ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 82 คนของบรรพตปาต้า
คืนนี้ดวงดาวสว่างนัก เทือกเขาลดหลั่นเป็นแนวที่อยู่ไกลออกไปดูเหมือนหมั่นโถวที่ทำจากแป้งขาว
ไม่ เทือกเขาเหล่านั้นเตี้ยๆ ยิ่งเหมือนขนมหมัวหมัวแป้งขาวที่พี่หญิงซ่งทำมากกว่า
เฉินฉางเซิงรู้สึกหิวนัก หลังจากนั้นจึงได้นึกขึ้นว่าตนนั้นรีบไปนอน ไม่ได้ทานอะไรมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว
เหตุใดจึงได้สว่างอย่างนี้นะหรือ แน่นอนว่าเป็นเพราะดาวดวงนั้น
ดาวดวงนั้นกำลังมืดลง แต่ยังคงสว่างกว่าปกติหลายเท่านัก
นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่ามีผู้บำเพ็ญทะลวงระดับขั้นบรรลุเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
เนื่องด้วยเหตุนี้ ฉูซูจึงโกรธมาก แต่เมื่อเขาพบว่าคนผู้นั้นไม่ใช่สวีโหย่วหรง และไม่ใช่เฉินฉางเซิง ถึงได้ดีใจขึ้นมาหน่อย
คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของคนผู้นั้น แต่เห็นได้ชัดว่า พวกเขาทราบดีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
เมื่อมองไปยังดาวดวงที่สว่างที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้น เฉินฉางเซิงก็เกิดความไม่เข้าใจ และไม่สบายใจขึ้น
ว่ากันตามนิสัยของคนผู้นั้นแล้ว ต่อให้ต้องตายก็ไม่ยินดีที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาได้บรรลุระดับขั้นเรียบร้อยแล้ว ยังต้องกลัวผู้ใดอีกเล่า
วันนั้นเขากำลังนั่งเรือชมทิวทัศน์แม่น้ำแดง
ฟังปลาอวี๋จิงขับลำนำเสียงทุ้มลึก ทานผลไม้สีแดงที่มือเล็กๆ ป้อนเข้าปาก ชีวิตเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก
หลังจากนั้น กระเรียนขาวก็มาถึง นำข่าวนั้นมาด้วย
แรกสุดข่าวสารนั้นมาจากเผ่าหมี จารชนเผ่าหมีผู้หนึ่งนำข่าวนี้มาส่งต่อแก่พ่อค้าโอสถ พ่อค้าโอสถส่งข่าวนี้ต่อแก่กองทหารซงซาน ก่อนส่งมาถึงมือของเฉินโฉวด้วยตัวเขาเอง
ข่าวสารนั้นคือ วันที่และเส้นสายที่ดูลวกๆ ไร้ระเบียบ
เฉินฉางเซิงหยิบกระดาษแผ่นเล็กแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มองดูลายเส้นที่อยู่บนนั้น ค่อยๆ เชื่อมโยงกับแผ่นที่ที่อยู่ในห้วงแห่งจิตตน
หากข้อมูลไม่ผิดพลาด คืนนี้คนผู้นั้นต้องปรากฏตัวที่นี่
ทุ่งหญ้าที่อยู่ภายใต้แสงดาวช่างเงียบสงัดยิ่งนัก
วานรดินรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเฉินฉางเซิง มันหมอบอยู่เบื้องหน้าเขาเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแม้เพียงนิด
อสูรปีศาจเหล่านั้นถอยออกไปไกล แต่ไม่จากจากไปไหน พวกมันมองไปยังวานรดินอย่างเครียดขึ้ง เตรียมพร้อมที่จะรับคำสั่งตลอดเวลา
ดูเหมือนว่า ผู้ปกครองทุ่งหญ้าแห่งนี้ที่แท้จริงมิใช่ฉูซู แต่เป็นวานรดินตัวนี้
มองไปยังดวงดาวที่สว่างดวงนั้น วานรดินก็หรี่ตา มันงงงวยยิ่งนัก
ถึงแม้ว่ามันจะเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม แต่ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดนัก ไม่เข้าใจเรื่องการบำเพ็ญพรต แน่นอนว่าไม่มีทางเข้าใจในสถานการณ์นี้เป็นแน่
ทันใดนั้น วานรดินก็ยืนขึ้น มองไปยังเทือกเขาศิลาที่อยู่ไกลออกไป แววตาปรากฏความระแวดระวังและไม่สบายใจออกมา
เวลาต่อมา มันอ้อมมาอยู่ด้านหลังของเฉินฉางเซิงด้วยความเร็วสูงสุด โผล่แต่ศีรษะออกมา จ้องไปยังท้องฟ้าฝั่งตรงข้ามก่อนครางเสียงต่ำออกมา
สวีโหย่วหรงยืนขึ้นมองไปทางนั้น ก่อนเอ่ย “มาแล้ว”
กระเรียนขาวสยายปีก ก่อนบินไปยังท้องฟ้าสูงด้านนั้น เตรียมตัวรับมือ
สายลมยามค่ำคืนกำลังโหมกระหน่ำ ส่งเสียงราวผิวปากเสียงดัง วัชพืชลู่ลมไปทางทิศใต้
ทุ่งหญ้ารอบด้านกว้างนัก ไม่มีต้นไม้ใด แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเกิดเสียงดัง พึ่บพั่บ
นั่นคือเสียงลมแรงพัดกระดาษ
กลางท้องฟ้าดวงดาวสุกสว่าง ว่าวยักษ์อันหนึ่งพัดมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนทางเหนือ
ด้านล่างของว่าวยักษ์นั้นมีเชือกเส้นหนึ่ง เหมือนกับมัดคนคนหนึ่งเอาไว้
ว่าวลอยผ่านเทือกเขาศิลาสีขาว อาบไล้แสงดาวระหว่างที่มาทุ่งหญ้า
เกิดเสียงดัง ปัง เชือกเส้นนั้นขาดลง
ว่าวลอยขึ้นล้อลม ค่อยๆ ลับไป ราวกับจะเดินทางไปยังท้องฟ้าดวงดาวด้านบน มองไม่เห็นไร้ร่องรอยอีก
พื้นของทุ่งหญ้าสะเทือนเล็กน้อย
คนผู้นั้นลงมาอยู่ตรงหน้าของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
บนใบหน้าของเขามีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่
ที่แท้เสียง พึ่บพั่บ ไม่ได้มาจากว่าวนั้น แต่มาจากกระดาษใบนี้
บนกระดาษนั้นมีรูอยู่สองสามรู รูสีดำๆ น่ากลัวมาก โดยเฉพาะวันนี้ บนนั้นเต็มไปด้วยหยดโลหิต ยิ่งดูแล้วโหดร้ายทารุณ
ในมือของเขามีทวนเหล็กด้ามหนึ่ง ท่าทางไม่รีบร้อน เหมือนกับถือถุงใบหนึ่ง หรือคนคนหนึ่งไว้เท่านั้นเอง
แต่ทวนด้ามนั้นตรงนัก ตรงเหมือนกันกับเขา
ร่างกายของเขาก็ตรงแน่ว เหมือนจะไม่มีทางล้มเลยตลอดกาล
เซียวจาง เคยอยู่อันดับต้นบนประกาศเซียวเหยา คนคลั่งลือชื่อในผู้แข็งแกร่งยุคกลาง หรือจะเรียกว่าคนบ้าก็ได้
หลายปีก่อน เขาถูกทั้งราชสำนักต้าโจวไล่ล่าสังหาร สงครามดุเดือดหลายปี สุดท้ายถูกบังคับให้เข้าสู่ทุ่งหิมะ หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวสารอะไรจากเขาอีก
ผู้ใดก็คาดไม่ถึง เขาปรากฏตัวอีกครั้ง และบรรลุระดับขั้นแล้ว กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง คนหนึ่งในอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์
แสงดาวทอดตกลงบนใบหน้าของเซียวจาง และมันถูกกระดาษขาวสะท้อนกลับไปเสีย เกิดประกายวูบวาบ
เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ถึงลมปราณของเขา มั่นใจว่าที่บรรลุระดับขั้นเมื่อครู่ต้องเป็นเขาแน่ เขาดีใจมากนัก
แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ก็ถูกเซียวจางยกมือขัดขึ้นเสียก่อน
“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอพักสักครู่”
หลังจากเอ่ยคำนี้ เซียวจางก็ล้มตัวไปด้านหลังทันที
ต่อให้เป็นตอนนี้ เขาก็ยังคงรักษาอาการตัวตรงอยู่ ล้มตัวกระแทกกับพื้นเสียตรงๆ อย่างนั้น
เศษหญ้าและโคลนเปียกๆ กระเด็นไปทั่ว
เฉินฉางเซิงชะงักไป
เหตุการณ์นี้สถานการณ์นี้ ทำให้เขานึกถึงภาพต่างๆ มากมายหลังจากที่เขาและซูหลีได้หลบหนีความตายกลับมายังทางตอนใต้เมื่อหลายปีก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้สติกลับมา เขาถอดเข็มสีทองที่อยู่รอบนิ้วออกมาก่อนแทงไปยังลำคอของเซียวจาง และเริ่มรักษา
สำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประสิทธิผลของเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นอ่อนแรงนัก สวีโหย่วหรงที่ยืนมองอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เห็นได้ชัดว่า เขาได้รับบัตรเจ็บสาหัส น่าจะถูกติดตามไล่ล่าสังหารมาตลอดทาง
แต่ไม่ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บก่อนหน้าที่จะบรรลุระดับขั้น หรือว่าได้รับบาดเจ็บหลังจากนั้น ล้วนพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่ติดตามไล่ล่าสรรหามานั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
หากว่ากันตามหลักการแล้ว ในเวลานี้ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือพาตัวเขาหนีไป ต่อให้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่มีทางที่จะติดตามสวีโหย่วหรงและนกกระเรียนขาวได้แน่นอน
แต่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไม่ได้ทำอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บของเซียวจางสาหัสนัก และอาจเป็นเพราะว่าพวกเขารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของรัตติกาล
แสงแห่งดวงดาวค่อยๆ มืดลง สีแห่งรัตติกาลค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ ป่าที่เงียบสงัดราวกับมีน้ำหนักบางอย่างอยู่
รัตติกาลค่อยๆ รวมตัวกันที่ตำแหน่งหนึ่ง ทับซ้อนกันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นภูเขาสีดำจริงๆ แล้ว
นั่นคือเงาขนาดใหญ่คล้ายเทือกเขาสามสาย ปรากฏในทุ่งหญ้าตามลำดับ พวกมันห่างกันหลายร้อยลี้ เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเพื่อล้อมรอบพวกเขาเอาไว้
สั่นสะเทือนเล็กน้อย หญ้าสีเขียวดิ้นรนจากการรัดรึงของลมรัตติกาล พวกมันเริ่มเริงระบำอีกครั้ง
ที่เริงระบำไปพร้อมๆ กับต้นหญ้ายังมีกรวดศิลา
นั่นเป็นเพราะว่าเงายักษ์สีดำที่ใหญ่โตราวขุนเขาสามสายนั้นกำลังขยับ ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็มายังเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกล
เหมือนกับเทือกเขาสีดำที่แท้จริง ที่สูงกว่าสิบจั้ง
จุดสูงสุดนั้นมีคบไฟสองอัน เหมือนกับกำลังแผดเผา นั่นคือดวงตาของเขา
วานรดินกำลังหลบอยู่ด้านหลังเฉินฉางเซิง สีหน้าหวาดกลัว ดวงตาสีเขียวกลอกไปมาไม่หยุด มันกลัวเสียจนไม่กล้าหนีไปเอง
มองไปยังเงาดำที่เหมือนเทือกเขานั้น สวีโหย่วหรงเอ่ย “ยามที่ยังเล็กข้าคิดมาตลอดว่าคนของบรรพตปาต้านั้นเป็นคนผู้หนึ่ง”
เทือกเขาสีดำเบื้องหน้านั้นเริ่มเอ่ยแล้ว
เสียงทุ้มต่ำของเขาเหมือนลมที่สะท้อนกลับไปมาในถ้ำ
ลมหนาวโหมกระหน่ำบนทุ่งหญ้า แสงจากดวงดาวมืดลงกว่าเดิม
เงาดำที่เหมือนเทือกเขานั้น เหมือนกับสีของรัตติกาล ฉายลงตรงหน้าของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง นำมาซึ่งแรงกดดันที่ยากจะจินตนาการได้
“คนจากบรรพตปาต้า แน่นอนว่าต้องมีแปดคน”
จากคำเล่าขาน เผ่ามารในอดีตมีผู้แข็งแกร่งมิอาจเทียมได้แปดคน
สำหรับผู้คนเผ่ามารทุกกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว ผู้แข็งแกร่งทั้งแปดนี้เป็นเหมือนยอดเขาที่มิอาจเอื้อมได้ ดังนั้นจึงถูกขนานนามว่าคนบรรพตปาต้า…แปดขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่
วันนี้เฉินฉางเซิงถึงได้มั่นใจ ที่แท้ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้มีอยู่จริงๆ และพวกเขาเป็นเทือกเขาจริงๆ