ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 78 ที่สุดของความจริงใจคือท่านอ๋อง
หวังจือเช่อจากเมืองหลวงไป ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปที่จะออกจากวัดมหายานเก่าแก่อีกจะเป็นเมื่อใด
ซางสิงโจวก็กลับลั่วหยางไปแล้ว หลายปีจากนั้นล้วนไม่ได้จากอารามฉางชุนไปไหน
ก่อนหน้านี้ เขาเคยสนทนากับอวี๋เหรินในวังหลวงมาก่อน
คำกล่าวแรกที่อวี๋เหรินเอ่ยกับเขาก็คือ “ดึกคืนวันนั้นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เข้าวัง ข้าไม่ได้รับปากอะไรนางเลย”
คืนนั้น เฉินหลิวอ๋องเดินทางไปลั่วหยางอย่างรีบเร่ง
ซางสิงโจวเงียบไม่พูดจา มาจนถึงวันนี้
หากว่ากันจากอีกมุมหนึ่ง เขาได้ตกหลุมพรางของสวีโหย่วหรงแล้ว
สิ่งที่สวีโหย่วหรงยืมคืออำนาจ สิ่งที่พุ่งเป้าโจมตีคือหัวใจ
ความหมายของเขาชัดเจนมาก หากท่านสงสัยในตัวข้า ก็ควรจะถามข้าก่อนสักคำ
ซางสิงโจวไม่ได้ถาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้เคยให้เหตุผลกับสวีโหย่วหรงยามอยู่ที่สุสานเทียนซูแล้ว
——เมืองลั่วหยางไม่เคยได้รับสานส์ใดๆ จากวังหลวง
หลายวันมากแล้ว มันเพียงพอที่จะเขียนสาสน์ที่มีความจริงใจหนึ่งฉบับได้ แต่อวี๋เหรินกลับไม่มีคำอธิบายใดใด
อวี๋เหรินกล่าวพลางขยับมือชี้แจ้ง “หากจักรพรรดิไท่จงยังมีชีวิตอยู่ เขาจะทำอย่างไรเล่า จะเป็นฝ่ายเขียนสาสน์ด้วยตนเองหรือไม่”
จากวัดเก่าเมืองซีหนิงยังมีอายุน้อย ซางสิงโจวก็เริ่มสอนอวี๋เหรินว่าจะเป็นจักรพรรดิที่เก่งกาจได้อย่างไร
จากมุมมองของซางสิงโจวงและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วทั้งดินแดน จักรพรรดิที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์แน่นอนว่าต้องเป็นจักรพรรดิไท่จง
เขาหวังว่าอวี๋เหรินจะกลายเป็นจักรพรรดิไท่จงคนที่สอง อย่างนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเรียนรู้และเลียนแบบทุกๆ เรื่อง ทุกๆ วันเยี่ยงนี้เอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเลือกที่ซับซ้อนและยากลำบาก เป็นเรื่องสามัญที่อวี๋เหรินจะจินตนาการว่าจักรพรรดิไท่จงอาจเป็นผู้กระทำ
คำตอบชัดเจนมาก
จักรพรรดิไท่จงแน่นอนว่าไม่มีทางเขียนสาสน์ล่อนไปลั่วหยางแน่นอน
“เจ้าทำได้ไม่เลว”
ซางสิงโจวมองไปที่อวี๋เหรินก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าชื่นชม
“แต่ที่เจ้าทำยังไม่พอ จักรพรรดิไท่จงในยามนี้ควรจะโทษตัวเองไปยิ่งกว่านี้ หรือแม้กระทั่งอาจจะเขียนราชโองการทบทวนพระองค์เองออกมา”
พายุหิมะหยุดนานแล้ว ฤดูใบไม้ผลิกลับคืนสู่พื้นแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง หิมะในลานพระราชวังละลายจนชื้นไปหมด มองออกไปไกลๆ สามารถมองเห็นสีเขียวสดใหม่เหล่านั้นตามรอยแยกของศิลา
อวี๋เหรินมองไปยังร่างนั้นที่ค่อยๆ หายไปในความมืด คิดถึงบทสนทนาก่อนหน้า ในใจคิดว่าตนนั้นเทียบอาจารย์ไม่ได้เลย
สิ่งที่เขาเทียบอาจารย์ไม่ได้นั้นมีมากมายอย่างเช่นความเสแสร้งจอมปลอม
อาทิเช่น เขาไม่มีทางแก้ไข้ปัญหาระหว่างซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงได้
อีกอย่าง อาจารย์ชราแล้วจริงๆ
อวี๋เหรินนึกกผมสีดอกเลาตรงขมับของซางสิงโจวที่ได้เห็นก่อนหน้า ก็รู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
หลินกงกงที่เห็นสีหน้าด้านข้างของฝ่าบาท ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าใจ
ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิองค์ก่อนจวบจนตอนนี้ เขาได้ชราลงไปมาก เจอเรื่องมามากมาย กลับยิ่งไม่เข้าใจความคิดของคนหนุ่มเลย
ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หนุ่มนั้นหรือว่าใต้เท้าสังฆราชหนุ่ม
พวกเขาล้วนเคารพเหล่าผู้อาวุโสอย่างหวังจือเช่อและซางสิงโจ
แต่พวกเขากลับต้องเอาชนะอีกฝ่าย ล้มอีกฝ่ายให้สิ้นซากให้ได้
นี่มันเป็นเพราะเหตุใดกัน
……
……
วันนี้ เทือกเขามั่วซานถล่มแล้ว
เทือกเขาจีซานเลยกลายเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในชานเมืองหลวง
จงซานอ๋องมองไปยังอาทิตย์อัสดงที่อยู่ไกลออกไป เขาหรี่ตาลง มันจ้ายิ่งนัก
ในสำนักฝึกหลวงเพิ่งจะได้รับผลลัพธ์ เขาก็จากตรอกไป่ฮวาไปแล้ว
เขาไม่อยากคุกเข่าให้เฉินฉางเซิง เขายิ่งไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงต่อ
ซางสิงโจวยอมรับในความพ่ายแพ้แล้ว วันคืนของเหล่าอ๋องตระกูลเฉินคิดว่าต้องอยู่อย่างยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีกแน่
เขาตัดสินใจจะกลับไปยังเขตของตนเอง เวลานี้กำลังรอราชโองการอยู่
หากเขาจากไปโดยไม่มีราชโองการ อาจจะต้องโทษกบฏได้ทุกเมื่อ เขาไม่อยากเอ่ยเหตุผลเอง
เซี่ยงอ๋องเดินขึ้นไปบนยอดเขา มองไปทางอาทิตย์อัสดงสีแดงและอบอุ่นนั่นและถอนหายใจ
เขากำลังรอคอยราชโองการอยู่ แต่เนื้อหาของพระราชโองการที่รอคอยนั้นไม่เหมือนกับของจงซานอ๋อง
จงซานอ๋องเอ่ย “เจ้าไม่คิดว่าอาจารย์จะแพ้ใช่หรือไม่”
“ข้ารอคอยคำสั่งจากอาจารย์มาสิบกว่าปี ไม่คิดเลยจริงๆ”
เซี่ยงอ๋องจับเข็มขัดรอบเอวด้วยสองมือ ก่อนเอ่ยอย่างหอบๆ ว่า “แต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สุดท้ายก็เป็นเรื่องของพวกเขาอาจารย์และศิษย์ทั้งสามเท่านั้น”
ในคำพูดนี้ฟังดูแล้วมีกลิ่นอายลึกลับอยู่
จงซานอ๋องยิ้มเยาะพลางเอ่ย “วัดนั้นในซีหนิงปกครองใต้หล้า ประโยคนี้ของไป๋ตี้กล่าวไว้ไม่ผิดเลย”
เซี่ยงอ๋องเอ่ยอย่างหดหู่ “ใต้หล้านี้…ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่านี่มันใต้หล้าของผู้ใดกันแน่”
จงซานอ๋องมองไปที่เขาและเอ่ย “ท่านยังคงไม่ยอมรับว่าคนผู้นั้นเป็นน้องชายแท้ๆ ของพวกเราหรือ”
เซี่ยงอ๋องเงียบไม่พูดจา นิ้วมือกลับโอบเข้าไปในชั้นไขมันรอบเอว
จงซานอ๋องขมวดคิ้วกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่าเขาเกิดจากหญิงคนนั้นหรือ”
เซี่ยงอ๋องโอด “นั่นคือพระมารดา”
จงซานอ๋องเอ่ยด้วยโทสะ “จอมปลอมสิ้นดี น่าเบื่อเสียจริง ด้านนี้เจ้าช่างเหมือนอาจารย์นัก!”
เซี่ยงอ๋องหัวเราะขมขื่น “น่าเสียดายที่ตอนแรกพระบิดาไม่คิดอย่างนี้”
จงซานอ๋องหัวเราะเยาะพลางเอ่ย “นั่นเป็นเพราะพระบิดาไม่ชอบพระอัยกา”
ในเวลานี้เอง พระราชโองการในที่สุดก็มาถึงแล้ว
จงซานอ๋องได้รับพระราชโองการที่เขาต้องการแล้ว
เห็นได้ชัดมากว่า ฮ่องเต้ก็ไม่อยากรั้งเขาไว้ในเมืองหลวงเพื่อผรุสวาทมารดาตนทุกวี่วัน
เซี่ยงอ๋องกลับไม่ได้รับพระราชโองการที่ตนอยากได้。
ฮ่องเต้รั้งเฉินหลิวอ๋องให้อยู่ในเมืองหลวง แน่นอนว่าต้องเพื่อใช้ในการอื่น
จงซานอ๋องตบไหล่ของเซี่ยงอ๋อง ก่อนจากไป
เซี่ยงอ๋องยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็น เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงจะเดินลงเขาไป
เมื่อกลับไปถึงจุดพักม้าผู้คนต่างก็ได้รับสาสน์
พระสนมร้องไห้เสียจนแทบจะสลบไป บุตรชายและบุตรสาวคนอื่น ๆ ก็น้ำตานองหน้า เพียงแต่บางทีก็ปรากฏแวบหนึ่งของความดีใจอยู่บ้าง
“ในตอนนั้นข้าตั้งชื่อให้เขาได้ไม่ดีพอ ชื่อ หลิว นั้นไม่เป็นมงคลนัก”
เซี่ยงอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ มองไปยังเหล่าโอรสธิดาที่อยู่ในห้องและกล่าวว่า “ทั้งชีวิตของเขานี่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในเมืองหลวงเป็นหลัก อุทิศตนเพื่อครอบครัวพวกเรามาก ไม่ขอร้องให้พวกเจ้าขอบคุณอะไร แต่ขอร้องเถอะ ยามที่ต้องเศร้าเสียใจช่วยทำให้มันสมจริงหน่อยได้หรือไม่”
เมื่อได้ฟังคำนี้ คนพวกนั้นชายตาแลกัน ไม่รู้ว่าอึดอัดใจหรือว่ากังวล มีคนร้องไห้จริงๆ หลังจากนั้นก็โหยหวนไม่หยุด
เซี่ยงอ๋องดูเบื่อหน่ายเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในลานหลังจวนของจุดพักม้าพร้อมกับประคองเข็มขัดไปด้วย เดินขึ้นไปยังราชรถภายใต้การประคองของสาวใช้
บนราชรถปูพรมเอาไว้อย่างหนา มีกลิ่นหอมของผลไม้ต่างๆ ทั้งยังมีสาวงามหยาดเยิ้ม
ชายอ้วนคนหนึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยอาหารเลิศรสและหญิงงาม
หากมองอย่างละเอียด ก็จะพบว่าชายผู้นั้นหน้าตาเหมือนกับเซี่ยงอ๋องและอาจพูดได้เลยว่าเหมือนราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียว
เซี่ยงอ๋อง เดินไปข้างหน้าผู้ชายคนนั้น ถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “ข้าบอกให้ท่านแสดงให้เหมือนหน่อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มันดูมีพลังหน่อยเถอะ”
ชายผู้นั้นเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านอ๋อง หากข้าฝึกจนได้เท่าระดับท่าน ข้ายังจะต้องมาเป็นตัวแทนอีกทำไมเล่า”
เซี่ยงอ๋องเอ่ยอย่างจนใจ “อย่างนั้นแล้วพลังเล่า”
ชายผู้นั้นเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านนี่ก็ช่างถ่อมตัวเสียน่ารักจริงนะ”
……
……
ทางเหนือของกองทัพเมืองชงโจวและทางตะวันตกของเทือกเขาลั่วซิง มีทุ่งหญ้า
บนทุ่งหญ้าแห่งนี้คือถิ่นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ซิ่งหลิง เนื่องจากสงครามระหว่างเผ่ามารกับเผ่าปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์ร้างราไปนาน จึงกลายเป็นสรวงสวรรค์ของปีศาจร้ายเหล่านี้
ปีศาจหายากมากมายในแผ่นดินนี้ล้วนพบเห็นได้ในดินแดนแห่งนี้ แน่นอนว่านี่ต้องหมายความถึงความอันตรายและความวุ่นวาย
จวบจนหลายปีก่อน สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็นำมานูลดินมาที่นี่
ในไม่ช้า เขาก็กลายเป็นราชาแห่งทุ่งหญ้านี้
จากนั้น ก็มีคนมาอีก