปที่ใบหน้านั้น และรู้สึกแปลกหน้าเสียเหลือเกิน