ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 86-2 ทวนที่เย่อหยิ่งและลูกธนูที่ใจสลาย
ใต้รัตติกาลนี้ บรรพตเยียนจือเหมือนเทือกเขาจริงๆ
ไม่ใช่เทือกเขาที่ดูไกลออกไป แต่เป็นเทือกเขาศิลาที่แท้จริงมากกว่า
เทือกเขาศิลานี้ไม่ได้สูงเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนว่าจะเชื่อมต่อกับศิลาที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ายากจะทำให้สั่นไหวได้
เซียวจางเดินไปด้านหน้า ก่อนหยุดลง
แสงดาวทอดลงบนใบหน้าเขา กระดาษสีขาวสะท้อนออกมา ดูแล้วยิ่งขาวกว่าเดิม เหมือนแสงดาวหลังเมืองเสวี่ยเหล่า
เรื่องอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นแล้ว พู่แดงที่ห้อยกับทวนเหล็กเริงระบำ ดึงดูดเอาแสงดาวนั้นไปเสีย
แสงดาวราวกับมีอยู่จริง เป็นเส้นสาย
โลกนี้สัมพันธ์กัน
หากความว่างเปล่ากลายเป็นความจริง อย่างนั้นวัตถุจริงเล่า
ในแสงดาว เงาของเซียวจางประเดี๋ยวปรากฏประเดี๋ยวดับไป ราวกับพร้อมจะดับสูญได้ตลอดเวลา
หากมองด้วยตาเปล่า ไม่สามารถระบุที่อยู่ของเขาได้เลย
นี่คือปรากฏการณ์หลังจากข่ามผ่านหลักการของฟ้าดิน
คืนนี้เขาเพิ่งจะบรรลุระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ ยังเข้าใจในกฎเกณฑ์ฟ้าดินไม่มากพอ ใช้คำว่าเชี่ยวชาญไม่ได้เลย แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพัฒนาไปมาก
นี่ก็คือความสามารถของผู้แข็งแกร่งในอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือว่าการหลับลึก ล้วนสามารถทำให้พวกเขาและโลกใบนี้เข้าใจกันและกันมากขึ้น
บนยอดสูงของเทือกเขาศิลาสีดำทะมึนมีเปลวเพลิงสองกลุ่ม เย็นยะเยือกถึงขีดสุด
เสียงทุ้มต่ำและเฉยชาดังขึ้นจากด้านในเทือกเขาศิลา
“หลายร้อยปีมานี้ หากจะถามว่าเจตนาการรบผู้ใดแข็งแกร่ง เจ้าอยู่ในสามอันดับแรกได้”
บรรพตเยียนจือราวกับทราบดีว่าเซียวจางยังมีความสามารถในการรบ แต่เขาไม่สนใจ
ต่อให้มีเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง เขาก็ไม่สนใจ
เขาแสดงออกอย่างนิ่งเฉย ยังมีอารมณ์มาประเมินอีกฝ่ายอีก
ตามความคิดเขา การประเมินนี้สามารถบอกได้เลยว่าเป็นการชมเชยอันสูงส่ง
เซียวจางกลับไม่รับน้ำใจนี้ เขาเอ่ย “ปีศาจตัวประหลาดอย่างเจ้า พูดมากเสียจริง”
เผ่ามารแต่ไหนแต่ไรก็เรียกขนานตนเองว่าเผ่าเทพ แต่ถูกเรียกว่ามาร แต่ก็ไม่ได้โกรธเคือง ในส่วนที่เรียกว่าเทพมาร ก็คือหลักการเดียวกัน แต่พวกเขาไม่ชื่นชอบในการถูกเรียกว่าปีศาจตัวประหลาด อาจเป็นเพราะมันง่ายที่จะเชื่อมโยงไปถึงเผ่าปีศาจ และในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของแม่น้ำสายยาว เวลาส่วนใหญ่ เผ่าปีศาจล้วนอยู่ในบทบาทข้ารับใช้เผ่ามาร
แววตาของบรรพตเยียนจือกลับเยือกเย็นกว่าเดิม
เซียวจางเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ทำไมรึ ทั้งร่างล้วนเป็นก้อนหิน แน่นอนว่าต้องเป็นปีศาจตัวประหลาด หรือเจ้าว่าไม่ใช่”
บรรพตเยียนจือเอ่ย “ข้าเป็นคนบรรพต”
เซียวจางเอ่ย “ฮ่าๆ คนบรรพตอะไรกัน ก็แค่ปีศาจโบราณสีดำทะมึนหรอก!”
เสียงหัวเราะแหบๆ สะท้อนกลับไปมาในทุ่งหญ้า
เสียงหัวเราะพลันหยุดลง
เซียวจางแทงทวนออกไปคราหนึ่ง
แสงดาวทอดตกลงบนทุ่งหญ้า เหมือนกับน้ำในลำธารอันบริสุทธิ์
หลังจากที่ทวนเหล็กพุ่งออกไป แสงดาวนั้นกลับเริ่มขยับ กลายเป็นผ้าผืนหนึ่ง
ทวนเหล็กนั้นตกลงระหว่างเทือกเขา แสงดาวตกลงตามมา หลังจากนั้นก็กระจายไป แตกละเอียดเป็นเศษสีเงินนับไม่ถ้วน
ภาพนั้นงามนัก มองดูแล้วเหมือนดอกไม้ไฟ ทั้งยังเหมือนกลีบดอกไม้จริงๆ ที่ผลิบาน
……
……
ในรัตติกาลที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้จู่ๆ ดอกไม้สีเงินพลันเบ่งบาน
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงทราบดี นั้นคือการกระทบกันระหว่างทวนเหล็กและหน้าผา
ต่อมา ทุ่งหญ้าตรงนั้นก็เกิดมังกรสีเหลืองขึ้นตัวหนึ่ง เสียงกรีดร้องดังตามมา ในนั้นราวกับมีเสี้ยวสีแดงเกิดขึ้นเป็นพักๆ
ลมปราณแข็งแกร่งสองสาย นำกรวดทรายในระยะหลายลี้ปลิวว่อน แสงดาวพลันมืดลง ยากจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้
ระดับขั้นของบรรพตเยียนจือช่างลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับทวนเหล็กอันน่าสะพรึงไปพร้อมๆ กันนั้น กลับไม่ลืมหันมากดดันฝั่งของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงด้วย
แนวเทือกเขาในรัตติกาลนั้นกดทับลงอย่างรุนแรง เทือกเขาทั้งห้าลูกเหมือนนิ้วทั้งห้าที่ตะปบลงไปบนค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี
เสียงเสียดสีแสบแก้วหูดังขึ้นต่อเนื่อง
ผาหินมากมายถูกกระบี่กรีดเฉือน ทยอยถล่มลง และกระจายกลายเป็นแสงสีเขียวหายไปในอากาศ
ฝ่ามือที่เหมือนยอดเขานั้นห่างพื้นดินไม่มากแล้ว
ต้นอู๋ถงโค้งงออย่างถึงที่สุด พร้อมจะหักได้ตลอดเวลา ใบไม้สีเขียวระหว่างกิ่งร่วงไปเกือบหมดแล้ว
สวีโหย่วหรงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว นางสงบนิ่งเยี่ยงทุกครา ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ไป”
แสงสายหนึ่งกะพริบพาดผ่าน วานรดินหายตัวไปจากที่นั่น
เฉินฉางเซิงส่งมันกลับเข้าไปในสวนโจว หลังจากนั้นก็กุมมือนาง
ปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งสยายในรัตติกาล เปลวเพลิงสีทองลุกไหม้แผดเผา
ลำแสงสาดส่องทุ่งหญ้า เพลิงหงส์สองสายทอดผ่านรัตติกาล
ธุลีทรายและเศษหญ้ารวมกันเป็นพายุ เกิดโพรงขึ้นสายหนึ่ง
สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงมาถึงยังเบื้องหน้าของบรรพตเยียนจือ
กระบี่สองสายสว่างขึ้น งดงามยิ่งนัก หลังจากนั้นก็รวมกัน กลายเป็นกระบี่สายรุ้งอันดึงดูดสายตาสายหนึ่ง
ทวนเหล็กปรากฏอีกครั้ง เร่งรุดเข้าหาเทือกเขาศิลาอย่างเหิมเกริมพร้อมกับกระบี่สายรุ้ง ดอกไม้อันโดดเด่นสะดุดตาพลันปรากฏในท้องฟ้ายามค่ำคืน
เสียงดังสนั่น แผ่นดินสะเทือนไม่หยุด
เศษศิลาปลิวว่อน ราวกับลูกธนูที่ฉีกทึ้งรัตติกาล ในระยะสิบลี้นี้ไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาดมากมายเท่าใดถูกขยี้จนวอดวาย
ฝุ่นควันค่อยๆ จางไป เงาร่างของบรรพตเยียนจือค่อยๆ ปรากฏออกมา
ตรงกลางของภูเขาปรากฏร่องรอยกระบี่ลึกมากสองรอย เมื่อมองด้วยสายตา เกรงว่าจะลึกถึงนับฉื่อ
ร่องรอยกระบี่ที่พาดผ่านทั้งสองนั้น ดูเหมือนกลุ่มดาวไขว้ทักษิณที่เหล่าราชนิกุลของเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่าคุ้นเคยที่สุด
ที่ที่ร่องรอยกระบี่ปะทะกันลึกกว่าที่อื่นๆ รูปร่างกลมนัก ขอบเกลี้ยงเกลา เหมือนถูกเจาะรูโดยช่างชำนาญการ ดูแล้วมืดครึ้มยิ่งนัก
นั่เป็นร่องรอยที่ทวนเหล็กเหลือทิ้งไว้
หากเปรียบเทือกเขาศิลานี้เป็นคน ตำแหน่งของรอยกระบี่และรูทวนเหล็กก็คือทรวงอกของคน เอียงซ้ายเล็กน้อย ก็เป็นจุดแดนลี้ลับแล้ว
ทวนอันเหิมเกริม วิชาสองกระบี่ประสานพลัง ในที่สุดก็ทำลายเกราะป้องกันของบรรพตเยียนจือได้แล้ว
ตำแหน่งนั้นก็คือช่องโหว่เดียวของบรรพตเยียนจือ
นี่ก็คือที่ที่สวีโหย่วหรงคำนวณแล้ว
คำถามก็คือ รูนั้นมันทอดทะลุผ่านเทือกเขานี้หรือไม่
……
……
มีรอยแตกอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวของทุ่งหญ้า ดินสีดำปะปนกับเศษหญ้า ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
เซียวจางนอนอยู่บนพื้น กระดาษสีขาวบนใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยโลหิต เขาจดจ้องไปยังบรรพตเยียนจือซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง
เฉินฉางเซิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขานั่งขัดสมาธิบนพื้น ใบหน้าซีดขาวและไอตลอดเวลา
รูบนกระดาษมืดมาก ดวงตาของเซียวจางมืดขรึมลง เสียงของเขาแหบแห้ง ราวกับนาฬิกาที่แตก
“มารดามันเถอะ อย่างนี้ยังไม่ได้หรือ”
เฉินฉางเซิงลอบถอนหายใจ
พวกเขาทะลวงแนวภูเขา กลับไม่มีทางทลายเทือกเขาให้ราบได้
สวีโหย่วหรงยืนขึ้น นางง้างสายธนูอีกครั้ง
สีหน้าของนางซีดนัก เมื่อนางง้างสายธนู หน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม มองดูแล้วราวกับหิมะสีขาวก็มิปาน
ผมสีดำพาดผ่านแก้มของนาง สีที่ตัดกันนั้นดูเด่นนัก ช่างน่าสะเทือนใจเขย่าวิญญาณเหลือเกิน
นางกระอักโลหิตออกมาจากริมฝีปากคำหนึ่ง
อาภรณ์สีขาวเต็มไปด้วยโลหิต ราวกับบุปผาที่แตกสลาย
ลมปราณที่นางแผ่กำจายออกมาแข็งแกร่งกว่าเดิม
ธนูขยับไร้เสียง
ลูกศรน้อยแสนละเอียดอ่อนดอกหนึ่ง ทะลวงรัตติกาล และร่อนลงบนเทือกเขาอย่างไร้เสียง
ไม่เอนไม่เอียง ไม่ห่างแม้แต่น้อย ตรงเข้ารูนั้นพอดี
เสียงดัง ปุ เบาๆ ราวกับบางสิ่งแตกลง
เซียวจางและเฉินฉางเซิงรับรู้ได้ว่าในอกตนเกิดความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดขึ้น
เนื่องจากพวกเขาได้ยินเสียงนั้น
นั่นคือเสียงหัวใจสลาย
สวีโหย่วหรงหน้าซีดขาวราวกระดาษ นางโอนเอนไปมาก่อนล้มลง มุมปากกระอักโลหิตออกมา
ต่อให้เป็นนางเอง ก็ถูกธนูเล็กแสนงดงามนั้นทำร้ายเช่นกัน
การบาดเจ็บที่บรรพตเยียนจือได้รับแน่นอนว่าต้องมากที่สุด
เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุดดังขึ้นจากด้านในของหน้าผา
……
……