ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 75 ทั้งหมดเกี่ยวกับเฉินฉางเซิง
ซางสิงโจวทราบดีว่านั่นคือใบหน้าของตน
แต่เขายังคงรู้สึกไม่คุ้นเคย
เพราะมันช่างแตกต่างจากใบหน้าปกติที่เขามักจะมองเห็นในกระจก
ไม่มีผู้ใดทราบว่าซางสิงโจวเป็นคนอย่างไรกันแน่ คงมีเพียงอวี๋เหรินเท่านั้นที่ชัดแจ้งในเรื่องนี้
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสตระกูลถัง อิ๋นหรือเฉินฉางเซิง ก็ล้วนไม่เข้าใจนัก
หากจะหาคำมานิยาม ก็คงเป็น “ไม่สนิท”
ซางสิงโจวไม่สนิทกับศิษย์น้องของตนเอง ไม่สนิทกับสหายเก่า และไม่สนิทกับลูกศิษย์ของตนด้วย
เขาไม่สนิทชิดเชื้อกับทั่วทั้งโลก ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือว่าถูกกระทำ เขาล้วนต้องนำโลกนี้มุ่งไปข้างหน้า
ว่ากันว่าชุดดำเป็นบุคคลที่ลึกลับที่สุดบนโลกใบนี้ แต่ที่จริงแล้วในหลายร้อยปีแรกสุดนั้น เขาลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่าเสียอีก
เขาเป็นคนที่มักจะเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ในใจและไม่ยอมพูดออกมาเสียยิ่งกว่าชุดดำ ถ่อมตนยิ่งกว่า หรืออาจจะเรียกได้ว่าไร้ข้อเรียกร้องยิ่งกว่า
หากเขายินยอม ภาพของเขามีคุณสมบัติที่จะถูกแขวนไว้ด้านในหอหลิงเยียนยิ่งกว่า และควรจะอยู่แถวแรกสุดเสียด้วยซ้ำ
แต่เขายังคงเลือกที่จะหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดของรัตติกาล ไม่ออกไปพบแสงสว่าง และไม่คบหาสมาคมกับผู้ใด
ช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ เขาได้แสดงออกในหลายบทบาท และมีใบหน้ามากมายนับไม่ถ้วน
และคงเพราะสาเหตุนี้ เขาจึงมักจะส่องกระจกบ่อย ๆ เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าวันนี้ตนนั้นคือใครกันแน่
ไม่นานเขาก็เคยชินเสียแล้วกับการสนทนากับตัวเองในกระจก แม้ว่าจะไม่ต้องการแสดงบทบาทเป็นคนอื่นแล้ว ก็ยังคงเป็นเยี่ยงนี้
เขามักจะพกกระจกเวหาไพศาลติดกายไว้เสมอ จวบจนกระทั่งในปีนี้เขาได้ให้สวีโหย่วหรงนำไปที่เมืองจักรพรรดิ หลังจากนั้นมันก็แตกลงในการต่อสู้ครั้งนั้น
เขาคุ้นชินกับใบหน้าของตัวเองยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมด แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยยิ่งนัก
ใบหน้านี้แลดูช่างอ่อนล้า ไม่ได้มีความเกรียงไกรดั่งในเวลาปกติ ดังนั้นจึงดูโรยราเป็นอย่างยิ่ง
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ แววตาของเขาไม่ได้สงบเหมือนเคยอีกต่อไป
คิ้วที่เลิกขึ้นและดวงตาแสนเย็นชา อารมณ์อันธพาลเห็นได้อย่างชัดเจน มองดูแล้วช่างโง่เขลายิ่งนัก
ราวกับท่านอ๋องที่อายุน้อยสุดกำลังตะโกนในสวนร้อยหญ้าด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวในปีนั้น
สุดท้ายก็ถูกธนูที่โบยบินรอบทิศทางยิงจนตายมิใช่หรือ
เมื่อฉู่อ๋องตายนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโลหิต ไม่น่าดูสักนิด
ข้าจะไปที่ใดต่อไป
ใช่ ข้าจะไปวังหลวง และนำเจตนาของฝ่าบาทถ่ายทอดให้แก่จักรพรรดิไท่จง
จักรพรรดิไท่จงที่ดูเหมือนอ้วนและโง่งม แต่แท้จริงแล้วเขาฉลาดมาก เขาจะเห็นเจตนาสังหารของข้าได้อย่างไร
ฝ่าบาททรงมีความเมตตาเกินไป ในคืนนั้นควรสังหารหวังจือเช่อไปเสีย เหตุใดต้องเก็บเขาไว้กัน
หากไม่มีเขาแล้วจะเอาชนะเผ่ามารไม่ได้เลยหรือ ช่างน่าแปลกประหลาดเสียจริง
เฉินเสวียนป้าผู้มีความสามารถที่เลื่องลือจนผู้คนตะลึง ฉู่อ๋องที่ความสามารถระบือไกลอย่างนั้น ฝ่าบาทก็ฝืนใจกำจัดจนหมดสิ้นแล้วมิใช่หรือ จะมาเสียดายบัณฑิตคนหนึ่งทำไมกัน
ความคิดของซางสิงโจวลอยกลับมาจากในอดีต สายตาก็ถอนกลับมาจากแดนไกล และทอดตกลงบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง
ใบหน้าของเฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยโลหิต แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ยังคงดูสะอาดยิ่งนัก
และใบหน้านี้ยังคงสงบนิ่งอยู่ ปราศจากความหวาดกลัวใด ๆ
ซางสิงโจวค่อนข้างโมโห
คำกล่าวของเฉินฉางเซิงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
และความสงบนิ่งของเฉินฉางเซิงยิ่งทำให้เขารับไม่ได้
เขาเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลัวตายเลยหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “อาจารย์ ท่านควรจะเข้าใจดียิ่งกว่าใครทั้งหมดว่าข้ากลัวความตายมากเพียงใด”
เมื่อครั้งเขาอายุสิบขวบ หลังจากที่ซางสิงโจวเอ่ยประโยคนั้นกับเขา เขาเสียใจอยู่เป็นเวลานานมาก
หลายค่ำคืนนักที่เขาแอบซ่อนตัวร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม
และคนที่คอยตบหลังเขาเพื่อปลอบใจอยู่นอกผ้าห่มก็คืออวี๋เหริน
ซางสิงโจวที่อยู่ในห้องอีกด้านหนึ่งของกำแพง จะไม่ทราบได้อย่างไร
“แต่เมื่อคิดหลายครั้งมากเข้า เวลาที่หวาดกลัวนานเข้า แน่นอนว่าก็ชาชินเสียแล้ว”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ในเมื่อเอ่ยขึ้นมาแล้ว ข้าคงต้องขอบคุณท่านที่มอบชีวิตเช่นนี้ให้กับข้า”
ซางสิงโจวเอ่ย “ในตอนนั้นเจ้าเชื่อว่าตนจะมีชีวิตได้ไม่ถึงยี่สิบปี ทุกวันเจ้าล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย แน่นอนว่ามันก็ง่ายที่จะเอาชนะความหวาดกลัว แต่ในวันนี้เจ้าได้พลิกชีวิตเปลี่ยนโชคชะตาแล้ว แม้กระทั่งมีโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะสามารถมองเห็นอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ได้ เหตุใดเจ้ายังคงไม่หวาดกลัว”
“ข้าไม่รู้ว่าข้านั้นไม่กลัวจริง ๆ หรือเพราะเหตุใด คงจะต้องรอให้ความตายได้มาเยือนจริง ๆ แล้วกระมัง ถึงจะได้ทราบความรู้สึกในใจที่แท้จริง”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าจะช่วยให้ท่านให้มองตนเองให้ชัดขึ้น ท่านเองก็สามารถช่วยให้ข้าได้มองตนเองให้ชัดขึ้นเช่นกัน”
คนอื่นคือนรกภูมิ
ความตายคือกระจก
สามารถสวมอาภรณ์ให้เป็นระเบียบได้
สามารถแจ้งใจในเจตนาได้
……
……
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ต้นชิวเฟิงไม่ไหวติง
ซางสิงโจวยังคงไม่ลงมือ
“ปล่อยมือเถิด”
หวังจือเช่อเอ่ยขึ้น
ในเมื่อไม่ลงมือ เหตุใดจึงไม่ปล่อย
คำว่าปล่อยนี้มีสองความหมาย
ปล่อยมือที่วางอยู่บนคอหอยของเฉินฉางเซิง
ปล่อยวางจากโลกใบนี้
ซางสิงโจวไม่ได้เอ่ยคำใด และก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ
“ท่านรู้สึกเสียหน้าหากต้องปล่อยมืออย่างนี้ใช่หรือไม่”
ทันใดนั้นถังซานสือลิ่วก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็ตบแก้มขวาตนหนึ่งที
เสียงดังเปี๊ยะ ก้องกังวานยิ่งนัก
ใบหน้าด้านขวาของถังซานสือลิ่วเกิดรอยแดงขึ้นมาทันทีโดยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เขามองไปที่ซางสิงโจวก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านดูสิ ใบหน้านั้นจะมีอะไรกัน”
ซางสิงโจวยังคงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ในสายตาของหลายคนที่มองมา พฤติกรรมของถังซานสือลิ่วเป็นเพียงการรบกวนจิตใจของซางสิงโจวเท่านั้น เนื้อแท้นั้นคือพูดจาเลื่อนเปื้อน
เฉินฉางเซิงไม่คิดอย่างนั้น เขาทราบดีว่านี่คือคำถามจริง ๆ
เมื่อครู่เขาก็ได้เอ่ยออกมาแล้วว่าคนที่ถูกต้องตลอดกาลอย่างซางสิงโจวนี้ ไม่มีทางยอมแพ้เป็นแน่
ความจริงข้อนี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายยิ่งนัก
เขาเอ่ยกับซางสิงโจวว่า “เหตุใดท่านจึงไม่เรียนรู้ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้กันนะ”
“ข้าไม่แพ้ เหตุใดต้องยอมแพ้ เจ้าอย่าลืมว่าพันปีมานี้ ข้าชนะมาตลอด”
ซางสิงโจวเอ่ยอย่างทะนงว่า “ต่อให้ข้าจะเคยประเมินค่าเทียนไห่ต่ำไป เคยทำผิด แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นข้าที่เป็นผู้ชนะ”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “หากไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นยอมรับผิดเล่า”
ในที่นั้นเงียบสนิท
สายตาของผู้คนทอดตกลงบนร่างของเขา
“หากท่านยืนหยัดที่จะไม่ยอมแพ้ อย่างนั้นจะยอมรับผิดได้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงมองซางสิงโจวก่อนเอ่ยถามอย่างจริงจัง
สีหน้าของซางสิงโจวดูงงงวย
“สามปีก่อนที่สำนักฝึกหลวง คืนนั้นก็มีหิมะโปรยปรายเช่นกัน ในตอนนั้นข้าเอ่ยกับท่านว่า ระหว่างพวกเรานั้น ท่านเป็นคนผิด”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ในเมื่อผิดแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ยอมรับผิดเล่า”
ไม่เอ่ยถึงเรื่องแพ้หรือชนะ อย่างนั้นมาพูดกันเรื่องใครถูกใครผิด
แท้จริงแล้วเป็นใครที่ถูก และเป็นใครที่ผิด
ไม่ยอมแพ้ อย่างนั้นจะยอมรับผิดใช่หรือไม่
ซางสิงโจวยังคงเงียบไม่พูดจา
เฉินฉางเซิงมองเขาพลางเอ่ยถาม “อาจารย์ การให้ท่านยอมรับผิด มันยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ซางสิงโจวมองไปที่เขาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะคลายมือลง
ไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นไปข้างหน้า เนื่องจากทั้งสองนั้นยังคงอยู่ใกล้กันมาก เพียงแค่ยื่นมือเท่านั้นก็สามารถสัมผัสถึงฝ่ายตรงข้ามได้
จากนั้นเฉินฉางเซิงก็พูดอีกสองสามประโยค
“ในสุสานเทียนซู ข้าเคยเอ่ยกับท่านว่า บางทีในช่วงเวลาสุดท้าย ท่านอาจจะพบว่าสิ่งที่ตนอยากได้มากที่สุดคือสิ่งใด เมื่อครู่ก็คือช่วงเวลาสุดท้ายที่ว่า”
“ท่านถามข้าว่าเหตุใดต้องจัดการประลองฉากนี้ขึ้น นี่คือคำตอบ ข้าอยากจะเชื้อเชิญให้ท่านเผชิญหน้ากับตนเอง บางทีมันอาจจะดูแย่ แต่นั่นคือเรื่องจริง”
“ท่านไม่อยากสังหารข้า แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนไม่สังหารข้า เนื่องจากท่านทราบดีว่าท่านนั้นผิด”
“ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ทุกสิ่งที่ท่านทำที่เกี่ยวข้องกับข้า ล้วนผิดทั้งหมด”
……
……