ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 80 ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจอมปลอม
ที่แท้ก็เป็นเจ้า ประโยคนี้เข้าใจง่ายนัก ประโยคต่อมาก็ที่ว่า ที่แท้ก็เป็นเจ้า กลับดูเหมือนแปลกประหลาด เมื่อเชื่อมโยงบริบทก่อนหน้าก็ฟังไม่เข้าใจ
หากเป็นคนอื่นคงงงงวย รู้สึกว่าฉูซูเป็นคนวิกลจริต สวีโหย่วหรงกลับเข้าใจเจตนาของเขา ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอะไร
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉูซูค่อยๆ หายไป มองนางก่อนเอ่ยอย่างตั้งใจว่า “พรหมลิขิตระหว่างเราช่างไม่ตื้นเลย”
กลิ่นเหม็นเน่าอบอวลไปทั่วทั้งเทือกเขาศิลาที่ถล่มลงมา เหมือนกับเสียงที่แหบพร่าของเขา ชวนอาเจียนเสียเหลือเกิน
ฉูซูเป็นสัตว์ประหลาดของพรรคฉางเซิง สวีโหย่วหรงคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของสถานศึกษาหนานซี
ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคฉางเซิงและสถานศึกษาหนานซีนั้นลึกซึ้งมาก ถ้าจะเล่าเกี่ยวกับโชคชะตาและวิถีเต๋า นั่นถือเป็นเรื่องที่ยาวมากจริงๆ
สวีโหย่วหรงไม่มีอารมณ์มาฟังเรื่องเล่า ฉูซูเองก็มีเวลาไม่มากถึงเพียงนั้น
พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ศิลาสีแดงกระจัดกระจายและกระเด้งกระดอนบนพื้นผิวของทุ่งหญ้าไม่หยุด
เกิดจุดสีแดงขึ้นบริเวณโดยรอบของทุ่งหญ้า มองดูแล้วเหมือนจุดโลหิตที่สาดกระเด็นกระจายไป
จุดสีแดงนั้นคือดวงตาของอสูรปีศาจ
อสูรปีศาจกว่าหลายร้อยตัวอาศัยพรางตัวในความมืด โอบล้อมเทือกเขาศิลาเอาไว้
“ข้าสู้ท่านไม่ได้”
ฉูซูมองไปยังสวีโหย่วหรงก่อนเอ่ยเสียงแหลม “แต่ข้าตอนนี้มีบริวารมากมาย ท่านกลัวหรือไม่”
ก็เหมือนกับที่มหาวิหคปีกทองเอ่ยไว้ก่อนหน้า เขาไม่มีศิษย์พี่ ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อนร่วมเรียน ไม่มีสหาย ไม่มีแม้แต่เจ้านายด้วยซ้ำ
เขาเป็นสายพันธุ์ที่โดดเดี่ยว และเป็นสายพันธุ์ที่มีพิษ
เมื่อเขามายังทุ่งหญ้าผืนนี้ ก็มีบริวารที่จงรักภักดีมากมาย เขารู้สึกไม่คุ้นชินกับความรู้สึกนี้เลย แต่ก็ชื่นชอบมันมาก
รู้สึกเหมือนกับตอนนั้นเป็นจักรพรรดิของดินแดนทุ่งหญ้าแห่งนี้ เพียงแค่โบกมือก็มีผู้ติดตามนับพันกองทัพหมื่นพร้อมติดตามแล้ว
เขาคิดอยากโอ้อวดสิ่งนี้กับสวีโหย่วหรงสักหน่อย
วานรดินหมอบอยู่ข้างกายเขา ก้มหน้าอยู่ ร่างกายสั่นเทา ดูเหมือนหวาดกลัวมาก
ฉูซูลำพองใจยิ่งนัก
สวีโหย่วหรงมองเขาเงียบๆ มีความสงสารอยู่บ้าง
ฉูซูโกรธมาก
แต่เขายังมิทันได้ออกคำสั่งให้เหล่าอสูรปีศาจโจมตีเลย
เสียงนกกระเรียนก็ดังขึ้น ณ รัตติกาลที่ไกลออกไป
เหล่าอสูรปีศาจเงยหน้ามอง หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ราวกับจะแข็งทื่อเป็นหุ่นปั้น
มหาวิหคปีกทองลืมตาขึ้นมองรัตติกาลปราดหนึ่ง รับรู้ได้ถึงลมปราณที่คุ้นเคยสายนั้น แล้วหันหน้าหนีด้วยสายตาดูแคลน
นางยังมิได้แต่งออกไปเลย ท่านก็ถูกอีกฝ่ายขี่อยู่ทุกวัน หน้าไม่อายหรือไม่เล่า
……
……
ลมกลางคืนโชยไหว กระเรียนขาวถลาลงระหว่างเทือกเขา
อาภรณ์นักพรตสีเขียวอ่อน ผมสีดำที่มัดจนแน่น มวยผมครึ่งศีรษะแบบง่ายๆ
ไม่ต่างอะไรกับเมื่อหลายปีก่อน การสวมใส่ของเฉินฉางเซิงก็ยังเรียบง่ายอย่างนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็คงคิดเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเขาเป็นใต้เท้าสังฆราช
หลังจากที่เฉินฉางเซิงปรากฏตัว ทั่วทั้งดินแดนก็เงียบลงทันที
เหล่าอสูรปีศาจหวาดกลัวและระมัดระวังจนถอยหลังไป แม้แต่เสียงเสียดสีของกิ่งไม้ยังไม่มีเลย
อาจะเป็นเพราะอาภรณ์นักพรตของเขามีลมปราณของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง และก็อาจะเป็นเพราะว่ามีความน่าเกรงขามของอสูรปีศาจโบราณชนิดหนึ่งอยู่
สาเหตุหลักที่เงียบ เพราะว่าฉูซูไม่เอ่ยคำใด
เขาจดจ้องไปยังใบหน้าของเฉินฉางเซิง มองอยู่นาน จู่ๆ ก็ตะโกนออกมาว่า “ก็ไม่ใช่ท่านเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ใช่แล้ว ไม่ใช่ข้า”
เมื่อได้รับคำยืนยัน อารมณ์ของฉูซูก็ดีขึ้น จนหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างยากจะควบคุม
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ”
“ไม่ใช่ท่านจริงๆ สินะ”
“ข้าว่าแล้วว่าจะเป็นท่านไปได้อย่างไร”
เขาชี้ไปยังหน้าของเฉินฉางเซิง เอาแต่หัวเราะและตะโกนไม่หยุด จนหลั่งน้ำตาออกมา
ที่ตื่นเต้นถึงเพียงนี้ กระทั่งเสียอาการ ก็เป็นเพราะอารมณ์ของฉูซูในเวลานี้ซับซ้อนนัก
เขาสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในหลายปีที่ผ่านมานี้ของเฉินฉางเซิง
…ละอองดาวในเคล็ดลับทั้งหนึ่งร้อยแปดอย่างก็เหมือนไม่มีอยู่จริง เจตจำนงกระบี่ภายใต้อาภรณ์นักพรตก็เหมือนกับไม่มีจริง
นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร
นี่หมายหมายความว่าขาดอีกเพียงครึ่งก้าวก็จะได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
เหมือนกับเฉินฉางเซิงที่ยังหนุ่มก็อยู่ใกล้เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มากเพียงนี้แล้ว ในประวัติศาสตร์เคยมีหรือ
เฉินเสวียนป้า?
ใช่แล้ว คนผู้นั้นมิใช่เฉินฉางเซิง
แต่เฉินฉางเซิงในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาสามารถเอาชนะได้อีกต่อไปแล้ว
ฉูซูตัดสินใจหนี
เขาหัวเราะเสียงดังเกินจริง ก็เพื่อปกปิดเจตนาที่แท้จริงของตน
เมื่อเสียงหัวเราะหยุดลงอย่างกะทันหัน ปีกเนื้อสีเทาก็แหวกลมถลาไป กลิ่นเหม็นเน่าโชยใหญ่ในลมรัตติกาล
ฉูซูล่องหนหายไปในพื้นดิน
สวีโหย่วหรงปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้า จึงไม่อาจติดตามเขาไปได้ ต่อให้แผดเผาเพลิงหงส์ก็ไม่อาจตามทัน
สถานการณ์จริงก็ตามนี้
ฉูซูหายไปจากจุดเดิม
สวีโหย่วหรงไม่ได้ติดตามไป
ภายใต้ความมืดของรัตติกาล เทือกเขาอันวุ่นวายและทุ่งหญ้ามองดูมืดไปหมด
มีเพียงดวงจิตจางๆ ดวงหนึ่งที่ลอยล่องอยู่ในสายลม
ดวงจิตนั้นฉูซูจงใจหลงเหลือไว้ให้วานรดินตัวนั้น
หลายปีมานี้เขากับวานรดินใช้ชีวิตด้วยกัน เขาเคยชินแล้วกับการมีอยู่ของอีกฝ่าย มองมันเหมือนสุนัขจึงคอยเลี้ยงดู ต่อให้ในเวลาคับขัน ก็ไม่อยากละทิ้งไป
ทันใดนั้น จู่ๆ เนินดินสูงหลายจั้งก็โผล่ขึ้นมาบนทุ่งหญ้าห่างออกไปหลายลี้
แสงดาวตกลงมา ทุ่งหญ้าสีเขียวถูกฉีกทึ้ง ดินโคลนสีดำก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุด
พรวด
เงาร่างหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากเนินดินนั้น มันพุ่งทะลุไปบนท้องฟ้าสูงหลายสิบจั้ง
หลังจากนั้น คนผู้นั้นก็ตกลงมาบนพื้นดินอย่างรุนแรง ส่งเสียงร้องดัง “อึ้ก”
ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นฉูซู
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉูซูเองก็งงมาก
เขาดูหวาดกลัวจนถึงที่สุดก่อนก้มหน้ามองไป เห็นเพียงเท้าซ้ายของตนเหมือนถูกอะไรบางอย่างกัดเข้าไปถึงครึ่งฝ่าเท้า
ต่อมา เขาก็รู้สึกเหมือนหนาวสั่นและเจ็บปวดจากทางด้านหลัง ดวงจิตขยับเล็กน้อยก่อนพบว่านั่นคือกล้ามเนื้อปีกตรงบาดแผลเก่าที่สวีโหย่วหรงทำร้ายไว้นั้นปริแตกออกอีกแล้ว
หวาดกลัวจนทำให้ความเจ็บปวดสาหัสขึ้นไปอีก ฉูซูรู้เพียงว่าความเจ็บจากทั้งสองที่นั้นทำให้ขนหัวลุกไปหมด แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ผู้ใด! ผู้ใดกล้าลอบทำร้ายข้า!”
ทุ่งหญ้าภายใต้แสงแห่งรัตติกาลเกิดเสียง ซ่าๆ ดังขึ้น
มิใช่เสียงลมพัดกิ่งไม้ และก็ไม่ใช่อสรพิษวารีที่ดำดิ่งลงใต้ดิน นั่นคือการเสียดสีของขนผิวกับกิ่งไม้
วานรดินตัวนั้นใช้แขนไต่ลงไปด้านล่างเนินดิน หันศีรษะพ่นน้ำลายไม่หยุด
ถุย! ถุย! ถุย! ถุย!
เสมหะที่วานรดินสำรอกออกมานั่นมีโลหิตและเนื้อเน่า
“เป็นเจ้า?”
เมื่อเห็นภาพนี้ ฉูซูโกรธมาก วานรดินที่ร่างกายเล็กแกร็นเหมือนกับกลายร่างเป็นภูตมารก็มิปาน
เขาคิดไม่ตกว่าหลายปีมานี้ที่ต่างก็พึ่งพาอาศัยกันมา เหตุใดมันจึงทรยศตน ต่อให้เวลาปกติตนจะอารมณ์ร้ายไปหน่อย ก็ไม่ถึงกับต้องสังหารตนเลยนี่
วานรดินหันกลับไป มองฉูซู
ฉูซูรู้สึกว่ามองเห็นความขบขันอันน่ากลัวในแววตาของอสูรปีศาจนี้
ตอนนี้เอง เสียงของเฉินฉางเซิงดังขึ้น “พอได้แล้ว”
วานรดินยืนขึ้น วิ่งกลับมาอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิงอย่างดีอกดีใจ หลังจากนั้นก็หันไปเหลือบมองฉูซูปราดหนึ่ง
ฉูซูจึงได้รู้ว่าที่แท้วานรดินนี้มิได้พิกลพิการ มันยังสามารถยืนตรงเดินได้ด้วยซ้ำ!
เขารู้ว่าที่ตนเลี้ยงนั้นเป็นสุนัขปลอม แต่วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้ทุกเรื่องต่างหากที่เป็นเรื่องจอมปลอม
ความรู้สึกที่ถูกหลอกลวงถูกล้อเล่นนั้นเจ็บปวดกว่าความเจ็บปวดที่มาจากบาดแผลเสียอีก
“ทั้งหมดนี่ฝีมือท่านหรือ”
เขามองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดว่า “ข้าจะสังหารเจ้าเสีย”
ลมโหมกระหน่ำ กลิ่นเน่าเหม็นพุ่งไปในท้องฟ้า กิ่งไม้ถูกย้อมเป็นสีดำ ศิลาบนเทือกเขาสีแดงไหลบ่าตกลงมา
อาภรณ์สีดำอันหลุดลุ่ยนั้นถูกลมพัดปลิวไหว ดังพึ่บพั่บ
เจตจำนงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น กรีดบาดแสงของดวงดาว
โลหิตเหลวฉีดพุ่งออกมาหลายสาย