ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 84-2 ออกกระบี่และเก็บกระบี่
มองไปยังเทือกเขาดำทะมึนในรัตติกาลนั้น เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถาม “มีโอกาสกี่ส่วน”
คำถามนี้ของเขาหมายถึงโอกาสที่จะมีชีวิตกลับออกไป แน่นอนว่าต้องนำเซียวจางกลับไปด้วย
ความเร็วของสวีโหย่วหรงและกระเรียนขาวราวสายฟ้าแลบ ไม่เป็นรองใคร หากใช้พลังเต็มที่ บรรพตทั้งแปดต่อให้ลึกล้ำเกินคาดเดาเพียงใดก็มิอาจติดตามทันแน่นอน
สายลมพัดแขนเสื้อ สวีโหย่วหรงเก็บถาดดาวโชคชะตากลับไว้ในแขนเสื้อ ราวกับสามารถมองเห็นเส้นทางการหมุนของดวงดาวได้คร่าวๆ
นางไม่ได้ตอบคำถามเฉินฉางเซิง เพียงส่ายหน้าเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า การคาดเดาของถาดดาวโชคชะตานั้นย่ำแย่นัก การจากไป…แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
คนชุดดำคำนวณเอาไว้ว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจะมาเพื่อช่วยเหลือเซียวจาง แน่นอนว่าต้องมีการวางแผนรัดกุมไว้แน่
บนทุ่งหญ้าทางตอนใต้ บรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุนเปรียบเสมือนบรรพตสองลูก ที่ทอดยาวหลายสิบลี้ ปิดกั้นเส้นทางหนีทุกทางเอาไว้
หากว่าจี๊ดจี๊ดยังอยู่ ความหวังในการหนีคืนนี้คงเป็นไปได้มากหน่อย
เฉินฉางเซิงนึกถึงหญิงสาวชุดดำที่อาจจะกำลังนอนเล่นอยู่บนเกาะอันอบอุ่น ในใจไร้ซึ่งความเสียใจใดๆ มีเพียงความเศร้าโศกเล็กน้อย
“อย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป”
เขาเอ่ยถามสวีโหย่วหรง
นี่คือความเชื่อใจ
เมื่อพูดถึงการทำนายคาดการณ์ การวางแผนกลยุทธ์ บนโลกนี้มีคนที่ล้ำเลิศกว่านางแทบนับคนได้
สวีโหย่วหรงมองไปทางวานรดิน ก่อนเอ่ยจำนวนที่แสดงถึงระยะห่างและทิศทาง
นางรู้ดีว่ามันเข้าใจที่นางพูด เข้าใจในเจตนาของนาง
เห็นได้ชัด วานรดินเข้าใจแล้วจริงๆ ร่างของมันเครียดขึ้งขึ้น ราวกับหวาดกลัวเล็กน้อย
หลายปีก่อนหน้า เมื่อสวนโจวเกิดเรื่อง มันเองก็เคยพบกันสวีโหย่วหรงมาก่อน ทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางและเฉินฉางเซิง
ดังนั้นด้วยความชาญฉลาดของมันเองจึงไม่ได้มองไปยังเฉินฉางเซิง และก็ไม่ได้ร้องขอความเมตตา แต่กลับมุดลงไปใต้ดินทันที
ไม่ต้องใช้เวลานานเลย มันก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน
ในขนสีน้ำตาลที่หายไปบ้างบางกระจุกเต็มไปด้วยโคลนและรากหญ้า เหนือคิ้วปรากฏบาดแผลเป็นรู โลหิตไหลไม่หยุด ดูน่ารันทดยิ่งนัก
เฉินฉางเซิงหยิบเอายาลูกกลอนมาหนึ่งเม็ด ก่อนจะบีบโปรยลงบนบาดแผลของมัน
ยาลูกกลอนนั้นทำจากเศษยาที่เหลือจากการทำยาจูซา ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่วิเศษอะไรมากมาย แต่เมื่อนำมาใช้หยุดยั้งการไหลของโลหิตผลลัพธ์ดีมาก
วานรดินแลบลิ้นออกเลียโลหิตที่มุมปากตน ก่อนมองไปยังสวีโหย่วหรง มันเผยสีหน้าเย็นชาที่เต็มไปด้วยความพยาบาทออกมา
มันสามารถดำดินได้ แต่นั่นจะสามารถปิดบังตัวมันจากดวงจิตของบรรพตเยียนจือได้หรือ
ใต้เนินเขาห่างออกไปกว่าสิบลี้ มันยังได้รับผลกระทบจากการกดดันอันน่ากลัวทำร้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สำหรับมันแล้ว นี่คือสิ่งที่สวีโหย่วหรงบีบบังคับมัน แน่นอนว่ามันคับแค้นใจนัก
เฉินฉางเซิงกำลังรักษาบาดแผลให้มัน เขาไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไปของมัน
สวีโหย่วหรงสังเกตเห็นแล้วแต่นางไม่สนใจสักนิด นางยังเอ่ยต่อ “อย่างไรเล่า”
วานรดินครางเสียงต่ำสองที ใช้ขาหน้าที่ทั้งเล็กและสั้นของตนวาดสื่อความอะไรบางอย่างอยู่
สวีโหย่วหรงมองด้วยสีหน้าจริงจัง นางกำลังคำนวณในใจ พลางมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “ก็ไม่ได้อีก”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นมองไปยังเทือกเขาสีดำที่อยู่ภายใต้ความมืดของค่ำคืน มือขวาจับไปยังกระบี่
“เช่นนั้นก็คงต้องสู้แล้ว”
คนบรรพตปาต้าคือยอดฝีมือเผ่ามารในอดีตที่เคยต่อกรกับหวังจือเช่อ ฉินจ้ง และอวี่กงในเมืองเสวี่ยเหล่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน
หากเขาและสวีโหย่วหรงเปิดฉากการต่อสู้กับอีกฝ่าย ต้องพ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
เงายักษ์ค่อยๆ เคลื่อนตัว แรงกดดันยากจะจินตนาการค่อยๆ บดขยี้มาถึงยังเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
ทุ่งหญ้าในยามค่ำคืนพลันน่ากลัวยิ่งขึ้น
“ข่าวดีก็คือ พวกเราโค่นล้มแค่คนเดียวก็พอ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยขึ้น
สงบนิ่งดุจขุนเขา
คนบรรพตปาต้านั้นลึกล้ำเกินคาดเดา คดเคี้ยวดั่งปีศาจ เมื่อพวกเขาไม่เขยื้อนตัว อาจพูดได้เลยว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่เมื่อพวกเขาเขยื้อนกายแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาสถานะที่สมบูรณ์ได้อีกต่อไป มันปรากฏช่องโหว่ออกมาอยู่บ้าง
ก็เหมือนภูเขาจริงๆ ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ไม่สามารถสั่นสะเทือนได้เมื่อเชื่อมต่อกับแผ่นดิน แต่รากฐานของมันไม่มั่นคงเมื่อมันเคลื่อนที่
การสังหารฉากนี้ บรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุนตัดหนทางของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงบนทุ่งหญ้าทางตอนใต้เสีย ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
บรรพตเยียนจือและพลหมาป่าหลายร้อยตนถึงจะเป็นกำลังหลักในการโจมตี
ในความเป็นจริง เมื่อบรรพตเยียนจือนำความมืดมิดเคลื่อนตัวมาถึง ก็ไม่อาจรักษาท่าทางอันสูงส่งก่อนหน้านี้ได้
สวีโหย่วหรงใช้ถาดดาวโชคชะตาทำนายคาดการณ์และให้วานรดินเสี่ยงดำดินไปสำรวจเส้นทาง ก่อนพบว่ามีเส้นทางหลบหนีที่อาจเป็นไปได้หนึ่งเส้น
แต่นางไม่เลือกหลบหนีเส้นทางนั้น นางไม่ได้เอ่ยถึงเส้นทางนั้นกับเฉินฉางเซิง
ไม่ใช่เพราะพลหมาป่ากระหายเลือดและน่ากลัวที่ขี่ไปทั่วทุ่งหญ้า และไม่ใช่เพราะวิหคดุร้ายนับสิบตัวที่ถูกกลุ่มดาวไขว้ทักษิณสาดส่องภายใต้ท้องฟ้าค่ำคืนทางเหนือ แต่เพราะนางรับรู้ถึงอันตรายในส่วนที่ลึกที่สุดภายใต้ความมืดนี้ นี่ทำให้นางสงสัยว่าทางเส้นนั้นอาจะเป็นกับดักที่คนชุดดำวางเอาไว้
บรรพตเยียนจือหยุดฝีเท้าลง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดมองเห็นชัดเจนว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร ยิ่งไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นเท้าของเขาได้เลย
เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งที่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอยู่เพียงสิบลี้เท่านั้น
สำหรับคนปกติทั่วไปแล้วสิบลี้นี้อาจจะเป็นระยะทางที่ไกลมาก อาจจะมองให้ชัดถึงภาพนั้นได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตีเลย
แต่ในเวลานี้ ที่แห่งนี้ ห่างเพียงสิบลี้ เกิดความคาดหมายและผิดแผกจากปกติ ทำให้คนคาดคิดไม่ถึงเลย
บรรพตเยียนจืดเปิดฉากการโจมตีต่อเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
เขายกมือขวาของตนขึ้น
ดวงดาวเต็มท้องฟ้าจู่ๆ ก็หรี่แสงลง
เนื่องจากบนท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันปรากฏเงาดำทอดยาวถึงสิบลี้ขึ้นมา บดบังดวงดาวกว่าร้อยดวงไปเสีย
เงาดำนั้นสาดส่องลงมายังทุ่งหญ้าจากท้องฟ้า
บนท้องฟ้าเกิดเสียงดังราวฟ้าผ่า นั้นเพราะอากาศหลีกไม่พ้น โดนแรงมหาศาลกดทับหลังจากนั้นก็ฉีกทึ้งออก
เฉินฉางเซิงรู้เลยว่าตนได้ยินเสียงของรัตติกาลถูกฉีกทิ้งลงอย่างรุนแรง
สวีโหย่วหรงออกกระบี่แล้ว
เมื่อออกกระบี่มา ก็เปิดด้วยเพลงกระบี่จรัสแสงทันที
ร่องรอยกระบี่นับไม่ถ้วนนำมาซึ่งเปลวเพลิงมากมาย สาดส่องไปจนทุ่งหญ้ารกร้างสว่างไสว
เงาดำบนท้องฟ้านั้นถูกส่องสว่างเสียจนมองเห็นได้ชัดเจน และดูสมจริงยิ่งขึ้น
ติดตามมาด้วย เฉินฉางเซิงก็ออกกระบี่แล้วเช่นกัน
เขาใช้คือเพลงกระบี่สันดาป เพลงกระบี่ท่าที่สามในทุ่งหญ้ารกร้าง
ใช่แล้ว แม้เวลาผ่านไปหลายปี ซูหลีเคยมอบวิชาเพลงกระบี่ให้เขาบนทุ่งหญ้ารกร้างสามกระบวนท่า และพวกมันก็มีชื่ออย่างเป็นทางการบนสารานุกรมพรตด้วย
เปลวไฟที่ร้อนแรงและมองไม่เห็นได้หลอมรวมเป็นแสงสว่าง
เจตจำนงกระบี่ของกระบี่ไร้ราคีและเจตจำนงกระบี่ของกระบี่จำศีลพานพบประสบพักตร์ หลังจากนั้นก็หลอมรวมกัน
กระบี่ทั้งสองลอยขึ้นเคียงข้างกัน พลันก่อให้เกิดความรู้สึกไร้ที่สิ้นสุดในทันที และมันก็เป็นหนึ่งเดียวอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบจนไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในโลก
นี่ก็คือเพลงกระบี่ประสานรวมของสถานศึกษาหนานซี
นี่ก็คือเพลงกระบี่ประสานพลังอันลือเลื่องไปทั้งดินแดนของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
ทุ่งหญ้าภายใต้รัตติกาลสีดำปรากฏลำแสงขึ้นกลุ่มหนึ่ง
ลำแสงกลุ่มนั้นเกิดจากการรวมตัวของแสงกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุด สว่างไสวยิ่งนัก เจิดจ้าอย่างถึงที่สุด เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยตกเลย
เงาดำที่ยาวสิบกว่าลี้นั้นตกลงมาจากฟ้า ตกลงบนลำแสงนั้นพอดี
ปัง!
หญ้าในรัศมีหลายสิบลี้ล้มเตียน และมีดินสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปรอบๆ เหมือนลูกศร
แสงกระบี่ผนึกรวมเป็นม่านแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไปหลายจั้ง ป้องกันเงาดำที่น่ากลัวนั่น