ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 81 หากเจ้าเป็นฉูซู
คืนนี้ดวงดาวจรัสแสงเรืองรอง แต่หลังจากถูกเจตจำนงกระบี่กรีดแทง จนกระจายไปรอบทิศทาง กลับทำให้ทุ่งหญ้าสว่างยิ่งกว่าเดิม ราวกับนี่คือกลางวัน แสงสาดส่องเสียจนสามารถมองทุกอย่างได้ชัดนัก
โลหิตเหล่านั้นเป็นสีดำ เมื่อหยดลงบนทุ่งหญ้าก็ส่งเสียง ฟู่ๆ เกิดหมอกที่มีกลิ่นแสบจมูก หญ้าอ่อนไหม้ดำทันทีด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เสียงตะโกนรุนแรงและพายุบ้าคลั่งไม่หยุดลง ลมปราณที่น่าสะพรึงก่อกวนฟ้าดิน
โคลนมากมายเหมือนน้ำตาที่ย้อนไหลขึ้นสู่ท้องฟ้า ต่อมาก็มีเจตจำนงกระบี่ที่น่าประหวั่นกดดันลงมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดก็สงบลง
ฉูซูก้มหน้าอยู่กับที่
เขาร่างเตี้ยเล็ก แถมยังหลังค่อม เมื่อตอนนี้ก้มหน้า ยิ่งดูเหมือนว่าต่ำต้อยน่าสงสารเข้าไปใหญ่
ชุดดำยิ่งดูย่ำแย่ บนนั้นเต็มไปด้วยคราบโลหิตและฝุ่นโคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลใหญ่สองแห่งที่อยู่ด้านหน้านั้น
นั่นเป็นบาดแผลที่เกิดจากกระบี่ มันแทงทะลุเกล็ดปลาและขนสีดำๆ ที่ปกคลุมอยู่ทั้งร่างกาย เฉือนซี่โครงเข้าไป โลหิตไหลทะลักออกมาไม่หยุด
ปีกนกสีเทาขยับสองสามทีอย่างไร้เรี่ยวแรง โลหิตสีดำบางส่วนกระเด็นออกมา บาดแผลเก่าปริทันที
ไหล่ที่หักอยู่ของเขามีกิ่งไม้ปักอยู่ แขนปลอมนั้นถูกปราณกระบี่สะบั้นจนแตกละเอียด
หากถือเอาจุดที่เขายืนเป็นศูนย์กลาง ในรัศมีรอบวงยี่สิบจั้งบนทุ่งหญ้านั้นเต็มไปด้วยโลหิต ในโลหิตนั้นล้วนคือพิษ
อสูรปีศาจล้วนได้รับผลกระทบ แต่เสียชีวิตไม่มากนัก อสูรปีศาจส่วนใหญ่ได้หลบหนีไปไกลแล้วภายใต้การนำของวานรดิน
แสงดาวส่องบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่มีกระบี่ปรากฏออกมา กระบี่เหล่านั้นได้กลับคืนสู่ฝักแล้ว
ฝักกระบี่คาดอยู่ที่สายรัดเอว
เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยคำใด เอาแต่มองเขา
“ล้วนไม่จริงเลย”
ฉูซูเงยหน้าขึ้นมาทั้งยังเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ไร้ศัตรูนั้นไม่จริง สืบทอดก็ไม่จริง ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาก็มิใช่เรื่องจริง แม้แต่การพึ่งพาอาศัยกันดำรงชีวิตก็มิใช่เรื่องจริง ข้าเพียงอยากมีชีวิตต่อไป แต่การมีอยู่ของข้าไม่มีความหมายใด ดังนั้นแม้แต่การมีชีวิตอยู่ก็ล้วนเป็นเรื่องไม่จริง ข้าเกิดมาเพียงเพื่อเป็นอาวุธในการสังหารคนก็เท่านั้นเอง”
ขณะเอ่ยวาจานี้ เขาไม่ได้มองไปยังวานรดิน และก็ไม่ได้มองไปทางตอนใต้
พรรคฉางเซิงอยู่ทางใต้
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็เกิดมาในฐานะเครื่องมือหนึ่งเช่นกัน แต่ข้าคิดว่า พวกเรามีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าก็ต้องมีความหมายแน่”
ว่ากันในบางมุมหนึ่งแล้ว ชาติกำเนิดของเขาและฉูซูคล้ายกันยิ่งนัก
ฉูซูส่ายหน้า ก่อนเอ่ย “นั่นเป็นเพราะท่านได้พบกับคนที่สามารถให้คุณค่าในการมีอยู่ต่างหากเล่า”
เฉินฉางเซิงคิดก่อนเอ่ย “ที่เจ้าว่าก็ไม่ผิด”
ฉูซูเอ่ย “ดังนั้นถึงได้บอกว่าท่านโชคดีกว่าข้า และมีความสุขกว่าข้ามาก”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ถูกต้อง แต่นี่ไม่อาจเป็นเหตุผลได้”
เหตุผลอะไรนะหรือ แน่นอนว่าต้องเป็นเหตุผลที่จะกระทำผิดได้
ประสบการณ์เลวร้ายของคนอาจเป็นขุมทรัพย์ทางสติปัญญา แต่ไม่อาจเป็นภาระที่จะโยนไปให้ใครก็ได้
ชีวิตที่ขื่นขมในวัยเด็กต่อให้จะน่าสงสารเพียงใด เมื่อเติบใหญ่แล้วกลายเป็นมารคลั่งสังหารผู้คนก็ยังคงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน
หลายปีมานี้ฉูซูไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงใดๆ ในทุ่งหญ้านี้ แต่โลหิตที่เปื้อนมือจากเหตุการณ์ในปีนั้นก็ไม่น้อยเลย
ฉูซูเข้าใจในเจตนาของเขา ทราบดีว่าเคราะห์กรรมนี้ตนไม่พ้น จึงหัวเราะเสียงต่ำออกมา
“หากท่านเป็นข้า อย่างนั้นตอนนี้ท่านจะกลายเป็นฉูซูหรือว่าเฉินฉางเซิงกัน”
นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้บนโลกใบนี้
ร่างกายของเขาฉีกออกเป็นสิบกว่าส่วน คล้ายกับท่อนไม้ที่แตกกระจายลงบนพื้นดิน
โลหิตสีดำสาดกระเด็นไปทั่วทุกทิศ ลมปราณเน่าเหม็นเย็นเยือกกระจายไปรอบทิศ
สวีโหย่วหรงยื่นมือออกไป สะบัดมือเกิดเป็นเปลวเพลิงสายหนึ่ง
เปลวเพลิงนั้นเปล่งประกายสีทองศักดิ์สิทธิ์ และยังคงลุกไหม้อยู่บนพื้นดิน และแผดเผาลงไปยังใต้พื้นพิภพตามรอยแตกแยก
โลหิตสีดำเมื่อพบเจอกับเปลวเพลิงก็กลายเป็นควันสีเขียว เกิดเสียง ฟู่ๆ ไม่หยุด
ลมหายใจที่เหม็นสาบและเย็นยะเยือกค่อยๆ ถูกทำให้บริสุทธิ์ ราวกับว่ามีวิญญาณกำลังครวญครางอยู่ในนั้น เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท น่ากลัวอย่างหาใดเปรียบ
เมื่อเห็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ในเปลวเพลิงสีทองน้อยลงเรื่อยๆ เฉินฉางเซิงเอ่ยขึ้น “บางทีสำหรับเขาแล้วนี่ถึงจะเป็นการหลุดพ้น”
“ก่อนตายก็ยังไม่ยอมแพ้ วิญญาณจะสงบได้อย่างไร”
สวีโหย่วหรงยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังเขา
ที่ลำคอของเขามีบาดแผลเล็กๆ ในบาดแผลมีเกล็ดสีดำที่เล็กมากๆ เสียบอยู่
หากดูจากระดับขั้นของเขาแล้ว ไหนจะมีสวีโหย่วหรงที่อยู่ข้างกาย หากจะสังหารสัตว์ประหลาดอย่างฉูซูให้สิ้น ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรสักอย่างอยู่ดี หรืออาจจะพูดได้เลยว่าต้องเสี่ยงอันตรายเลยก็ว่าได้
แสงสีครามอ่อนที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์โผล่ออกมาจากฝ่ามือของสวีโหย่วหรง และตกลงที่ลำคอของเฉินฉางเซิง
เกล็ดสีดำบางส่วนจะละลายทันทีเหมือนเกล็ดหิมะที่พบเจอแสงแดดแผดจ้า และในขณะเดียวกันบาดแผลก็สมานอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สวีโหย่วหรงเอ่ย “หากว่ากันตามหลักการแล้ว ท่านไม่เกรงกลัวการกลืนกินของวิชาน้ำพุเหลือง แต่ระวังไว้ก่อนเป็นดี”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ขอบใจมาก”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์จงสถิตอยู่กับท่าน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างจริงจัง “อย่างนั้นข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป”
นี่คือคำรัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถนัดเอ่ยคำรัก แต่เมื่อเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง จึงดูเหมือนคนโง่งม แต่ก็น่าซาบซึ้งใจนัก
สวีโหย่วหรงกลับไม่ได้ตอบอะไร จึงดูเหมือนค่อนข้างเย็นชา
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าทำไม เมื่ออยากถามออกไป กลับถูกขัดจังหวะเสียก่อน
ไม่รู้ว่าวานรดินโผล่มาอยู่ตรงหน้าตอนไหน มันคุกเข่าอยู่บนพื้นเอาแต่จุมพิตไปยังเท้าเขาไม่หยุด คล้ายกับเคารพและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด
เฉินฉางเซิงจู่ๆ ก็พบหลักเหตุผลหนึ่ง
ถึงแม้ว่าวานรดินจะเป็นอสูรปีศาจที่ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมและน่ากลัว แต่หากต้องทำความเข้าใจว่ามันคิดสิ่งใดอยู่กันแน่กลับง่ายกว่าทำความเข้าใจในตัวสตรีนัก
“ที่เมื่อครู่ข้าห้ามปรามไม่ให้ท่านลงมือ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจท่าน และก็ไม่ได้เห็นต่างกับท่าน”
เฉินฉางเซิงมองไปยังสวีโหย่วหรง ก่อนเอ่ย “ข้าเองก็ไม่ได้สงสารเขา เพียงแต่รู้สึกว่ามันไม่จำเป็น”
เมื่อปีนั้นเขาเองก็ไม่ได้ชอบในการจัดการต่างๆ ของหู้ซานสือเอ้อร์
ฉูซูก็รนหาที่ตายจริงๆ นั่นแหละ แต่เหตุใดต้องให้เขาตายเพราะต้องโทษทรยศเล่า
วาจานี้เขาพูดกับวานรดิน แต่ที่จริงแล้วเขาเองกำลังอธิบายต่อสวีโหย่วหรงด้วย
เขาไม่มั่นใจว่าความสงบนิ่ง (เย็นชา) ของสวีโหย่วหรงในตอนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
เปลวเพลิงบนพื้นผิวค่อยๆ ดับลง เปลวเพลิงใต้พื้นพิภพยังคงแผดเผา แสงสว่างจากเปลวเพลิงลอดออกมาตามรอยแตกแยก มองดูแล้วเหมือนฟ้าแลบ มีความงดงามอันน่าสะพรึงกลัวอยู่
สายตาของสวีโหย่วหรงมองข้ามพื้นไปไกล นางเอ่ยถาม “ท่านแน่ใจหรือว่าเขาไปทางนี้”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ในปีนั้นที่ก่อนเขาไปจากด่านยงหลาน ได้ไปพบเฉินโฉวก่อน ร่องรอยการนัดพบเหมือนกับในครั้งนี้”
ในฐานะที่เป็นขุนพลศาลทหารแห่งซงซานที่สำนักฝึกหลวงผลักดันให้เข้าสู่ตำแหน่ง เจตนาที่คนผู้นั้นพบปะกับเฉินโฉวก็ชัดเจนอยู่แล้ว
สวีโหย่วหรงเอ่ย “คนผู้นั้นนิสัยแย่นัก เหตุใดจึงเชื่อถือท่านมาก”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ในปีนั้นยามที่เจ้ายังเก็บตัวบำเพ็ญพรต ข้าเคยพบเขามาก่อน”
เรื่องนี้สวีโหย่วหรงทราบแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิพลมากเพียงนี้ต่อคนผู้นั้น
ลมยามค่ำคืนพัดโชย กระเรียนขาวก็ถลาลงมาข้างๆ นาง
นางพิงหลังของกระเรียน หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
ไม่กี่วันที่ผ่านมานางออกจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทันทีที่ได้รับข่าว ในคืนนี้หลังจากได้รับดวงจิตอันศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิหคปีกทองก็เร่งรุดมา ตอนนี้นางเองเหนื่อยล้านัก
เฉินฉางเซิงกลับมาจากที่แสนไกล เหน็ดเหนื่อยกว่านางนัก แต่กลับนอนไม่ได้
เขามองไปยังเทือกเขาศิลารกร้างผืนนั้น รอคอยอย่างเงียบๆ
หากข้ามผ่านเทือกเขาศิลาผืนนั้นไป ก็จะเป็นโลกของเผ่ามาร
คืนนี้ผู้ใดจะเดินทางกลับมาจากที่นั่นกัน
……
……