ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 77 ยุคของคนหนุ่มสาว
……
……
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ตามเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไป
เขายืนอยู่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง มองไปยังฝูงชนที่กระจายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับน้ำลง
ไม่นานนักตรอกไป่ฮวาก็กลับคืนสู่ความสงบ
ซูม่ออวี่นำอาจารย์และนักเรียนของสำนักฝึกหลวงทยอยเดินกลับมา
เมื่อพวกเขามองเห็นหอเฟิงที่กลายเป็นซากปรักหักพัง กำแพงที่หักโค่นถล่มลงมา ป่าที่วุ่นวาย รวมไปถึงร่องรอยของการต่อสู้ที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ก็จินตนาการได้ถึงการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าดินฉากนั้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกราวกับกำลังฝันไป
แน่นอนว่านี่คือความฝันที่สวยงาม เนื่องจากสำนักฝึกหลวงในตอนนี้คือพรรคหนึ่งของพระราชวังหลี
ซูม่ออวี่ไม่ได้สนใจจิตใจที่อกสั่นขวัญแขวนของเหล่าอาจารย์และนักเรียน และก็ไม่ได้รีบร้อนไปจัดการเรื่องบูรณะซ่อมแซม แต่กลับกังวลเรื่องอื่น
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เขาจ้องไปที่ดวงตาของถังซานสือลิ่วก่อนเอ่ยถาม “ข้าว่าตาเขาแดงมาก”
ในประโยคนี้แน่นอนว่าต้องหมายถึงเฉินฉางเซิง ซูม่ออวี่กังวลว่าบาดแผลของเขาจะสาหัสใช่หรือไม่
ถังซานสือลิ่วผายมือสองข้างอย่างหมดคำพูด พลางคิดในใจว่าเรื่องที่เฉินฉางเซิงกอดกับฮ่องเต้ร้องไห้ก็ต้องเล่าให้ฟังหรือ
……
……
ในตำหนักที่เงียบสงัด สายน้ำไหลลงสู่สระน้ำ น้ำลอยอยู่บนนั้นอย่างไร้ระเบียบ เหมือนกับเรือลำหนึ่งที่ลอยล่องไร้ผู้คน
หวังจือเช่อละสายตาออกจากสระน้ำ และมองออกไปด้านนอกตำหนัก
ฟ้ายังไม่มืด พระอาทิตย์กำลังตก ทัศนียภาพช่างงดงามนัก แต่เขามองไม่เห็นอู่เต้าจื่อ
เกิดจุดขาวขึ้นระหว่างฟ้าและพื้นดินศักดิ์สิทธิ์ ราวกับหิมะและดอกบัว นั่นคือสวีโหย่วหรง
นางยืนอยู่ด้านหน้าประตูหลักตำหนัก เอียงศีรษะชะเง้อเข้าไปยังด้านใน ดูน่ารักยิ่งนัก
ราชันย์แห่งหลิงไห่และคนอื่น ๆ อยู่เคียงข้างนาง พวกเขาเงียบไม่พูดจา เตรียมพร้อมต่อสู้อยู่เสมอ
หลายปีก่อน ภาพนี้เคยปรากฏขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้นเฉินฉางเซิงกลับมาจากเทือกเขาหานซาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส และกำลังสนทนากับท่านใต้เท้าสังฆราชอยู่ในตำหนักด้านนั้น
ในครานั้น สวีโหย่วหรงเตรียมพร้อมที่จะลงมือตลอดเวลา
เห็นได้ชัดมากว่าในวันนี้นางเองก็พร้อมที่จะลงมือได้ตลอดเวลาเช่นกัน
แม้ว่าในวันนี้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามของเฉินฉางเซิงจะเป็นหวังจือเช่อก็ตาม
……
……
ด้านในสำนักฝึกหลวง เมื่อเห็นว่าเฉินฉางเซิงกำลังจะถูกซางสิงโจวสะบั้นใต้คมกระบี่แล้ว สวีโหย่วหรงจำต้องลงมือ กลับถูกหวังจือเช่อรั้งไว้เสีย
แต่หวังจือเช่อชื่นชมการรับมือของนางในตอนนั้นนัก หากเขามองไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นดัชนีศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้า
“ที่ข้านับถือก็คือ นางแทบจะไม่ได้เอาเวลาและจิตวิญญาณวางไว้บนวิถีกระบี่ของพี่ใหญ่เลย ท่านก็เช่นกัน”
คำกล่าวของหวังจือเช่อจริงใจยิ่ง
เนื่องจากเขาแจ้งแก่ใจว่าวิชากระบี่ที่ชื่อดาบสองท่อนนั้นน่าเกรงขามเพียงใด
มันใช่เพียงเพราะว่าเขาเป็นศิษย์น้องร่วมสาบานของโจวตู๋ฟู แต่นี่คือเรื่องที่ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดี
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจะไม่ทราบหรือ แน่นอนว่าพวกเขาต้องทราบแน่
ในปีนั้นเขาและหวังผ้อเคยแสดงเจตนากระบี่ของโจวตู๋ฟูมาแล้ว เมื่อยามดำเนินอยู่ที่ริมแม่น้ำลั่วสุ่ย หวังผ้อถือเอาโอกาสนี้สะบั้นหนานเถี่ยเสียในกระบี่เดียว
ยามนี้เคล็ดวิชาดาบสองท่อนอยู่ในมือของเขาและสวีโหย่วหรง
เมื่อมีเคล็ดวิชาดาบสองท่อนแล้ว ก็จะสามารถสืบทอดมรดกของโจวตู๋ฟูได้ และอาจจะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดคนที่สองภายใต้ดินแดนแห่งดวงดาวนี้ได้
หากเป็นผู้บำเพ็ญพรตท่านอื่น จะทนการยั่วยุเยี่ยงนี้ได้เล่า
พวกเขาต้องอดทนฝึกเคล็ดวิชากระบี่นั่นอย่างพากเพียรไม่หยุดหย่อนเป็นแน่ เอาเวลาทั้งหมดหรือแม้แต่ชีวิตทั้งหมดทุ่มเทลงกับมัน
แต่เฉินฉางเซิงมิได้ทำเยี่ยงนั้น สวีโหย่วหรงก็ไม่ได้ทำเยี่ยงนั้นเช่นกัน พวกเขาเพียงศึกษาอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อครั้งอยู่ในสุสานเทียนซู พวกเขามิได้ฝึกเคล็ดวิชากระบี่สองท่องนี้เป็นพิเศษ พวกเขามักจะลืมเรื่องนี้ไปเสียด้วยซ้ำ
“เคล็ดวิชาดาบสองท่อนนั้นโหดเหี้ยมเกินไป รู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก”
นี่ก็คือคำอธิบายที่เฉินฉางเซิงเอ่ยกับหวังจือเช่อ
เขาขบคิด ก่อนเอ่ยเสริม “และข้าก็มีวิถีเต๋าเป็นของตนเอง ซึ่งนั่นก็ดีมากเช่นกัน”
เขาตอบอย่างสงบนัก โดยออกมาจากความมั่นใจ
สิ่งที่หวังจือเช่อชื่นชมมากที่สุดก็คือจุดนี้ และสิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือจุดนี้เช่นกัน
จากสุสานเทียนซูมายังสวนโจว เกิดปาฏิหาริย์มากมายอย่างนั้นล้วนไม่สามารถทำให้สถานการณ์ของเฉินฉางเซิง เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้เลย
แล้วใครจะสามารถทำให้มองไข่มุกศิลาเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาเล่นบนแขนตนได้หรือ
เขาและสวีโหย่วหรงยังหนุ่มยังสาว เอาความมั่นใจมาจากไหนมากมายในการเผชิญหน้ากับโลกนี้อย่างสงบเพียงนี้
“ดินแดนนี้เป็นของพวกเราและก็เป็นของพวกท่าน แต่สุดท้ายแล้วก็จะเป็นของพวกท่าน”
หวังจือเช่อมองไปที่พวกเขาก่อนเอ่ย “เดิมทีข้าเข้าใจว่าพวกเจ้ายังหนุ่มสาว อาจรอให้พวกเราชราได้ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้”
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าเขากำลังอธิบายว่าเหตุใดจึงรับคำเชิญของซางสิงโจวมาปรากฏตัวยังเมืองหลวง
เขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไร
เนื่องจากคนที่อธิบายแก่เขาคือ หวังจือเช่อ
ความจริงนี้ช่างทำให้รู้สึกท้อแท้และจนใจยิ่งนัก
……
……
สวีโหย่วหรงหันกลับไปมองชายคาสีดำที่อยู่ลึกไปในตำหนัก
เมื่อแน่ใจว่าการสนทนาในห้องราบรื่น นางคงไม่พังกำแพงศิลาแล้วจุดเพลิงหงส์ ราชันย์แห่งหลิงไห่รวมถึงคนอื่น ๆ ต่างก็แยกย้ายกันไปแล้ว
ในเวลานี้นางได้ยินคำพูดนั้นของหวังจือเช่อ แน่นอนว่าเป็นเพราะหวังจือเช่ออยากให้นางได้ยินนั่นเอง
ประโยคนั้นทำให้นางเลิกคิ้วขึ้น ราวกับเปลวเพลิงที่เตรียมจะแผดเผาท้องฟ้า
มีเงาร่างหนึ่งสะท้อนเข้ามาในดวงตานาง
“ดูเหมือนว่าเจตนาการรบของท่านนั้นยังไม่ได้หายไปทั้งหมด”
ม่ออวี่มองไปที่นางพลางยิ้ม ก่อนเอ่ย “เวลาล่วงเลยมาหลายแล้วเจ้ายังคงกระหายการรบถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
นอกจากคนที่เติบโตมาด้วยกันเช่นนาง เฉินหลิวอ๋อง และผิงกั๋วแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จักนิสัยที่แท้จริงของสวีโห่ยวหรง
สวีโหย่วหรงมองไปที่นางก่อนเอ่ยว่า ”ในสายตาของท่าน สิ่งที่ข้าเห็นคือความไม่พอใจ”
“ท่านและข้าได้เตรียมการมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกอย่างล้วนล้มเหลว เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด”
เมื่อม่ออวี่เอ่ยนั้นเขายักไหล่ และดูไม่ใส่ใจเอาเสียเลย
คำพูดธรรมดา ๆ ที่ไม่รู้ว่ามีโลหิตและคราบคาวซ่อนอยู่มากมายแค่ไหน
หากไม่มีแผนที่ดูเหมือนไร้เดียงสาและโง่เขลาของเฉินฉางเซิง วันนี้เมืองหลวงอาจจะต้องนองเลือดแล้วก็เป็นได้
“ผู้ชายตัวน้อยของเจ้าช่างไม่เลวเลย”
ม่ออวี่ถอนใจก่อนเอ่ย “ท่านหวังกลับน่าผิดหวังนัก”
สวีโหย่วหรงหัวเราะเยาะก่อนเอ่ย “ท่านนึกจริงหรือว่าเขาเหมือนในหนังสืออย่างนั้น”
ในเมืองหลวงปีนั้น นางยังเด็กนัก ม่ออวี่เองก็เป็นเพียงเด็กสาว เมื่อยามที่เล่าเรียนหนังสือนั้นไม่รู้ว่าตกหลงรักหวังจือเช่อมาแล้วกี่หน
บนโลกนี้เต็มไปด้วยเด็กสาวมากมายนัก พวกนางคิดว่าท่านหวังนั้นต้องอาศัยอยู่บนเมฆา รับประทานแต่น้ำค้างเป็นแน่
หากได้มองเห็นความจริง พวกนางก็จะทราบว่าเทพตกสวรรค์เยี่ยงนั้นไม่มีอยู่จริง
เขาเป็นเพียงชายชราที่รู้จักประนีประนอม มันช่างน่าเศร้า หรือแม้กระทั่งน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ
ในเวลาที่ม่ออวี่และสวีโหย่วหรงกำลังพูดถึงหวังจือเช่อนั่นเอง
หวังจือเช่อได้ฟังประโยคหนึ่งแล้ว
ประโยคนั้นเป็นการตอบรับคำอธิบายยกใหญ่ก่อนหน้านี้ของเขา
แข็งแกร่งนัก และก็ตรงไปตรงมา
“ในเมื่อดินแดนนี้อย่างไรเสียก็ต้องเป็นของพวกเรา เช่นนั้นเหตุใดพวกท่านจึงไม่ถอยไปเสีย เหตุใดจึงต้องให้คนหนุ่มสาวต้องรอกันเล่า”
“เมื่อต้องรอนานเข้า พวกเราก็คงกลายเป็นคนชราที่น่าเบื่อเหมือนพวกท่านอย่างนี้”
“อย่างนั้นมิใช่ว่าโลกใบนี้เป็นของพวกเจ้ามาโดยตลอดหรือ”
มิใช่เฉินฉางเซิง และก็ไม่ใช่ถังซานสือลิ่ว
ผู้ที่เอ่ยคำนี้คือราชันย์แห่งหลิงไห่
หวังจือเช่อมองไปยังเขา ก่อนจะจำได้ว่าเขาคือมหามุขนายกท่านหนึ่ง
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักฝึกหลวงที่ว่า แทบจะไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยู่ในสายตาเขา และยากที่จะหายไป
ราชันย์แห่งหลิงไห่ยังเยาว์นัก
ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักฝึกหลวง เขาคือผู้ที่อายุน้อยที่สุด
ถังซานสือลิ่วเคยเอ่ยเช่นนี้
คนหนุ่มสาวก็คือความถูกต้อง
หวังจือเช่อขบคิด ก่อนเอ่ย “มีเหตุผล”
……
……
รถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้าไปยังด้านนอกพระราชวังหลี
ล้อรถที่บิดเบี้ยวบดขยี้กับแผ่นศิลาสีเขียวที่แข็งแกร่งบนจตุรัส เสียงเสียดสีช่างไม่ไพเราะเอาเสียเลย มองดูซอมซ่อนัก
เศษโลหิตบนพื้นศิลาเขียวถูกชำระล้างให้สะอาดไปนานแล้ว
เสียงกรีดร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวของอู๋เต้าจื่อดังออกมาจากในรถอย่างต่อเนื่อง
“ข้าจะสังหารพวกเจ้าซะ”
“ไอพวกลูกหมา กล้าทำผู้อาวุโสอย่างนี้เชียวหรือ”
ไม่มีผู้ใดตอบโต้การผรุสวาทนั้นของอู๋เต้าจื่อ
ที่นั้นไร้ซึ่งผู้คนนานแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียว
นี่คือความเคารพที่พระราชวังหลีแสดงออกมา
ราชันย์แห่งหลิงไห่ยืนอยู่ใต้ชายคา มองไปยังรถม้าที่กำลังเคลื่อนออกไปด้วยสีหน้าสงบ
อันฮวาอยู่ข้างกายเขา นึกถึงเรื่องที่ตนทำในวันนี้ ฟังเสียงก่นด่าเหล่านั้น พลันใบหน้าก็ซีดขาว สีหน้าจนใจ
ความโกรธของอู๋เต้าจื่อมาจากความพ่ายแพ้ และยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากเขาไม่เคยได้รับความเคารพในพระราชวังหลีเลย
หากว่ากันตามหลักการแล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คนที่มีฐานะเยี่ยงเขาควรได้รับการแสดงความเคารพ
และที่สำคัญ เขาเป็นตัวแทนของหวังจือเช่อ
แต่ไม่มี
ตั้งแต่เฉินฉางเซิงไปจนถึงสวีโหย่วหรง ตั้งแต่ราชันย์แห่งหลิงไห่ไปจนถึงอันฮวา จนถึงหวังผ้อและม่ออวี่ที่อยู่ด้านนอก ล้วนไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนั้น
บางที นี่อาจจะหมายถึงจุดจบของยุคหนึ่งแล้ว
ยุคนั้น
อู๋เต้าจื่อโกรธมากและผิดหวังยิ่งกว่า แต่หวังจือเช่อกลับสงบยิ่งนักหรือแม้แต่กระทั่งรู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำ
เนื่องจากในวันนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอย่างหนึ่ง
พลังงานหนึ่งที่คุ้นเคยยิ่งนัก แต่ค่อย ๆ เลือนหายไปหลังจากที่ราชวงศ์ป้าโจได้สถาปนาราชวงศ์ขึ้น
พลังแบบนั้นค่อนข้างหยาบกระด้าง ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ แต่กลับมีพลังที่ตื่นตัวเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้คนหวั่นไหวยิ่งนัก
หลายพันปีก่อน ใต้หล้าโกลาหล ราชวงศ์แตกสลาย เผ่ามารยกพลลงใต้ ผู้คนหมดอาลัย อัฐิเกลื่อนเส้นทาง
หลังจากนั้น ดอกไม้ป่าก็บานสะพรั่ง
โจวตู๋ฟู เฉินเสวียนป้า เฉินเจี้ยซิ่ง ซางสิงโจว ฉู่อ๋อง ติงจ้งซาน หลี่หมี่เอ๋อร์ ฉินจ้ง อวี๋กง และยังมีคนเหล่านั้นบนหอหลิงเยียน
ยังมีเขา
ตอนนั้นพวกเขาล้วนยังหนุ่มสาว พวกเขาเคยเคารพใครด้วยหรือ เคยเกรงกลัวใครด้วยหรือ
ที่แท้ ยุคนั้นยังไม่จบสิ้น
ตอนนี้ก็ยังคงเป็นยุคนั้น
ยุคของคนหนุ่มสาว