ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 84-1 ออกกระบี่และเก็บกระบี่
“ข้าไม่ชอบชุดดำ ไม่ใช่เพราะในปีนั้นเขาแย่งชิงเอาความดีความชอบของสหายตนเองที่ตายไปในปีนั้น”
“ยามเมื่อยังเล็ก ข้าเคยเห็นบทละครพื้นบ้านมากมายของเผ่ามนุษย์รวมถึงบทละครของเมืองเสวี่ยเหล่า ในนั้นริมฝีปากและใบหน้าของคนทรยศนั้นล้วนอัปลักษณ์สิ้นดี”
“เขาคือคนทรยศที่ไร้ยางอายที่สุดในรอบหนึ่งพันปีเลย”
“แต่ข้าต้องยอมรับในความสามารถของเขา ชมเชยในการวางแผนของเขาครั้งนี้”
“การสังหารเซียวจางไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจใหญ่ของใต้หล้า แต่หากสังหารใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมกัน ประวัติศาสตร์หลังจากนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง”
เสียงของบรรพตเยียนจือสะท้อนกลับไปมาในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า
สุดท้ายก็ยังคงเกิดปัญหาหลายแห่ง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าภายใต้ความกลัวและแรงกดดันที่ตนให้ไปนั้นสุดท้ายเซียวจางก็บรรลุระดับขั้นจนได้
…ถึงแม้ว่าเพิ่งบรรลุ และยังไม่คุ้นเคยกับการใช้และควบคุมกฎของฟ้าดิน แต่นั่นก็เพียงพอจะให้เขาแหวกวงสังหารออกไปได้แม้จะบาดเจ็บสาหัส
อย่างน้องตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่
แต่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงก็มาที่นี่ เช่นนี้ดีนัก ดีมากๆ
ทุ่งหญ้าภายใต้รัตติกาลเงียบนัก แสงดาวเปล่งประกายความเงียบสงัดออกมา
วานรดินชะโงกศีรษะออกมาจากด้านหลังของเฉินฉางเซิง ยิ้มให้เงาดำขนาดใหญ่ในระยะไกลเพื่ออวดให้เห็นเขี้ยวสีขาว
มันอยากข่มขวัญอีกฝ่าย แต่กลับไม่กล้าส่งเสียงครวญครางออกมาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าตกใจในอำนาจน่าเกรงขามของอีกฝ่ายไม่น้อย
สวีโหย่วหรงเอ่ยถาม “พวกท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่มาจะเป็นพวกข้า”
“เซียวจางเป็นคนเสียสติ ไม่เชื่อผู้ใด ยิ่งไม่เชื่อในราชสำนักต้าโจว เขาเชื่อใจเพียงเฉินฉางเซิง”
บรรพตเยียนจือเอ่ย “และเมื่อเฉินฉางเซิงมาถึง เจ้าจะต้องปรากฏตัวแน่นอน”
เฉินฉางเซิงไม่ได้รับอนุญาตให้นำตนเองเข้าไปสู่ภัยพิบัติอันตรายใดๆ เนื่องจากเขาเป็นใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์
ยิ่งตำแหน่งใต้เท้าสังฆราชของเขามั่นคงเพียงใด พลังของกฎเกณฑ์นี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
หากเขาอยากจะทำลายข้อผูกมัดนี้จริงๆ อันหวาอาจจะทัดทานไว้ด้วยชีวิต
ราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ จะยอมให้เขาจากเมืองไป๋ตี้ไปผู้เดียวได้อย่างไร
สถานการณ์นี้มีเพียงได้รับการยอมรับจากเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหมดเสียก่อน
นั่นก็คือให้เขาเดินทางร่วมกับสวีโหย่วหรง
ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดีว่า วิชาประสานกระบี่ของใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังที่ยากจะจินตนาการเพียงใด ต่อให้พบเจอกับผู้แข็งแกร่งระดับอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องกังวลถึงอันตรายเลย
ในวันนี้เหมาชิวอวี่ออกนั่งบัญชาการเทือกเขาหานซานด้วยตัวเองแล้ว เซี่ยงอ๋องและจงซานอ๋องเองก็อยู่ที่ด่านยงหลานและด่านยงเสวี่ย พร้อมออกรบตลอดเวลา ขุนพลเผ่ามารนำกองทัพเตรียมการด้วยตนเอง เหล่าผู้แข็งแกร่งอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่า ในวันนี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่แนวหน้าของสนามรบ ว่ากันตามหลักการแล้ว หากเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงค่อยๆ นำตัวเซียวจางกลับไปยังจงหยวน น่าจะไม่เจอกับอันตรายหรืออุปสรรคใด
แต่ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาหานซานหรือว่าด่านยงหลาน ด่านยงเสวี่ย หรือว่ากระโจมเชื่อมฟ้าบนที่ราบหิมะ ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม
อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาจจะทราบความหรือไม่ทราบความ ทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่ามารล้วนกำลังแสดงละครฉากใหญ่
ทุ่งหญ้าที่ลึกลับและเงียบสงบนี้ต่างหากที่เป็นสนามรบที่แท้จริง
เผ่ามารเชิญบรรพตทั้งแปดมา
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใดก็คาดการณ์ไม่ถึงมาก่อน
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงก็ไม่คาดคิดมาก่อน
แม้ว่าจะมาเพียงสามคน แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พลังน่ากลัวที่พวกเขาสามารถต่อกรได้อีกต่อไป
“ทำไมคนที่มาจึงมิใช่หวังผ้อนะ”
นี่เป็นคำถามสุดท้ายของสวีโหย่วหรง
หวังผ้อเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดชีวิตของเซียวจาง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่งที่กดดันเขามาตลอดทั้งชีวิต
เซียวจางไม่ชอบหวังผ้อ คิดอยากจะเอาชนะเขาตลอดเวลา แต่คนที่เขาเชื่อใจที่สุดก็เป็นหวังผ้อเช่นกัน เชื่อใจยิ่งกว่าเฉินฉางเซิงอีก
ก็เหมือนกับสวินเหมย ที่ก่อนหน้าที่จะสิ้นชีวิตคนที่อยากพบที่สุดนอกเสียจากเหมาชิวอวี่แล้วก็คือหวังผ้อ
ในช่วงเวลาที่ดอกไม้ป่าเพิ่งเริ่มผลิบาน หวังผ้อคือเป้าหมายของพวกเขา จะไม่ใช่ความมั่นใจและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพวกเขาได้อย่างไร
อีกอย่างหวังผ้อเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ วิถีดาบประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด หากเซียวจางประสงค์จะขอความช่วยเหลือแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขานั่นแหละที่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
คนที่ตอบคำถามของบรรพตเยียนจือไม่ใช่สวีโหย่วหรง แต่เป็นเฉินฉางเซิง
“ให้หวังผ้อมาเห็นว่าตนนั้นบรรลุระดับขั้นแล้วแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดี แต่หากให้เขามาเห็นสภาพที่ตนถูกลอบสังหารก็คงไม่ดีแน่”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “นี่มันน่าอายพอดู”
สวีโหย่วหรงไม่เข้าใจความหยิ่งในศักดิ์ศรีอันน่าเบื่อของผู้ชายนัก เมื่อได้ฟังที่เฉินฉางเซิงกล่าวต่อถึงได้เข้าใจ
แต่นางก็ยังรับไม่ได้กับท่าทางที่ยอมเสียชีวิตแต่ไม่ยอมเสียหน้าของบุรุษเหล่านี้
กระดาษสีขาวถูกเป่าทำให้เกิดเสียงดัง พึ่บพั่บ
เซียวจางยังคงไม่ได้สติ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินที่เฉินฉางเซิงกล่าว หรือรับรู้ได้ถึงเจตนาของนางหรือไม่
มีการสั่นสะเทือนจากพื้นดิน กลุ่มอสูรปีศาจที่อยู่ไม่ไกลไม่สนใจความดุร้ายของวานรดิน พวกมันหนีไปรอบทิศทางด้วยความสยดสยอง
เวลาไม่นาน เสียงกรีดร้องในตอนกลางคืนดังลอยมาหลายเสียง จากนั้นกลิ่นโลหิตจางๆ ก็ตามมา
ในกลิ่นโลหิตมีกลิ่นคาวอื่นๆ ผสมอยู่ เมื่อเฉินฉางเซิงได้กลิ่นนั้น อารมณ์เขาก็ขุ่นมัวทันที
ไม่ใช่เพราะเขามีนิสัยค่อนข้างรักความสะอาด แต่เป็นเพราะเขาเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน เมื่อตอนอยู่ในสนามรบบนทุ่งหิมะ
เสียงกีบเท้าดังขึ้นอย่างรุนแรง และพื้นผิวทุ่งหญ้ายังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
กลิ่นคาวโลหิตและกลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จวบจนเกือบจะฉีกทึ้งรัตติกาลสำเร็จแล้ว
พลหมาป่าของเผ่ามารหลายร้อยตัวปรากฏตัวบนทุ่งหญ้าโดยรอบ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงถูกล้อมไว้ภายใน
หมาป่ายักษ์ที่กระหายเลือดเหล่านี้มีความสูงประมาณหนึ่งจั้ง และกองรบที่อยู่บนหลังของหมาป่าทำให้พวกมันยิ่งดูสูงขึ้นไปอีก
หมาป่าเหล่านั้นอ้าปากที่กว้างเหมือนอ่างโลหิต พ่นเอากลิ่นอายร้อนเหม็นคละคลุ้งออกมา ขนหมาป่าที่ราวเข็มหมุดเห็นชัดแจ้งภายใต้แสงดาว
ใบหน้าของพลหมาป่าที่นั่งอยู่บนหลังหมาป่าก็ถูกสาดส่องเสียชัดแจ้ง น้ำลายที่ไหลย้อยออกมาจากปากอ้าก็ไหลต่อเนื่องไม่หยุด กลิ่นเหม็นสาบอย่างถึงที่สุด
พลหมาป่าเป็นกองหมาป่าที่เกรียงไกรที่สุดของเผ่ามาร หากสู้กันตัวต่อตัว อาจจะเอาชนะทหารม้าของราชสำนักต้าโจวได้เลย
พลหมาป่ากว่าร้อยนายรวมตัวกันเป็นจุดเดียว จะมีพลังโจมตีและกำลังสังหารที่น่ากลัวเพียงใดกันนะ
แต่การต่อสู้ในคืนนี้ หมาป่าที่ผ่านการจู่โจมทางไกลหลายพันลี้เหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นกำลังหลักได้เลย
“ชะตากรรมของเผ่าเทพอาจถูกตัดสินในคืนนี้ ดังนั้นข้าจะระมัดระวังให้มาก ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาข้าเองก็ระมัดระวังมาก ดังนั้นข้ามั่นใจมากว่าเขาไม่ได้แจ้งให้ผู้อื่นทราบ และมั่นใจมากว่าพวกเจ้ามาอย่างกะทันหันต้องไม่มีเวลาพอจะแจ้งให้คนอื่นทราบ ข้าคิดว่าข้ามั่นใจว่ามีเวลามากพอ ดังนั้นข้าจะดำเนินการอย่างจริงจังและรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะถูกสังหารอย่างสมบูรณ์”
บรรพตเยียนจือเอ่ยกับเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
ยามค่ำคืน ดวงตาของเขาราวกับเปลวเพลิงลุกโชน ในนั้นเต็มไปด้วยปัญญาและสันติในการมองโลกและกฎเกณฑ์ นั่นหมายถึงความเย็นชาและความน่ากลัวเช่นกัน
บทสนทนาก่อนหน้านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น บรรพตเยียนจือไม่จำเป็นต้องอธิบาย เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ต้องการเหตุผลในการถูกเผ่ามารซุ่มโจมตี แต่พวกเขายังคงถามและตอบแล้ว เนื่องจากเฉินฉางเซิงต้องการยื้อเวลา บรรพตเยียนจือเองก็ต้องการยื้อเวลาในการเตรียมการล้อมโจมตีให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
พื้นดินสั่นเล็กน้อย เงาดำขนาดใหญ่เคลื่อนไปทางทิศใต้ แม้ว่าความเร็วจะช้ามาก แต่ก็มีความรู้สึกบีบคั้นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
เจตนาของบรรพตเยียนจือชัดเจนมาก…คืนนี้เขาต้องการให้ทุกอย่างมั่นคง ไม่อยากให้มีช่องโหว่ใดๆ