ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 79 ที่แท้ก็เป็นเจ้า
สัตว์ประหลาดนั้นคือฉูซู
ในเมืองจักรพรรดินั้น เขาถูกสวีโหย่วหรงไล่ล่าเสียจนแพ้หมดรูป เดิมทีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แต่นั่นเพราะส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ความเป็นจริงแล้วในโลกที่อยู่ภายใต้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น เขามีความสามารถในการคุกคามผู้แข็งแกร่งใดใดก็ตามได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือว่าชิวซานจวิน
บนทุ่งหญ้ารกร้างไร้ผู้คน ผไม่มีสัตว์ประหลาดเก่าแก่และแข็งแกร่งมากนัก ต่อให้มีกลุ่มสัตว์ประหลาดที่ยากจะรับมือ ภายใต้ความช่วยเหลือของมานูลดินก็ถูกเขาปราบได้อย่างง่ายๆ ผ่านไปไม่กี่ปีก็กลายเป็นผู้ปกครองแห่งดินแดนนี้อย่างรวดเร็ว
อาจเพราะอิทธิพลแห่งจิตวิญญาณของหัวหน้าพรรครุ่นก่อนที่นับวันยิ่งอ่อนแอ และอาจเพราะเพลิดเพลินกับการเป็นผู้ปกครองมาก ฉูซูจึงไม่เคยจากทุ่งหญ้านี้ ไม่คิดจะแก้แค้นลูกหลานของซูหลีอีกต่อไป
บางครั้งยามตกดึก เขาจะนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของทุ่งหญ้าและเฝ้ามองไปทางตอนใต้อย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน
มิใช่เพราะคะนึงถึง เขาไม่มีทางคิดถึงวันคืนที่มืดครึ้มและหนาวเย็นของก้นเหวแห่งพรรคฉางเซิง เพียงแต่เขากำลังต่อสู้กับความปรารถนาโดยสัญชาตญาณ
เมื่อยามที่เขาถูกสร้างออกมา จิตวิญญาณของเขาถูกปลูกฝังด้วยความปรารถนาที่จะสังหารและความเกลียดชังอย่างสุดซึ้งต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องกับชื่อซูหลี หากเขาไม่อาจระบายความปรารถนาและความเกลียดชังนี้ผ่านการกระทำอันเหี้ยมโหด ก็อาจจะถูกวิชาน้ำพุเหลืองแว้งกัดได้
แต่ทุ่งหญ้านี้มีคนจากเผ่าพันธุ์ซิ่งหลิงล้มตายในปีนั้นมากนัก ผืนดินใต้ทุ่งหญ้าถูกโลหิตอาบชุ่ม น้อยมากที่จะมีคนดำเนินผ่าน
แทบจะไม่มีผู้ใสังหารเขาได้ ทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะอดทน เรียนรู้ที่จะต่อสู้กับความปรารถนาที่อยู่ในสัญชาตญาณ
กลางดึกคืนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนจุดสูงสุดของทุ่งหญ้า จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เงยหน้าไปมองฟ้า
ท่ามกลางดวงดาวเต็มท้องฟ้านั้นมีดวงดาวดวงหนึ่งส่องสว่างมาก อย่างน้อยก็สว่างกว่าในเวลาปกติหลายร้อยเท่า จนสะดุดตามาก
หน้าของฉูซูซีดไปเล้กน้อย แม้แต่ขนอ่อนสีดำเหล่านั้นก็ไม่มีทางปกปิดได้
ไม่รู้ว่าเพราะถูกแสงดาวนั้นสาดส่องหรือว่าเหตุผลอื่น
“จะเป็นไปได้ได้อย่างไร”
มองไปที่ดวงดาวที่สะดุดตานั้น ใจของฉูซูปั่นป่วนเป้นอย่างมาก
“ไม่คิดว่าจะมีคนได้เลื่อนขั้นสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ เหตุใดคนผู้นั้นมิใช่ข้า”
เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มือทั้งสองข้างเอาแต่ทุบพื้นไม่หยุด เศษหญ้าและดินโคลนปลิวว่อนทุกทิศทาง
“ไม่ได้ ไม่ได้แน่นอน”
เสียงแหบพร่าที่ไม่มีความไพเราะของฉูซูสะท้อนไปมาไม่หยุดยามค่ำคืน ทั่วทั้งดินแดนล้วนสัมผัสได้ถึงความไม่ยินดีและโกรธแค้นของเขา
ทันใดนั้น เขาก็หยุดตะโกน เอาแต่ขยี้จมูกไม่หยุด เอาแต่สูดดมไปทั่วท่ามกลางลมเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
ตามมาด้วยเสียงซ่าๆ มานูลดินตัวนั้นปรากฏตัวบนที่ทุ่งหญ้า ใช้ขาหน้าของตนไต่ไปบนพื้น ก่อนปีนป่ายมาอยู่บนร่างของฉูซู
ฉูซูเป็นชายหลังค่อม ร่างกายเตี้ยนัก สวมใส่ชุดคลุมสีดำที่ขาดรุ่งริ่ง ทั้งร่างเขาส่งกลิ่นเหม็นหืนอบอวล
ยิ่งท้องฟ้างดงามเพียงใด ฉูซูก็ยิ่งอัปลักษณ์เท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมือทั้งสองข้างโบกขึ้นอย่างหุนหันยามถูกดวงดาวสาดส่อง
มือของเขาเต็มไปด้วยเกล็ดและขนสีดำขึ้นเต็มไปทั่ว กรงเล็บที่แหลมคมเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ยังมีเลือดเนื้อที่ไม่รู้ที่มาที่ไม่รู้ว่าเน่าเปื่อยไปมากเท่าใดอีก
ผู้ใดก็ตามแม้แต่ปีศาจ ยามมองดูสัตว์ประหลาดตนนี้ก็ต้องรู้สึกสะอิดสะเอียนและหวาดกลัวออกมา
แต่มานูลดินกลับไม่ ดวงตาที่มองไปที่ฉูซูเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ไว้วางใจและยังความนับถือ
“มีของล้ำค่า”
ฉูซูมองไปยังบางแห่งในความมืด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ
ดาวดวงที่สว่างที่สุดดวงนั้น แสดงถึงมีผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว เหมือนกลับหวังผ้อในปีนั้นที่ทะลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ริมแม่น้ำลั่วสุ่ย สรรพสิ่งทั่วโลกล้วนเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง โดยเฉพาะกฎเกณฑ์และการมีอยู่ที่อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น
ฉูซูรับรู้ถึงลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่สั่นไหวได้อย่างชัดเจน
เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนเนื่องจากลมปราณศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในทุ่งหญ้าและอยู่ในที่ที่ไม่ไกลออกไป
ร่างเดิมของลมปราณศักดิ์สิทธิ์นั้นน่าจะอยู่ในสภาวะหลับลึกหรือสภาวะที่อ่อนแรงมาก
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตที่โลภมากแล้ว นี่เป็นความยั่วยุที่ไม่อาจต้านทานได้และยิ่งไปกว่านั้นวิถีที่ฉูซูบำเพ็ญก็คือวิชาน้ำพุเหลือง
เขาลงสู่ใต้ดินอย่างไม่ลังเล มุ่งไปสู่ที่ความมืดมิดแห่งนั้น
มานูลดินมองไปรอบทุ่งหญ้า ก่อนส่งเสียงครางเตือน หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นปัสสาวะก่อนล่องหนจากไป
……
……
ไกลออกไปสิบกว่าลี้มีเทือกเขาศิลา ภายนอกดูเหมือนธรรมดา แต่ศิลาด้านในกลับเป็นสีแดง
ในจุดลึกสุดของถ้ำบางแห่ง มีภาพวาดฝาผนังแบบโบราณและเรียบง่ายถูกเขียนจากยางไม้บนผนัง แสงสลัวมืดมน มองเห็นแท่นหินได้เรือนรางนัก
บนแท่นหินนั้นมีรังนกหนึ่งรังที่ทำจากกิ่งไม้และหญ้าอ่อน ในนั้นมีนกน้อยสีเทานอนอยู่
โพรงในเขานี้อยู่ลึกหลายลี้ โครงสร้างซับซ้อน ตรงกลางนั้นมีทางแยกไม่รู้เท่าไร ต่อให้สัตว์ปีศาจที่เก่งเพียงใดก็เกรงว่าไม่อาจไปถึงปลายถ้ำได้
หากว่ากันตามหลักการแล้ว นกสีเทาตัวนั้นน่าจะปลอดภัย
ทว่า โครงสร้างซับซ้อนเพียงใดก็มิอาจต้านทานสิ่งที่สามารถหายตัวได้เหล่านั้น
มองไปยังนกสีเทาที่ไม่สะดุดตาเลยตัวนั้น ร่างกายของฉูซูสั่นเทา ชุดสีดำที่ขาดรุ่งริ่งก็ยิ่งส่งกลิ่นเน่าหืนยิ่งขึ้นไปอีก
เขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เกรงกลัวต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ไม่ได้สิ้นหวังว่าตนหาเป้าหมายพลาด ทว่าตื่นเต้น
เค้ารู้สึกว่าอุปสรรคในชาตินี้ของตนได้มาถึงจุดจบแล้ว
คำว่าความโชคดีในที่สุดก็ถึงคราวของเขาแล้ว
มานูลดินตามร่องรอยที่หลงเหลือของฉูซูโผล่มาจากใต้ดิน สิ่งที่มองเห็นก็คือฉากนี้
เมื่อสายตาของเขาทอดตกลงบนนกน้อยสีเทาตัวนั้นก็ชะงักจนตัวเกร็ง
กล่าวได้ว่าแม้ว่าตนที่ความรู้มากและชั่วร้าอย่างหาใดเปรียบได้อย่างมันก็ยังตกตะลึง
มานูลดินรู้จักนกน้อยสีเทาตัวนั้น
อย่าว่าแต่เพียงเปลี่ยนรูปร่าง ต่อให้กลายเป็นธุลี มันก็ไม่อาจลืมได้
นกตัวนั้นก็คือครุฑปีกทอง
ณ ทุ่งหญ้าที่สุริยาไม่หลับใหล สัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนนับถือมันเป็นผู้นำ
ก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์มังกรและหงส์ฟ้า ครุฑปีกทองคือสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์โดยแท้
ฉูซู รู้ดี หากรับประทานครุฑปีกทองเข้าไปจะส่งผลดีต่อตนอย่างไร
เห็นได้ชัดว่าครุฑปีกทองกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาของการตื่นอันยาวนานและไร้ความสามารถในการปกป้องตนเอง
ฉูซู จะพลาดโอกาสครั้งนี้ไม่ได้
วานรดินเองก็เห็นแจ้งแก่ใจนัก ดังนั้นต่อให้เจ้าเล่ห์และร้ายกาจเพียงใดก็คิดวิธีมาหยุดยั้งเขาไม่ได้
และในเวลานี้เองนกน้อยสีเทาก็ลืมตาของมันขึ้น
มองแวบหนึ่งก็ทราบได้ทันทีว่าสัตว์ประหลาดที่ส่งกลิ่นเน่าหืนตัวนี้ประสงค์จะทำสิ่งใด
ในสายตาวิหคน้อยไม่ได้ปรากฏความวิตกหรือขอร้องเลย มันเต็มไปด้วยความไม่แยแส
พลังความน่ากลัวที่อยากจะพรรณนาได้ปรากฏขึ้นในถ้ำ
“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ”
เสียงของฉูซูแหบพร่าน่ากลัว
ในสายตาของวิหคน้อยนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
แต่ก็เหมือนที่ฉูซูคิดนั่นแหละ เขากำลังตกอยู่ในห้วงเวลาสำคัญที่จิตวิญญาณกำลังตื่นขึ้น จึงไม่สามารถขยับได้
เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความน้อยเนื้อต่ำใจดังขึ้นในถ้ำ
“ท่านก็เหมือนกับข้านั่นแหละ ล้วนเป็นสิ่งมีพิษที่เย่อหยิ่งและเย็นชา แต่ไหนแต่ไรล้วนไม่ชอบโลกใบนี้ พวกเราไม่มีนายและไม่มีมิตรสหาย แน่นอนว่าต้องไม่มีผู้ใดยินดีช่วยพวกเรา ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เหตุใดพวกเราไม่รวมเป็นหนึ่ง แล้วค่อยมาประลองฝีมือกับโลกใบนี้ดูสักทีกันเล่า”
ฉูซูมองไปยังวิหคน้อยก่อนเอ่ย
วิหคน้อยกรอกตาใส่เขาไปที มันรู้สึกเหมือนกำลังมองไอ้โง่คนหนึ่งอยู่
ในท้องฟ้ายามค่ำคืนจู่ๆ ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้น
แสงไฟทอดตรงเข้าใสยังหินศิลา
แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ลาวาทะลักออกมา มันคือความร้อนแรงที่ยากจะบรรยายได้
เทือกเขาศิลาถล่มลง ฝุ่นควันตลบอลอวล
ฉูซู รับรู้ได้ถึงลมปราณที่คุ้นเคย จึงนึกถึงความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน สีหน้าก็พลันซีดเผือด
เงาร่างบอบบางเดินออกมาจากท่ามกลางฝุ่นควัน ปีกนกค่อยๆ เก็บตัวก่อนจะหายไป
วิหคน้อยมองไปยังร่างนั้นก่อนร้องออกมาราวกับน้อยใจ ทั้งยังออดอ้อนเหมือนเด็กก็ไม่ปาน
สวีโหย่วหรงยื่นมือไปลูบมัน
วิหคน้อยราวกับสบายตัวมาก พึมพำในลำคอเสียสองที ก่อนหลับตาลงเพื่อหลับลึกต่อไป
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า…..”
เมื่อเห็นอย่างนี้ ฉูซูเอ่ยอย่างร้าวราน “สิ่งของล้ำเลิศทั่วทั้งปฐพีล้วนเป็นของเจ้านี่มันยุติธรรมแล้วหรือ”
สวีโหย่วหรงครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ย “ก็ดูไม่ยุติธรรมจริงๆ”
ฉูซูรับรู้ได้ถึงลมปราณของนาง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
เสียงหัวเราะของเขาอัปลักษณ์ยิ่งนัก รอยยิ้มยิ่งดูไม่ได้
“ที่แท้ก็ไม่ใช่เจ้า”